ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน – ตอนที่ 89 กิจการ

เผยเยี่ยนดำเนินเรื่องทุกอย่างที่วางแผนไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้านอวี้ถังกลับโกลาหลอลหม่านไปอยู่บ้าง

อย่างแรกนางไม่แน่ใจว่าเรื่องทางด้านเผยเยี่ยนราบรื่นหรือไม่ อย่างที่สองร้านค้าของสกุลเปิดไม่ทันยามที่ตลาดคึกคักก่อนเทศกาลปีใหม่…เนื่องด้วยลุงใหญ่รั้งตัวอยู่ที่เจียงซีนานเกินไป ยามที่กลับมาก็ปาเข้าไปเดือนสิบสอง พวกเขาเร่งทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน เลือกวันที่สิบแปดเดือนสิบสองเปิดกิจการ แต่โดยปกติแล้ว วันที่ยี่สิบสองและยี่สิบสาม เดือนสิบสอง ช่วงไม่กี่วันก่อนปีใหม่เล็ก[1]นั้น ร้านรวงก็เริ่มหยุดเทศกาลแล้ว จวบจนวันที่สิบสองของปีใหม่จึงจะเปิดกิจการอีกครั้ง การค้าของปีนี้จึงไม่มีกำไรอันใด ทำได้เพียงรีบเปิดกิจการให้ทันก่อนปีใหม่ เพื่อเป็นฤกษ์งามยามดีเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ อวี้ถังจึงถูกลุงใหญ่เรียกไปช่วยงานที่ร้านสองวันแล้ว

จากคำพูดของลุงใหญ่ กล่าวว่านางไม่เข้าใจเกี่ยวกับการค้าขายย่อมไม่เป็นไร แต่ที่มาที่ไปของเงินในครอบครัวกลับจำเป็นต้องรู้ “แม้ว่าจะรับลูกเขยเข้าสกุล ปีหนึ่งในเรือนใช้จ่ายไปเท่าใด ขาดทุนหรือได้กำไร เจ้าจำเป็นต้องทราบเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะถูกคนอื่นหลอกลวงได้ง่าย”

อวี้เหวินและคนสกุลเฉินคิดว่ามีเหตุผล ให้อวี้ถังสวมชุดเนื้อหยาบคอยจดบัญชีอยู่ในคลังสินค้าด้านหลัง ทั้งยังเอ่ยปากขอร้องอวี้ถัง “จากนี้ทุกห้าวันก็มาที่ร้านค้าครั้งหนึ่ง เจ้าควรจะรู้ว่าร้านค้าพวกเราขายของอะไรไปบ้าง ทั้งของแต่ละอย่างขายได้เท่าใด”

อวี้ถังฟังกลับลอบส่ายศีรษะในใจ

ไม่แปลกใจที่ทุกคนไม่อยากแต่งเป็นลูกเขยเข้าบ้านคนอื่น?

แม้สกุลพวกเขาจะใจกว้าง แต่ลูกเขยยังไม่ทันใด้แต่งเข้าสกุล ก็เริ่มเตรียมการป้องกันอย่างแน่นหนาเสียแล้ว ผู้ที่เต็มใจเป็นลูกเขยแต่งเข้าสกุลพวกเขา หากไม่ใช่คนโง่เขลา ถูกครอบครัวนางปฏิบัติเช่นนี้ คาดว่าในใจคงไม่รู้สึกดีเท่าใด นับประสาอะไรกับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ

ระหว่างสามีภรรยา กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างความเชื่อมั่นและวางใจยังไม่มี คงไม่ต้องพูดถึงการรักใคร่ปรองดอง?

