อวี้ถังมีใจระแวงต่อนายหญิงทัง นางเรียกซวงเถาเข้ามา แล้วสั่งว่า “เจ้าไปดูสิว่านายหญิงทังมาทำอะไร?”
ซวงเถารับคำแล้วจากไป
อารมณ์อยากเล่นสนุกของอวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงจืดจางไปมาก สองคนนั่งกินน้ำแข็งบนตั่งไม้อย่างเรียบร้อย คุยถึงเรื่องซุบซิบในเมือง และเรื่องซุบซิบในเมืองที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องของสกุลเผย
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” หม่าซิ่วเหนียงกดเสียงต่ำ “ป้าสะใภ้ของคุณชายใหญ่สกุลเผยต้องการพาคุณชายใหญ่กลับไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง นายท่านสามเรียกผู้อาวุโสของสกุลเผยไปที่หอบรรพชน แล้วถามต่อหน้าทุกๆ คนว่า คุณชายใหญ่ควรไว้ทุกข์อยู่ที่จวนหรือว่ากลับไปอยู่สกุลท่านตาเพื่อเล่าเรียนเขียนอ่าน…”
“ฮะ!” อวี้ถังถามอย่างประหลาดใจว่า “นายท่านสามทำเช่นนี้ ต่อให้คุณชายใหญ่อยากกลับไปอยู่สกุลท่านตาเพื่อเล่าเรียนก็คงไม่กล้าหรอก…หากว่าเขาไปจริงๆ ก็ต้องถูกตราหน้าว่า ‘อกตัญญู’ ต่อไปก็อย่าหวังจะได้เป็นขุนนางเลย”
แม้นางจะรู้ว่าชาติก่อนคุณชายใหญ่ถูกนายท่านสามกดข่มเอาไว้แค่ในสกุล แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใด
“ก็ใช่น่ะสิ!” หม่าซิ่วเหนียงพูดต่อว่า “บิดาข้าบอกว่า นายท่านสามใจร้ายนัก บอกอีกว่า ถ้าต่อไปสกุลของเราไม่ไปเกี่ยวข้องกับสกุลเผยได้ก็ให้พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด”
อวี้ถังหัวเราะเหอะๆ
หม่าซิ่วเหนียงกลับถอนหายใจ “ยังมีสกุลของพ่อบ้านใหญ่อีก ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? บิดาข้าเล่าว่า หลังจากที่พ่อบ้านใหญ่ตายไป คนในเมืองหลินอันก็ไม่มีใครได้เห็นหน้าครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่อีก”
อวี้ถังตกตะลึง ถามอย่างสงสัยว่า “น่าจะถูกขับออกจากเมืองหลินอันแล้วกระมัง?!”
หม่าซิ่วเหนียงตอบว่า “แต่ก็ไม่มีใครเห็นครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ออกจากประตูเมืองนี่นา!”
ความหมายในวาจาก็คือ ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ประสบโชคร้ายแล้ว
“ไม่หรอกน่า!” อวี้ถังเอ่ย “ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยกระมัง!”
“เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ชัดหรอก” หม่าซิ่วเหนียงแสดงชัดว่าไม่เชื่อนายท่านสาม เอ่ยว่า “ใครทำเรื่องเลวร้ายแล้วจะเขียนประกาศติดหน้าจวนตนเองเล่า!”
คนผู้นั้นฆ่าคนจริงๆ รึ?
อวี้ถังเงียบเสียงไปพักใหญ่
ซวงเถาวิ่งเข้ามาหา “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู นายหญิงทังมาเป็นแม่สื่อให้ท่านเจ้าค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ?!” อวี้ถังกับหม่าซิ่วเหนียงลุกขึ้นพร้อมกัน
อวี้ถังขมวดคิ้วมุ่น หม่าซิ่วเหนียงเข้าไปจับแขนซวงเถาด้วยความตื่นเต้น “บอกมาเร็วเข้า นายหญิงทังมาขอหมั้นหมายให้สกุลใด?”
ซวงเถายิ้มแล้วตอบว่า “เป็นคุณชายรองของจิ้นซื่อสกุลหลี่จากทางใต้เจ้าค่ะ!”
