ไม่คิดว่าการทำความสะอาดเส้นชีพจรของอาจารย์ปู่จะเห็นผลจริง ชายชรากินขนมโก๋ไปเพียงครึ่งชิ้น คาถาเสวียนซินที่เขาไม่บรรลุเสียที วันรุ่งขึ้นกลับบรรลุขั้นที่ห้า เส้นชีพจรของเขาราวกับแข็งแรงขึ้นมาไม่น้อย ตอนแรกชายชรามีความดีใจเล็กน้อย ถึงแม้ขั้นตอนจะยากเย็นไปเสียหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าดีใจมากกว่า ความเจ็บปวดในการนั่งห้องน้ำก็ดูลดลงไปมาก!
ต่อมาอีกหลายวัน เขายังคงแอบขโมยกิน ไข่มุกข้าวเหนียวนำสายฟ้า ผลไม้อบแห้งที่ทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่าง แป้งทอดระเบิด เนื้อแดดเดียวพ่นไฟ…
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ไป๋อวี้ “…”
ชายแก่ที่เพิ่งรับรู้ว่าอาจารย์ปู่กำลังใช้ตัวเขาเป็นสิ่งทดลองแปลกประหลาด
เขาอยากจะยุติการทำร้ายร่างกายของตนเอง แต่ต่อมาเขากลับพบว่า น้ำที่ตนเองดื่ม ข้าวที่ตนเองกิน แม้แต่ผลไม้ที่เหยียบโดนโดยบังเอิญมักจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด ไม่ไฟไหม้ ก็ถูกไฟช็อต อีกทั้งบางครั้งยังกัดคนด้วย
ไป๋อวี้อยากจะร้องไห้ หากขอโทษอาจารย์ปู่ตอนนี้ยังทันหรือไม่
ในเวลานั้นเขาเกิดความเกรงกลัวต่ออาหารขึ้นมาอย่างมาก จนกระทั่งมีแนวคิดจะอดอาหาร ช่างเป็นการใช้ชีวิตเพื่อกินเสียจริง
ประเด็นคือทั้งที่เป็นอาหารชนิดเดียวกัน เหตุใดเจ้าหนูกินแล้วไม่เป็นไร เมื่อถึงมือตนเองกลับเปลี่ยนไป
ไป๋อวี้ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ เขาเป็นลูกศิษย์ที่เก็บมาเลี้ยงจริงๆ ด้วย
ดังนั้น เขาลองยกอาหารให้หยวนเจียง อีกทั้งยังบอกว่าอาจารย์ปู่ให้ ก่อนจะเห็นหยวนเจียงถูกสายฟ้าในขนมผ่าจนไหม้เกรียมใจดวงน้อยที่ถูกทำลายถึงรู้สึกดีขึ้น อืม เขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่ถูกรังเกียจ รู้สึกดีขึ้นอย่างมากเลย
หยวนเจียง “…” MMP!
อวิ๋นเจี่ยวช่วงนี้สบายขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ไม่ต้องทำอาหารให้อาจารย์ปู่แล้ว นางก็มีเวลามากขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะตำรามีไม่พอหรือไม่ จนกระทั่งตอนนี้ นางยังหาวิธีการใช้พลังลมปราณที่เหมาะสมกับตนเองไม่ได้
เดิมทีคิดจะไปขอยืมตำราจากสำนักเทียนซืออีกเสียหน่อย แต่เจ้าสำนักสวีกลับติดต่อมาก่อน
“สอบขึ้นทะเบียน?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ พวกนางเหมือนจะเพิ่งสอบเสร็จไปไม่นาน ทำไมถึงสอบอีกครั้งเร็วขนาดนี้
“ใช่แล้ว” เจ้าสำนักสวีอธิบาย “พรุ่งนี้เป็นวันสอบขึ้นทะเบียน เจ้าสำนักและท่านอาวุโสของแต่ละสำนักล้วนเสนอชื่อให้สหายอวิ๋นเป็นผู้คุมสอบ ท่านมีการฝึกฝนที่ดี อีกทั้งยังเคยถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์มากมาย เป็นผู้ที่เหมาะสมในการคุมสอบที่สุด”
“แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับมาตรฐานและขั้นตอนการขึ้นทะเบียน” นางลังเล
“ไม่เป็นอะไร” เจ้าสำนักสวี “การขึ้นทะเบียนของสำนักเทียนซือจัดมาหลายปี มีขั้นตอนที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นผู้คุมสอบ แต่ท่านทำเพียงคุมการสอบของข่ายพลังและหมอรักษาพลังลมปราณเท่านั้น เนื้อหาของการสอบก็กำหนดไว้แล้ว ท่านอาวุโสท่านอื่นจะคอยช่วยเหลือท่านอยู่ด้านข้าง ที่จริงแล้วสหายอวิ๋นสามารถมาเป็นผู้คุมสอบได้ ก็ถือเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับศิษย์เสวียนเหมินแล้ว”
“อ่อ เช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา” อวิ๋นเจี่ยววางใจ ครุ่นคิดก่อนจะพูดเสริมขึ้น “เช่นนั้นต้องการให้ข้าออกข้อสอบให้เหล่าลูกศิษย์…”
“ไม่อยาก”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันก็ลอยออกมาจากยันต์ส่งสาร
“…”
“เฮอะๆๆ …” เจ้าสำนักสวีหัวเราะแห้ง “เรื่องนี้ไม่รบกวนสหายอวิ๋น พวกเราเตรียมไว้แล้ว” หากให้ท่านออกข้อสอบ คงจะเป็นการสอบที่ได้ศูนย์คะแนนทั้งหมดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นแบบที่พวกเขาไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องด้วย