บางที ลูกเขยที่แต่งเข้ามาก็ใช่ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดไปได้

อวี้ถังปล่อยให้ความคิดพรั่งพรูขึ้นมาในหัวอย่างไม่ขาดสาย พลางถือสมุดบัญชียืนอยู่หน้าคลังสินค้า คอยลงทะเบียนสินค้าเข้าออก

ยามที่ปู่ของอวี้ถังยังมีชีวิตอยู่ สกุลพวกเขามีโรงงานเล็กๆ เป็นของตัวเอง ทั้งสามารถทำเครื่องลงรักแกะสลักสีแดง งานฝีมือที่มีความสลับซับซ้อนทั้งยังต้องการความเชี่ยวชาญ จนกระทั่งปู่ของนางล่วงลับ ยามนั้นบิดาของนางยังไม่ได้สอบเป็นซิ่วไฉ จู่ๆ อาจารย์ที่อยู่มาสองถึงสามรุ่นในสกุลกลับถูกร้านค้าเก่าแก่ทางซูโจวดึงตัวไป เหลือลุงใหญ่เพียงคนเดียวที่มีความรู้ในการทำเครื่องลงรักแกะสลัก หนำซ้ำทายาทของสกุลพวกเขายังบางตา หลังจากลุงใหญ่นางผ่านเรื่องราวเหล่านี้ ก็เปลี่ยนนิสัยเป็นคนรอบคอบระมัดระวังมากขึ้น ลูกศิษย์ไม่กี่คนที่รับเข้ามาในสกุล แม้จะทำงานกว่าสิบปี เขาก็ยังคงซ่อนเร้นปิดบัง ไม่ยินยอมถ่ายทอดฝีมือทั้งหมดให้กับลูกศิษย์พวกนั้น ตัวเองเพียงคนเดียวก็ยุ่งมากแล้ว เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงนับวันก็น้อยลงเรื่อยๆ แทบจะไม่มีสินค้า กิจการในร้านก็กำไรน้อยลงทุกปี

ลุงใหญ่ไม่คิดหาวิธีรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ กลับฝากความหวังไว้กับอวี้หย่วน อวี้หย่วนนั้นเรียนรู้งานฝีมืออย่างเชื่อฟังมาหลายปี แต่ไม่รู้ว่าด้วยอวี้หย่วนไร้ซึ่งพรสวรรค์หรือว่าลุงใหญ่ไม่เชี่ยวชาญในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่น ฝีมือของอวี้หย่วนจึงธรรมดา ยังสู้ซย่าผิงกุ้ย ศิษย์เอกของลุงใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ซย่าผิงกุ้ยอายุหกปีก็เรียนรู้งานในสกุลอวี้แล้ว อายุมากกว่าอวี้หย่วนสองสามปี เป็นลูกชายของลูกศิษย์สมัยที่ปู่ของอวี้ถังยังมีชีวิตอยู่ ตอนเด็กอาศัยในสกุลอวี้ ภายหลังอวี้ถังเติบใหญ่ ตระหนักถึงธรรมเนียมระหว่างชายหญิง คนสกุลหวังจึงให้เขาย้ายไปอยู่ในร้านค้า ยามที่ไฟไหม้ถนนฉางซิ่ง คนสกุลหวังก็ยอมจัดการให้เขาไปอยู่เรือนเก่าสกุลอวี้ตรงชานเมือง ดีกว่าต้องให้เขาย้ายกลับมาในสกุลอวี้อีกครั้ง

ครั้งนี้ร้านค้าเสร็จเรียบร้อย ซย่าผิงกุ้ยจึงพาลูกศิษย์ไม่กี่คนย้ายกลับมาในร้าน

แม้ซย่าผิงกุ้ยและอวี้ถังจะพบเจอกันไม่บ่อย แต่อย่างไรก็เติบโตมาด้วยกัน บางครั้งไปสกุลอวี้ก็พบเจออวี้ถังเช่นกัน เห็นอวี้ถังช่วยจดบัญชีอยู่หน้าคลังสินค้า เขาจึงให้หญิงรับใช้ในร้านค้าไปนำโถน้ำร้อน[2]เข้ามา ก่อนส่งให้อวี้ถัง “คุณหนูใหญ่ อากาศเย็นแล้ว เจ้าถือไว้เถิด ระวังจะจับไข้”