“หลี่จวิ้น!” อวี้ถังตกใจจนนิ่งไป
หม่าซิ่วเหนียงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนหน้า ชี้ไปทางอวี้ถังแล้วพูดว่า “อาถัง เจ้าบอกความจริงข้ามา ต้องมีเรื่องลับลมคมในแน่ ข้าคนนี้ จะเก็บเป็นความลับให้เจ้าเอง ไม่อย่างนั้น ข้าจะไปฟ้องท่านป้า บอกว่าเจ้ารู้จักคุณชายรองสกุลหลี่จากทางใต้ผู้นั้น…”
“พูดบ้าอะไรน่ะ?” อวี้ถังร้อนใจไปหมด เอ่ยว่า “ข้าจะไปรู้จักหลี่จวิ้นได้อย่างไร?”
สิ่งที่นางพูดคือความจริง
แม้ชาติก่อนนางจะแต่งให้หลี่จวิ้น แต่นางไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน
ตอนที่คุยเรื่องหมั้นหมาย นางคิดว่าหลี่จวิ้นคงเคยพบนาง ทั้งยังปักใจต่อนาง อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องแต่งกับคนที่ไม่เคยรู้หน้าค่าตากันและกัน ภายหลังที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ หลี่จวิ้นก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
หม่าซิ่วเหนียงไม่เชื่อนาง เอ่ยว่า “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณชายรองสกุลหลี่มีชื่อว่าหลี่จวิ้น?”
อวี้ถังตอบนางกลับไปอย่างขอไปทีเพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินคนพูด” จากนั้นก็หันไปถามซวงเถาอย่างร้อนรนว่า “ท่านแม่ข้าว่าอย่างไร?”
ซวงเถาหัวเราะ ตอบว่า “นายหญิงบอกว่าเดิมทีสกุลเราคิดจะรับเขยชาย ไม่คิดให้ท่านแต่งออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นายหญิงต้องหารือกับนายท่านก่อนถึงจะให้คำตอบแก่สกุลหลี่ได้เจ้าค่ะ”
อวี้ถังตะลึงไป
เหตุใดมารดานางจึงตอบกลับนายหญิงทังไปเช่นนั้น?
นางถามต่อว่า “นายหญิงทังยังพูดอะไรอีกบ้าง?”
ซวงเถาเม้มปากหัวเราะ เอ่ยเป็นนัยๆ ว่า “นายหญิงทังบอกว่า คุณชายรองสกุลหลี่เคยพบท่านโดยบังเอิญ หากมิใช่ท่านจะไม่แต่งเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ก็เพราะคุณชายรองโวยวายอยู่ที่เรือน ดังนั้นฮูหยินหลี่จึงขอให้นายหญิงทังมาลองหยั่งเชิงนายหญิงก่อน ต่อมาพอนายหญิงทังกลับไปให้คำตอบฮูหยินหลี่ ฮูหยินหลี่คงไม่ยอมตัดใจ ถึงได้มาพูดคุยกับนายหญิงอีกรอบ พอคุณชายรองรู้เรื่องเข้า ไม่เพียงไม่ล้มเลิกความคิด ยังโวยวายร้องว่าจะเป็นเขยชายแต่งเข้าสกุลอวี้ ใครพูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง ฮูหยินหลี่ก็จนปัญญา ได้แต่ฝากฝังนายหญิงทังให้มาเจรจากับนายหญิงเจ้าค่ะ”
มิน่าท่าทีของมารดาจึงอ่อนลง!
ไม่ว่าบิดาหรือมารดา สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือความรู้สึกของนาง หากว่านางมีความสุข จะมีเขยชายแต่งเข้าหรือไม่นั้นล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ อย่างมากก็ให้ญาติผู้พี่อวี้หย่วนเป็นผู้สืบทอดของสองครอบครัวก็ยังได้
แต่ว่าเรื่องนี้มีพิรุธเกินไป
ชาติก่อน คนสกุลหลินบอกชัดเจนว่าหลี่จวิ้นได้เจอนางที่งานวัด เหตุใดตอนนี้กลับพูดอีกแบบเสียเล่า!
อวี้ถังอดจะพึมพำออกมาไม่ได้ “เหตุใดเป็นเช่นนี้?”