“…เอาเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวได้เพียงพยักหน้า
หลังจากที่เจรจาเรื่องเวลาแล้ว ถึงได้จบสิ้นการสนทนาไป ไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างเข้าใกล้ “เจ้าหนู เจ้าจะไปสำนักเทียนซือหรือ ข้าไปด้วยสิ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเจ้าได้”
“ไม่ได้!” อวิ๋นเจี่ยวปฏิเสธ
“ทำไม” ชายชราผงะ
นางพูดขึ้นอย่างจริงจัง “อารามของพวกเรามีคนไม่มาก หากท่านไปด้วย ทิ้งอาจารย์ปู่ไว้ในอารามคนเดียวเหมาะสมเหรอ”
“ไม่ เจ้าหนู!” ชายแก่ทำหน้าอยากจะร้องไห้ “เจ้าทิ้งข้าไว้กับอาจารย์ปู่เหมาะสมหรือ”
“…” เหมือนกับมีเหตุผลจนนางไม่อาจคัดค้านได้
หยวนเจียง “…” พวกเจ้าลืมข้าไปหรือไม่
…
อาจเป็นเพราะกินสิ่งที่อาจารย์ปู่ทำจนกลัว สุดท้ายชายชราจึงติดตามไปสำนักเทียนซือด้วย อาจเป็นเพราะการเรียนในเสวียนเหมินได้รับการพัฒนา การทดสอบในครั้งนี้มีจำนวนคนมากกว่าครั้งที่อวิ๋นเจี่ยวเข้าร่วมอย่างมาก
ทั้งสำนักเทียนซือเต็มไปด้วยผู้คน เพียงแค่แถวของคนที่มาสมัคร ก็แทบจะยาวไปถึงนอกเมืองเสวียนแล้ว อวิ๋นเจี่ยวมองดูฝูงชนบริเวณลานหน้าตำหนักอย่างตกตะลึง นางไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาจำนวนมากเช่นนี้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับการทดสอบครั้งก่อน คนที่มาในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนใหม่ ซึ่งหมายความว่า ครั้งนี้เสวียนเหมินดึงดูดลูกศิษย์ใหม่จำนวนมาก
“ต้องขอบคุณสหายอวิ๋นอย่างมาก” เจ้าสำนักสวียิ้มตาหยี มองไปยังแถวที่ไร้จุดสิ้นสุด “หากไม่ใช่คาถาที่ท่านเขียน ก็คงไม่มีคนเลือกเข้าร่วมเสวียนเหมินจำนวนมากเช่นนี้”
“คาถา?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ “คาถาอะไร”
“สหายอวิ๋นลืมแล้วหรือ” เจ้าสำนักสวีรีบอธิบาย “ครั้งก่อนท่านมาขอคาถาการฝึกฝนขั้นพื้นฐานกับข้าไม่ใช่หรือ อีกทั้งยังมีการเขียนอธิบายความเข้าใจลงไปด้วย”
“อ่อ ท่านหมายถึงบันทึกพวกนั้น?” เนื่องจากเส้นชีพจรเสวียน ช่วงก่อนนางยืมตำราพื้นฐานกับสำนักเทียนซือไปจำนวนหนึ่ง เพียงแต่เนื่องมาจากห้องตำราของชิงหยางถูกทำลายไปเพราะเหตุบางอย่าง ดังนั้นนางจึงขอยืมจากอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะนิสัยเดิมของตนที่มักจะอ่านไปบันทึกไป ตอนที่คืนตำราจึงนำบันทึกพวกนั้นให้ไปด้วย
“ใช่ บันทึกพวกนั้น!” เจ้าสำนักสวีอธิบายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ถึงแม้จะเป็นคาถาพื้นฐาน แต่หลังจากที่สหายอวิ๋นเขียนเช่นนั้น ทำให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นคนธรรมดา ขอแค่คนผู้นั้นรู้หนังสือก็สามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้” ดวงตาของเขาลุกวาว พร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น “ข้าได้เจรจากับสำนักต่างๆ ตัดสินใจนำบันทึกของสหายอวิ๋นเหล่านั้นคัดลอกและแจกจ่ายออกไป ไม่คิดว่าจะได้รับความนิยมเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีคนเลือกเข้าศึกษามากมาย ทำให้ผู้คนที่มาขึ้นทะเบียนในครั้งนี้มีมากเช่นนี้”
“อ่อ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางทำให้ตำราที่ลึกซึ้งง่ายขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และขยายจำนวนคนการลงทะเบียนทางอ้อม อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ก่อนจะถามขึ้น “เช่นนั้น…พวกท่านเก็บค่าเล่าเรียนไหม” มีส่วนแบ่งของนางไหม
เจ้าสำนักสวี “…” ท่านล้อข้าเล่น?
…
“เรียนเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ที่ท่านกำชับไว้มาถึงสำนักเทียนซือแล้ว ลูกศิษย์ที่ตำหนักหน้าได้ขึ้นทะเบียนชื่อของเขาแล้ว” ลูกศิษย์รายหนึ่งเข้ามารายงาน
สวีชิงเฟิงผงะ ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบสั่งกำชับ “ดี เชิญคนไปยังตำหนักใหญ่”
“รับทราบ” ลูกศิษย์ถอยลงไป
เจ้าสำนักสวีอธิบายด้วยความตื่นเต้น “สหายอวิ๋น ครั้งนี้เชิญท่านมา นอกจากเรื่องของการทดสอบขึ้นทะเบียนแล้ว ยังมีอีกเรื่องอยากขอให้ท่านช่วย”