ทั้งร้านค้าเครื่องลงรัก นอกจากคนสกุลอวี้แล้ว อวี้ถังก็รู้จักเพียงซย่าผิงกุ้ย

นางส่งยิ้มเอ่ยขอบคุณแก่ซย่าผิงกุ้ย รับโถน้ำร้อนมา

ใบหน้าซื่อสัตย์จริงใจของซย่าผิงกุ้ยปรากฏรอยยิ้มบางขึ้นมา เอ่ยว่า “ไม่ต้องเกรงใจ” ก่อนจะเร่งเร้าพวกเด็กในร้านขนสินค้าเข้าไปในคลังสินค้า

อวี้ถังเห็นในคลังสินค้ายังมีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำอีกสองตัว จึงอดถามซย่าผิงกุ้ยไม่ได้ “สกุลพวกเรายังขายเครื่องเรือนด้วยรึ?”

ตอนยังเด็ก ยามที่นางตามบิดามาเที่ยวเล่นในร้านค้าก็เคยเข้ามาในคลังสินค้า ในภาพจำของนาง ในคลังสินค้ามีแต่ชั้นวางเป็นช่องๆ บนชั้นเต็มไปด้วยกล่องเครื่องลงรักและกล่องไม้ขนาดเล็กใหญ่หลากหลาย ตั้งแต่กล่องไม้เก้าช่องบรรจุขนมจนถึงกล่องไม้ใส่เครื่องประทินโฉมล้วนมีทั้งหมด

ไฉนยามนี้จึงดูคล้ายร้านขายของชำเสียอย่างนั้น?

ซย่าผิงกุ้ยลังเลไปครู่หนึ่ง เห็นอวี้ป๋อและพวกอวี้เหวินยืนปรึกษาเรื่องจัดวางข้าวของอยู่หน้าร้าน เวลานี้จึงกระซิบเสียงเบา “คลังสินค้าของพวกเราอยู่ใกล้กับเมืองหังโจวมาก ยามนี้ผู้คนเริ่มนิยมเครื่องลงรักประดับเปลือกหอย คนที่ต้องการเครื่องลงรักแกะสลักก็พิถีพิถันเลือกฝีมือช่างอย่างมาก หากไม่ขายโต๊ะตั่งเก้าอี้พวกนี้ จะอยู่รอดด้วยการขายเครื่องลงรักแกะสลักอย่างเดียวก็เป็นไปได้ยาก”

อวี้ถังไม่เข้าใจ

ซย่าผิงกุ้ยจึงอธิบายให้นาง “เมื่อก่อนแต่งลูกสาวรับลูกสะใภ้ มักจะซื้อกล่องเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงบรรจุของสองสามใบ แต่เมื่อสามปีก่อน คนของสกุลเซิ่งไปเปิดร้านค้าที่เมืองหังโจว ทางหังโจวจึงนิยมซื้อกล่องเครื่องลงรักประดับเปลือกหอยขึ้นมา”

อย่างไรสกุลอวี้ก็เปิดร้านค้าเครื่องลงรัก เครื่องลงรักประดับเปลือกหอยนางก็รู้จักเช่นกัน ใช้เปลือกหอยหรือหอยทะเล ฝังเลี่ยมไปกับกล่องไม้ เปลือกหอยเมื่ออยู่ใต้แสงก็จะส่องสีรุ้งระยิบระยับ มีความงดงามดั่งอัญมณี บางคนที่รักหน้าตาทั้งซื้อกล่องเก็บเครื่องประดับไม่ไหวก็จะซื้อของประเภทนี้แทนเช่นกัน

แต่ความชอบของคนล้วนแตกต่างกันไป ผู้ที่อยู่ในสกุลชั้นสูงบางคนก็ไม่ชอบสิ่งของที่ระยิบระยับแวววาว นับประสาอะไรกับของที่ใช้เปลือกหอยมาแทนที่อัญมณีเช่นนี้?

อวี้ถังครุ่นคิด “หรือสกุลเซิ่งมีงานฝีมือใหม่อะไร เครื่องลงรักประดับเปลือกหอยจึงสามารถขายง่ายกว่าเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงได้?”