หรือว่านางไม่อาจหนีรอดจากโชคชะตาที่ต้องแต่งเข้าสกุลหลี่จริงๆ?!
ทันใดนั้น สีหน้าของอวี้ถังก็พลันเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้
หม่าซิ่วเหนียงกับซวงเถามองหน้ากัน
อวี้ถังถามซวงเถาว่า “นายหญิงทังกลับไปหรือยัง?”
ซวงเถาตอบว่า “เพิ่งไปเจ้าค่ะ!”
อวี้ถังร้อนใจอย่างมาก ขอโทษหม่าซิ่วเหนียงแล้วขอตัวจากไป นางรวบม่านขึ้นเตรียมตัวไปหาคนสกุลเฉินผู้เป็นมารดา
หม่าซิ่วเหนียงดูออกในทันที อวี้ถังไม่พอใจการหมั้นหมายครั้งนี้ นางรีบจับอวี้ถังเอาไว้ พูดว่า “เจ้ามีเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ข้าจะกลับไปก่อน รอเจ้าว่างแล้ว ข้าค่อยมาเที่ยวเรือนเจ้าใหม่”
อวี้ถังรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก บอกให้หม่าซิ่วเหนียงอยู่กินมื้อเย็นแล้วค่อยกลับ
หม่าซิ่วเหนียงตอบอย่างสบายๆ ว่า “พวกเรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันหรือไม่? หากว่าเจ้าเห็นข้าเป็นพี่สาว ก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปลาท่านป้าสักหน่อย แล้วข้าก็จะกลับเลย”
อวี้ถังกอดหม่าซิ่วเหนียง เอ่ยว่า “พี่สาว ขอโทษด้วยจริงๆ คราวหน้าพวกเรามาเจอกันใหม่นะ”
หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้ารับ อวี้ถังไปเป็นเพื่อนนางเพื่อบอกลาคนสกุลเฉิน
ในห้องรับรองมีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำอยู่ตรงกลาง มีกล่องของขวัญกองเป็นพะเนิน
คนสกุลเฉินกับป้าเฉินกำลังตรวจนับของขวัญกันอยู่
พอรู้ว่าหม่าซิ่วเหนียงจะกลับแล้ว คนสกุลเฉินก็ให้คนไปหยิบขนมหลายกล่องมาให้หม่าซิ่วเหนียง พูดเชิญหม่าซิ่วเหนียงมาเยี่ยมที่เรือนบ่อยๆ ทั้งสั่งอาเสาไปเช่าเกี้ยวมีหลังคามาหนึ่งหลัง ให้อาเสาส่งนางกลับเรือน
หม่าซิ่วเหนียงบอกลาคนสกุลเฉิน อวี้ถังประคองมารดาให้กลับไปที่เรือนหลัก
นางเอ่ยตรงไปตรงมาว่า “ท่านแม่ ข้าอยากจะอยู่เรือนนี้ต่อไป”
คนสกุลเฉินมองว่านางอายุยังน้อย มีหลายเรื่องที่ไม่อาจคิดให้รอบคอบ จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ที่อยากให้เจ้าอยู่กับเรือน เพราะกลัวแต่งออกไปเจ้าจะลำบาก หากว่ามีคนดีๆ เข้ามา บิดาเจ้ากับข้าให้อาหย่วนคอยดูแลก็เหมือนๆ กัน”
เรื่องราวเป็นอย่างที่อวี้ถังคิดเอาไว้
นางเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ก่อนแต่งงานก็พูดเสียดิบดี พอแต่งกันไปก็เปลี่ยนแล้ว ท่านอย่าได้ฟังวาจาสวยหรูของนายหญิงทัง ฮูหยินหลี่แต่ไรก็ชอบดูถูกผู้อื่น ข้าไม่ชอบแม่สามีเช่นนี้เจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินหัวเราะ เอ่ยว่า “เด็กโง่ เจ้าไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับแม่สามีไปชั่วชีวิตเสียหน่อย อีกอย่าง หากว่าเขยชายยินดีปกป้องเจ้า แม่สามีบ้านไหนจะมารังแกลูกสะใภ้ได้ง่ายๆ เล่า?”