ซย่าผิงกุ้ยเผยสีหน้าชื่นชม เอ่ยอย่างนับถือ “คุณหนูใหญ่หลักแหลมจริงๆ เป็นดั่งที่ท่านว่า ยามนี้สกุลพวกเขาทำสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน[3]’ สีธรรมชาตินั้นทำง่ายกว่าทำเครื่องลงรักประดับเปลือกหอยทั่วไปมาก หากต้องการสีอื่นก็สั่งทำได้ แต่การสั่งทำย่อมแพงกว่าสีทั่วไป คิดชื่อสินค้า ทั้งผลิตออกมา ยามนี้รุ่งเรืองดุจอาทิตย์กลางท้องฟ้า ได้ยินว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉากกั้นลมร้อยปักษาล้อมพญาหงส์สิบสองช่องที่ผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียงส่งเป็นของขวัญก็เป็นฝีมือของสกุลพวกเขา” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ลังเลไปสักพัก “แต่ว่า ร้านค้าของพวกเรายังคงยึดกับแบบดั้งเดิมเป็นหลัก หลายปีก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง…”

แม้คำพูดนี้จะเอ่ยอย่างอ้อมค้อม อวี้ถังกลับยังคงเข้าใจ

นางเอ่ย “เจ้าหมายความว่า เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงของสกุลพวกเราหมดสิ้นความนิยมแล้ว?”

ซย่าผิงกุ้ยเอ่ยอย่างคลุมเครือด้วยใบหน้าขึ้นสี อวี้ถังก็ไม่ค่อยกระจ่างว่าเขาพูดอะไร แต่กลับเข้าใจความหมายแล้ว

นางเงียบไปพักใหญ่

ชาติก่อน หลังจากร้านค้าสกุลอวี้ถูกไฟไหม้ก็ขายทิ้งไป นางก็ไม่รู้ว่ากิจการของสกุลเป็นอย่างไรกันแน่ ภายหลังอวี้หย่วนหาเงินได้ ลุงใหญ่ก็คิดจะฟื้นฟูกิจการสกุลอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันให้ลุงใหญ่ได้กู้กิจการขึ้นมา เขาก็ล่วงลับไปก่อน

ยามนี้สกุลพวกเขาทุ่มเทแรงกายมหาศาลซ่อมแซมร้านค้าขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังเสียเงินก้อนโตนำสินค้าเข้ามามากมาย คงไม่ถึงกับแค่พอประทังชีวิตไปวันๆ หรอกกระมัง?

นี่เป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้มากที่สุด

เสียเวลาไปเหมือนเดิม สิ้นเปลืองแรงกายเหมือนเดิม กลับไม่สามารถทำได้ดีเหมือนคนอื่น

ต้องคิดสาเหตุและหาทางออกให้ได้

นางมองข้าวของที่กองพะเนินในคลังสินค้าพลางลอบถอนหายใจ สินค้าพวกนี้กระทั่งนางยังคร้านจะมองซ้ำสอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่มาซื้อของเหล่านั้น?

ไม่รู้ว่าสามารประวิงเวลาเปิดกิจการ หาวิธีปรับเปลี่ยนสินค้าใหม่ได้หรือไม่?

อวี้ถังลากคนสกุลหวังมาด้านข้าง กระซิบถามนาง

คนสกุลหวังได้ฟังก็ยิ้มขื่น กอดอวี้ถัง เอ่ยเสียงเบา “เด็กดี เจ้ากังวลแล้ว ลุงใหญ่เจ้าทำการค้ามาทั้งชีวิต หลักการพวกนี้จะไม่รู้ได้เชียวรึ? พวกเขาซ่อมแซมร้านค้ายังติดเงินจากสกุลเผย ไหนเลยยังมีเงินนำเข้าสินค้าอีก ทั้งเครื่องใช้อย่างว่า ล้วนเป็นสิ่งที่แต่ละร้านเก็บไว้เป็นของดีประจำร้าน ไฉนจะขายให้สกุลพวกเราอย่างง่ายดาย? แม้ว่าจะขายให้สกุลพวกเรา มีลูกค้าสนใจ สกุลพวกเราก็ไม่อาจทำได้ ทั้งยังง่ายจะเกิดเรื่องผิดพลาด สู้ไม่ทำเสียดีกว่า”

อวี้ถังนิ่งไปเล็กน้อย “เพราะไม่มีเงินอย่างนั้นรึ?”

คนสกุลหวังชะงัก ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ก็ไม่เกี่ยวกับเงินทั้งหมด ยังเป็นเพราะไม่มีกำลังคนในสกุล…”

ก็คือในสกุลขาดคนมีฝีมือ

นี่กลับเป็นอย่างที่ซย่าผิงกุ้ยกล่าวไม่ผิดเพี้ยน

หลายปีมานี้ร้านค้ามีลุงใหญ่คอยจัดการ นางกลัวว่าถามลึกเกินไป จะเป็นการหักหน้าป้าสะใภ้ใหญ่ พูดอ้อมๆ อีกไม่กี่คำ ก็กลับเข้าไปในร้านกับป้าสะใภ้ใหญ่ หาโอกาสดึงอวี้หย่วนมาคุยส่วนตัว “อาจารย์พวกนั้นที่เชิญมาจากเจียงซีฝีมือเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านคิดว่าพึ่งพาได้หรือไม่?”

หลายวันมานี้อวี้หย่วนก็กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้

เขาเอ่ย “อาจารย์พวกนั้นฝีมือล้วนธรรมดา ในนั้นมีคนหนึ่งที่ไม่เลวเลย แต่เขาชำนาญวาดลายทอง สกุลพวกเราทำเครื่องลงรักแกะสลักสีแดง จากความหมายของท่านพ่อ วาดลายทองนั้นได้เปรียบ ข้ากลับรู้สึกว่าวางลำดับความสำคัญสลับกันอยู่บ้าง”

แต่ละร้านเครื่องลงรักล้วนมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง สกุลพวกเขาเสียกำลังคนไปหลายยุคสมัยจึงทำเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงให้มีชื่อเสียงได้ เวลานี้เปลี่ยนเป็นวาดลายทอง ทั้งยังเป็นทักษะที่สกุลพวกเขาไม่คุ้นเคย อวี้ถังเห็นด้วยกับความคิดอวี้หย่วน

ช่วงนี้อวี้หย่วนจึงโต้แย้งเรื่องนี้กับอวี้ป๋อหลายต่อหลายครั้ง คนสกุลหวังยืนอยู่ฝั่งอวี้ป๋อ ยังเอ่ยในทำนองว่า “ยิ่งใจร้อนก็ยิ่งล้มเหลวง่าย ใช้การวาดลายทองหาเงินก่อน จากนั้นค่อยคิดวิธีหาพวกสหายซิ่วไฉของอาเจ้ามาช่วยวาดแบบเครื่องลงรักแกะสลักสีแดงเพิ่มเติม ทำการค้าต้องค่อยเป็นค่อยไปจึงจะมั่นคง” เวลานี้จู่ๆ ก็พบคนที่มีความเห็นไปทิศทางเดียวกับเขา ความขุ่นข้องที่เขาฝืนกดไว้ในยามปกติจึงพรั่งพรูออกมา อดเอ่ยไม่ได้ “ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านพ่อคิดอย่างไร? ต่อให้วาดลายทองจะดีเท่าใด นั่นก็ไม่ใช่งานฝีมือของสกุลพวกเรา ทำเช่นนี้จะสูญเสียความเป็นตัวเรา สกุลอวี้จะยึดหลักกับอะไรกัน?”

ชาติก่อนสองพ่อลูกก็เคยทะเลาะกันเรื่องนี้

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านไม่ได้กล่าวว่าจะไปเปิดร้านที่หังโจวหรอกรึ?”