“นั่นก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ!” อวี้ถังกล่าวว่า “ร้อยเรื่องกตัญญูมาที่หนึ่ง สามีบ้านใดจะยอมทะเลาะกับมารดาเพื่อลูกสะใภ้กัน”
คนสกุลเฉินไม่อยากทำให้อวี้ถังอารมณ์ไม่ดี อีกอย่างก็ยังไม่ได้เอาวันเดือนปีเกิดมาลองผูกดวงชะตากันเลย
นางกล่อมบุตรสาวว่า “ได้ๆ ล้วนฟังเจ้าทั้งสิ้น รอให้บิดาเจ้ากลับมา พวกเราค่อยมองหาจากสกุลอื่นอย่างจริงจังด้วย แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องงานแต่งเจ้าให้เรียบร้อย”
อวี้ถังเห็นว่ามารดาไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูดจริงๆ ก็ร้อนใจไม่หยุด คิดว่าทำอย่างไรจะโน้มน้าวให้มารดาเปลี่ยนใจได้
—
รุ่งเช้าของวันถัดมาหม่าซิ่วเหนียงก็มาเยี่ยมอวี้ถังอีกครั้ง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” อวี้ถังตกอกตกใจ
หม่าซิ่วเหนียงดื่มน้ำชาไปหลายถ้วยติดๆ กัน ถึงได้ตอบว่า “อาถัง เมื่อวานข้าให้…” นางพูดอะไรคล้ายๆ ว่า ‘คุณชายจาง’ แล้วเล่าต่อว่า “ช่วยไปสืบข่าวหลี่จวิ้นผู้นั้นดู” จากนั้นปากที่คล้ายมีหัวไชเท้าอยู่ด้านในก็เรียกชื่อ ‘คุณชายจาง’ อีกครั้ง พูดว่า “บอกว่าหลี่จวิ้นแม้จะหยิ่งผยอง แต่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ทำอะไรเปิดเผย ความประพฤติมิด่างพร้อย เป็นคนที่เจ้าจะฝากชีวิตเอาไว้ได้”
คิดไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นจะเป็นคนแบบนี้
ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหม่าซิ่วเหนียงจะช่วยเหลือนางเพียงนี้
อวี้ถังกรอบตารื้นชื้น เอ่ยว่า “ขอบคุณพี่สาวมาก! และช่วยขอบคุณพี่เขยด้วยสักคำ”
หม่าซิ่วเหนียงได้ฟัง หน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ เอ่ยอย่างเขินอายว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ช่วยเจ้าได้ก็ดีแล้ว” นางถามด้วยความอยากรู้ว่า “แล้วเจ้าคิดจะอยู่ที่เรือนต่อไปหรือไม่?”
“ข้ายังอยากอยู่ที่เรือนต่อไป” อวี้ถังบอกนางไปตามความจริง “ข้ารู้ว่าคู่หมายนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
หม่าซิ่วเหนียงกล่อมนาง “มีอะไรไม่ดีกัน? เขาก็บอกแล้ว ขอเพียงได้แต่งกับเจ้า ยินดีแต่งเข้าสกุลเจ้ามาเป็นเขยชาย เจ้ายังต้องการอะไรอีก? ผู้อื่นมิใช่ว่าต้องการเจ้าคนนี้หรอกหรือ?”
คำพูดของนางทำให้อวี้ถังพลันได้สติราวกับรู้ตื่น
จริงด้วย! สกุลหลี่ต้องการเกี่ยวดองกับสกุลนาง เพราะต้องการสิ่งใดหรือ?
หรือว่าเป็นนางคนนี้จริงๆ?
ชาติก่อน สกุลนั้นก็รับนางแต่งเข้าเรือนด้วยความจริงใจอันเต็มเปี่ยม ทว่านางก็ต้องกลายเป็นม่ายขันหมาก และคนสกุลหลินก็ไม่ได้ปฏิบัติกับนางด้วยความเมตตา
หรือเพราะการตายของหลี่จวิ้นทำให้คนสกุลหลินพาลโกรธเกลียดนาง?
แต่คนสกุลหลินก็ไม่ได้ทำดีกับกู้ซีมากไปกว่านางสักเท่าไร!
อวี้ถังลอบเบะปากในใจ
นางตัดสินใจจะไปเจอ ‘คู่หมาย’ ที่ชาติก่อนไม่เคยได้เห็นหน้าสักครั้ง
“พี่เขยสนิทกับคุณชายรองสกุลหลี่มากหรือไม่?” นางถามหม่าซิ่วเหนียง
หม่าซิ่วเหนียงตอบว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ข้าอยากเจอคุณชายรองสกุลหลี่สักหน่อย ถึงเวลานั้นอยากเชิญพี่เขยกับพี่สาวไปเป็นเพื่อนข้าด้วย”
หม่าซิ่วเหนียงคิดว่าอวี้ถังกลัวหลี่จวิ้นจะมีหน้าตาอัปลักษณ์ ต้องเห็นด้วยตาสักครั้งจึงจะวางใจ จึงหัวเราะแล้วตอบว่า “เจ้าสบายใจได้ คุณชายรองผู้นั้นนับว่าเป็นผู้โดดเด่นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไรที่คิดอยากได้เขามาเป็นเขย รับประกันว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
อวี้ถังหัวเราะออกมา
นางไม่คิดอยากรู้สักนิดว่าหลี่จวิ้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางอยากรู้ว่า หลี่จวิ้นต้องการนางมากแค่ไหน
นางไปทำอะไรให้เขากันแน่ นางนั่งเล่นอยู่ในเรือนเฉยๆ ความวุ่นวายก็หล่นใส่ศีรษะ ทั้งสองชาติไม่อาจให้นางได้อยู่อย่างสงบ
หม่าซิ่วเหนียงกลัวว่าถ้าตนไม่รับปากอวี้ถัง อวี้ถังจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แล้วไปขอให้ผู้อื่นไปเป็นเพื่อนแทน กลายเป็นก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอีก
นางกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารอให้ข้าไปถาม…คุณชายจาง…”
อวี้ถังรับคำยิ้มๆ
พอส่งหม่าซิ่วเหนียงกลับไป นางก็เรียกอาเสามาหา แล้วให้เงินเขาไปสิบกว่าเหรียญ สั่งว่า “เจ้าเอาเงินให้อาลิ่วที่ขายสาลี่อยู่ธารเสี่ยวเหมย บอกให้เขาจับตาดูคุณชายรองสกุลหลี่ ดูว่าวันๆ หนี่งเขาทำเรื่องอะไรบ้าง?”
สกุลอวี้มีบ่าวเพียงสามคน ป้าเฉิน ซวงเถาแล้วก็อาเสา ในเรือนไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนปิดสามคนนี้ไม่มิด อาเสาเองแน่นอนว่าต้องเคยได้ยินเรื่องคุณชายรองสกุลหลี่มาขอหมั้นหมายอยู่ก่อนแล้ว คิดว่าคุณหนูใหญ่คงกลัวว่าคุณชายรองสกุลหลี่จะมีหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แน่ๆ เขาเองก็กังวลว่าคุณชายรองสกุลหลี่จะไม่คู่ควรกับคุณหนูใหญ่ของเขาเช่นกัน จึงรีบรับปากด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกว่า “คุณหนูใหญ่ท่านวางใจได้เลยขอรับ ข้าไม่มีทางบอกนายหญิงแน่”
อวี้ถังจึงตกรางวัลให้อาเสาด้วยเงินอีกสิบกว่าเหรียญ
—
ผ่านไปสองวัน หม่าซิ่วเหนียงให้คนมาส่งข่าวนาง บอกว่าคุณชายจางรับปากจะไปพบหลี่จวิ้นเป็นเพื่อนพวกนางแล้ว
อาลิ่วก็สืบข่าวของหลี่จวิ้นมาได้ว่า “คุณชายรองสกุลหลี่นัดกับสหายจะไปกินเจที่วัดเจาหมิง”
อวี้ถังไปบอกเรื่องนี้กับหม่าซิ่วเหนียง สองคนวางแผนเรียบร้อยเสร็จสรรพ โดยคุณชายจางกับอาเสาจะไปไหว้พระที่วัดเจาหมิงเป็นเพื่อนพวกนางด้วย
—————————————
Related