อวี้หย่วนใบหน้าขึ้นสี “หากท่านพ่อดึงดันทำตามใจตนอยู่ฝ่ายเดียว ข้าจะไปเปิดร้านใหม่ที่หังโจวให้รู้แล้วรู้รอดไป” พูดจบ ก็กลัวอวี้ถังเข้าใจผิด เอ่ยละล่ำละลัก “นี่ไม่ใช่ความคิดของพี่สะใภ้เจ้า เป็นความต้องการของข้า นางยังไม่อาจยุ่งเรื่องในเรือนข้าได้”

อวี้ถังเห็นท่าทีมีพิรุธของเขา ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

อวี้หย่วนตระหนักได้ว่าตนเองพูดผิดไป ก็หัวเราะอย่างเขินอายขึ้นมาเช่นกัน

อวี้ถังคิดว่าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะแย่เสมอไป

ชาติก่อนอวี้หย่วนพิสูจน์ความสามารถของตนเองแล้วว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมลุงใหญ่ได้ ชาตินี้ยังติดตามร่ำเรียนงานฝีมือจากบิดาอยู่ต้อยๆ ยิ่งไม่อาจโน้มน้าวลุงใหญ่ได้

แทนที่สองพ่อลูกจะทะเลาะกันไม่สบายใจ ยังมิสู้แยกย้ายกันไปชั่วคราว ต่างคนต่างทำกิจการของตัวเอง อย่างไรกิจการของสกุล ท้ายที่สุดก็ต้องทิ้งให้อวี้หย่วนอยู่แล้ว

แน่นอนว่า อวี้ถังก็มีความคิดเล็กๆ เป็นของตัวเองเช่นกัน

นางอยากเป็นเหมือนเจียงหลิงในชาติก่อน เป็นสตรีเก่งกาจที่สามารถหาเงินใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทั้งยังสามารถเลี้ยงดูคนในครอบครัว

——————–

[1]วันปีใหม่เล็ก ตรงกับวันที่ยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่เดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติจีน ตามความเชื่อของคนจีนตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นวันที่เทพเจ้าแห่งเตา เทพเจ้าที่คอยพิทักษ์เตาไฟในครัว ดูแลทุกคนในครอบครัว จะกลับสวรรค์ไปรายงานเรื่องราวของแต่ละครัวเรือนให้เง็กเซียนฮ่องเต้ทราบ ดังนั้นคนจีนจึงบูชาเทพเจ้าแห่งเตา โดยจะบูชาด้วยของหวาน ของมงคล เพื่อให้เทพเจ้าแห่งเตารายงานแต่สิ่งดีๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ฟังแล้วไพเราะ เสนาะหู

[2]โถน้ำร้อน เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกาน้ำชาเล็กๆ โดยสามารถเติมน้ำร้อนจากด้านบน ใช้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย

[3]เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน คือเครื่องลงรักประดับเปลือกหอยที่เน้นขับสีให้เด่น โดยตัดเปลือกหอยโปร่งใสแผ่นบางเป็นลวดลาย หลังจากเติมสีสันหลากหลายลงด้านล่างก็นำไปเลี่ยมฝังบนเครื่องลงรัก

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ห้วงเวลาบุปผาผลิบานเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้า เสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ ดังต่อเนื่อง แสงฉาบบนฟากฟ้าที่แดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง คลื่นร้อนระอุลูกแล้วลูกเล่าแข่งกันโหมตัวสูง คนที่วิ่งผ่านไปมาล้วนร้องตะโกนว่า “ไฟไหม้! ไฟไหม้!” สองขาของอวี้ถังอ่อนยวบ หากไม่ใช่ซวงเถาประคองนางไว้ เกรงว่านางคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!” เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ซวงเถาตกใจจนพูดติดขัด “เหตุใดเป็นเช่นนี้? มิใช่ว่าผู้คุมของสกุลเผยกับคนของศาลาว่าการจะมาเดินลาดตระเวนตรวจตราร้านค้าของพวกเขายามดึกหรือ นายท่านสามบอกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนหนัก อากาศแห้งแล้ง น่ากลัวจะเกิดไฟไหม้ หลายวันก่อนยังสั่งเป็นพิเศษให้คนวางโอ่งน้ำใหญ่สามสิบแปดใบไว้สองฝั่งของถนนฉางซิ่ง ทุกวันก็ให้เถ้าแก่แต่ละร้านคอยเติมน้ำให้เต็มโอ่ง ถนนฉางซิ่งจะไฟไหม้ได้อย่างไร? แล้วร้านค้าของสกุลเราจะเป็นเช่นไรล่ะเจ้าคะ?” จริงด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset