ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เวลานี้จะทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดล้วนแต่สายไปเสียแล้ว
เทียบเชิญถูกส่งออกไป วันเปิดร้านใหม่ก็กำหนดไว้แน่นอนแล้ว หากมีความคิดอื่นอีก คงได้แต่ค่อยๆ หารือกับท่านลุงใหญ่และญาติผู้พี่ในภายหลัง
อวี้ถังตรวจสอบสินค้าที่เข้าออกคลังสินค้าอย่างละเอียดอีกรอบ แล้วเอาสมุดบัญชีมอบให้ท่านลุงใหญ่
อวี้ป๋อสุ่มตรวจดูหลายจุด เห็นว่าส่วนใหญ่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี บัญชีกับสินค้าตรงกัน จึงเอ่ยชมอวี้ถังว่า “ไม่เลว ไม่เลว เริ่มจากทำความคุ้นเคยกับสินค้าในร้านเราก่อน ต่อไปก็ค่อยเรียนการอ่านสมุดบัญชี เรียนจดบัญชี แค่นี้ก็ไม่มีใครมาตบตาเจ้าได้แล้ว”
อวี้เหวินได้ฟังก็หัวเราะ คิดว่าบุตรสาวของตนช่างฉลาดหลักแหลม ไม่แน่อาจมีพรสวรรค์ด้านทำมาค้าขายก็เป็นได้ เพียงแต่มีสถานะสตรีเป็นอุปสรรค
เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับพี่ชายว่า “ท่านพี่ พรุ่งนี้เปิดร้านแล้ว ให้อาถังมาช่วยงานที่ร้านด้วยดีหรือไม่?”
แม้พูดว่าช่วยงาน แต่ไม่ได้ให้นางมาตะโกนขายของ อย่างมากก็ให้อยู่โกดังหลังร้านคอยตรวจนับสินค้า เพราะกลัวเด็กในร้านมือเท้าวุ่นวายจนหยิบของผิดก็เท่านั้น
อวี้ป๋อเมื่อคิดจะฝึกปรืออวี้ถังแล้ว ย่อมหวังว่านางจะมาช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ ตอนที่คนสกุลหวังอยู่กับบ้านฝั่งมารดา นางก็ติดตามบิดาและพี่ชายทำมาค้าขายเช่นนี้ ที่ท่านปู่ของอวี้ถังถูกใจคนสกุลหวัง ก็เพราะเห็นว่านางมีความสามารถอ่านสมุดบัญชีได้
“ก็ดีสิ!” เขารีบตอบรับในทันที ทั้งยังเอ่ยกับอวี้ถังว่า “พรุ่งนี้ป้าสะใภ้เจ้าก็จะมา เจ้าก็ติดตามป้าสะใภ้ทำความรู้จักคนอื่นๆ ไปก่อน”
ร้านค้าเปิดกิจการใหม่ วันแรกเหล่าสหายคุ้นเคยที่ทำการค้าด้วยกันย่อมต้องมาแสดงความยินดี
อวี้ถังรีบตอบตกลง
คนสกุลหวังจับมืออวี้ถังไว้อย่างรักใคร่ พลางกำชับกับนางด้วยรอยยิ้มว่า “แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดาก็พอแล้ว เด็กสาวช่วยดูแลร้านค้าของสกุล มีข้อห้ามว่าอย่าแต่งกายฉูดฉาดเกินไป คนอื่นจะคิดได้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ต้องให้ผู้อื่นเชื่อว่าเจ้ามาช่วย มิใช่เดินเล่นเพราะว่างงาน เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”
“เข้าใจเจ้าค่ะ!” อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เสื้อผ้าเครื่องประดับนับเป็นอีกหนึ่งภาษา ในวาระโอกาสที่มีสตรีมารวมตัวกันมากๆ หากว่าแต่งลวดลายฉูดฉาด ผู้อื่นย่อมคิดว่าโอ้อวดคิดชิงดีชิงเด่น แต่ก็หาได้มีสิ่งใดร้ายแรงนัก ทว่าหากเป็นวาระโอกาสที่บุรุษอยู่เยอะ ทั้งมีการค้าขายไปมาหาสู่ ผู้อื่นย่อมคิดว่าตนมีแผนอื่นแอบแฝง คิดใช้อุบายหญิงงาม มักจะเกิดเป็นความเข้าใจผิดไปต่างๆ นานาได้
คนสกุลเฉินกลับกังวลใจ “หรือไม่ รอให้งานเปิดร้านผ่านไปแล้วค่อยให้นางไปช่วยที่ร้านดี?”
อวี้ถังรีบเสนอตัวกล่อมมารดาว่า “ช่วยงานที่ร้านจะไปวันไหนก็ได้ สำคัญคือพรุ่งนี้ต้องทำความรู้จักกับผู้อื่น ต่อไปหากเจออุปสรรค อย่างน้อยก็รู้ว่าต้องไปหาใครเจ้าค่ะ”
คนพวกใดคบได้ คนพวกใดต้องหลีกหนี นางไม่มีทั้งเวลาและโอกาสที่จะไปทำความเข้าใจ ได้แต่หวังพึ่งคำชี้แนะจากผู้อาวุโสแล้ว
นางยังคิดว่าหลังจากที่ประมูลขายแผนที่ผืนนั้นไปแล้ว นางอยากมีกิจการเล็กๆ อื่นมาจุนเจือครอบครัวด้วย หากรู้จักคนน้อย หูตาไม่กว้างไกล แล้วจะหาผู้ร่วมหุ้นได้อย่างไร ชาติก่อนสตรีที่ชื่อเจียงหลิงออกจะเก่งกาจ ยังต้องหยิบยืมความช่วยเหลือจากกำลังของพี่ชาย นางมิได้อวดดีถึงเพียงนั้น จึงคิดว่าตนต้องหลักแหลมและทุ่มเทมากกว่าเจียงหลิงผู้นั้นถึงจะดี
อวี้ป๋อพยักหน้าอย่างชื่นชม แล้วเอ่ยกับอวี้เหวินว่า “อาถังรู้ความแล้วจริงๆ ต่อไปเจ้าก็รอเสวยสุขได้เลย!”
“แน่ล่ะ แน่ล่ะ!” อวี้เหวินวางท่าภาคภูมิใจอย่างไม่ปิดบัง
พวกคนสกุลเฉินได้แต่เม้มปากหัวเราะ
พอกลับถึงเรือน คนสกุลเฉินก็รื้อลัง คว่ำกล่อง เป็นนานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าต้องใส่ชุดไหนในวันเปิดร้าน ทั้งกำชับกับอวี้ถังอีกนานสองนานทำนองว่า “ตามติดป้าสะใภ้เจ้าเอาไว้ อย่าเดินเล่นไปทั่ว” จากนั้นถึงยอมปล่อยอวี้ถังกลับไปพักผ่อน
อวี้ถังนอนไม่ค่อยหลับ
นางคิดถึงชาติก่อนปีที่แต่งเข้าสกุลหลี่ เพื่อแสดงอำนาจข่มนาง คนสกุลหลินบอกให้นางทำตัวเป็นแม่ม่ายที่ดี นางเคยขอให้ตนกลับมาส่งของขวัญปีใหม่ที่เรือนอยู่หลายครั้ง คนสกุลหลินล้วนทำเป็นหูหนวกตาบอดเลี่ยงพูดเรื่องอื่นไปเรื่อย เพราะนางอายุยังน้อยจึงหน้าบาง ทั้งที่รู้ว่าคนสกุลหลินกลั่นแกล้งนางแต่ก็ไม่อาจต่อกรได้ กระทั่ง วันที่ยี่สิบสาม เดือนสิบสอง อีกเพียงสองวันก็จะเป็นวันปีใหม่เล็ก[1]แล้ว คนสกุลหลินถึงให้หญิงรับใช้ข้างกายมามอบรายการของขวัญของสกุลอวี้ให้นางอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ บอกให้นางไปส่งของขวัญเสีย
นางไม่มีเวลาสนใจความคับแค้น จึงพาซวงเถากลับบ้านมารดาไป
ในเรือนเย็นเยียบว่างโล่ง มีเพียงเนื้อปลาที่ใช้เซ่นไหว้ ครอบครัวท่านลุงใหญ่ทั้งสามคนนั่งล้อมอยู่หน้าโต๊ะ มีแค่ผักกับโจ๊กเท่านั้น…
จนถึงตอนนี้ นางยังจำได้ชัดเจน ภาพตอนที่ป้าสะใภ้เห็นนางเดินเข้าไปแล้วเอาร่างของตนบังจานอาหารเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง
ชาตินี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
แต่นางก็อยากจะเดินไปสู่จุดที่ดีกว่านี้
อวี้ถังคิดไปร้อยแปดพันเรื่อง ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไร
วันต่อมา นางถูกเสียงประทัดไม้ไผ่ทำให้ตกใจตื่น
นางกระเด้งตัวลุกนั่งบนเตียง อวี้ถังยังมึนงงอยู่บ้าง คิดว่าตนเองยังอยู่ในอารามที่เคยไปขอพักพิง ผ่านไปพักใหญ่ถึงเรียกสติกลับมาได้
นางร้องเรียงซวงเถา “เกิดอะไรขึ้น? ยังไม่ถึงวันปีใหม่เล็กเลย เรือนไหนจุดประทัดไม้ไผ่เสียแล้ว?”
ซวงเถายิ้มตาหยีตอบว่า “สกุลเซียงเจ้าค่ะ ส่งคนมามอบของขวัญให้สกุลเรา นายท่านถึงได้ให้จุดประทัด”
อวี้ถังคิดไม่ถึงว่าสกุลเซียงจะส่งของขวัญปีใหม่มาให้สกุลนางด้วย ทางหนึ่งก็เลิกผ้าห่มขึ้นลุกจากเตียง ทางหนึ่งก็ถามว่า “สกุลเซียงให้ใครเป็นคนมาส่งของขวัญปีใหม่?”
คนสกุลเซียงเป็นว่าที่สะใภ้ใหญ่ของสกุลอวี้ จึงให้คนมาส่งของขวัญปีใหม่ สกุลของฝ่ายชายหากว่าให้ความสำคัญกับงานหมั้นหมาย ระหว่างนี้ก็จะจัดงานเลี้ยงเพื่อรับรองแขก อีกทั้งยังต้องให้ลุงป้าน้าอาออกมาต้อนรับ แน่นอนว่าถ้าหากคนที่มาเป็นแค่ผู้ดูแล เช่นนั้นก็ต้องว่ากันไปอีกแบบหนึ่ง
ซวงเถาเอ่ยยิ้มๆ “เป็นพี่ชายของแม่นางเซียงเจ้าค่ะ”
อวี้ถังถามต่อ “แล้วที่ร้านทำอย่างไร?”
ซวงเถาตอบว่า “นายท่านใหญ่สั่งไว้ ให้นายท่านบ้านเรากับคุณชายใหญ่อยู่เป็นเพื่อนแขกที่นี่ ส่วนคุณหนูกับนายท่านใหญ่ไปที่ร้านค้า รอให้ทางนี้ส่งคุณชายเซียงกลับแล้วค่อยรีบตามไป ไม่อาจล่าช้าผิดเวลามงคลเด็ดขาด”
คงต้องเป็นเช่นนี้แล้ว
อวี้ถัง อวี้ป๋อ แลัวคนสกุลหวังเดินทางไปร้านค้าพร้อมกัน
ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี อากาศค่อนข้างเย็น มีคนสองสามคนบนถนนฉางซิ่ง หากไม่ใช่เตรียมตัวเปิดร้าน ก็กำลังกวาดถนนอยู่
อวี้ถังลงมาจากเกี้ยว อ้าปากหาวหวอดเอ่ยถามท่านลุงใหญ่ว่า “สิงโตเชิดทางนั้นตกลงกันไว้ดีแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
เรื่องเชิดสิงโตมีอวี้หย่วนเป็นผู้รับผิดชอบ วันนี้เขาต้องอยู่เรือนเป็นเพื่อนแขกเหรื่อ นางกลัวอาจมีเรื่องตกหล่นได้
อวี้ป๋อตอบว่า “อาหย่วนกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตอนไปเชิญสิงโตเชิดจึงได้พาผิงกุ้ยไปด้วยกัน เขาไม่อยู่ที่นี่ แต่ยังมีผิงกุ้ย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ญาติผู้พี่ของนางจัดการเรื่องราวได้ละเอียดรอบคอบขึ้นทุกทีแล้ว
อวี้ถังยิ้มแล้วเอ่ยรับคำ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินเข้าร้านไปกับอวี้ป๋อจากทางด้านหลัง
เถ้าแก่ใหญ่ของร้านคือท่านลุงใหญ่ หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้ก็เหลือเด็กในร้านอยู่สองสามคน มีบางส่วนที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ คนที่อยู่ในโรงงานกับคลังสินค้าหลังร้าน นอกจากคนที่มาจากเจียงซีแล้ว ยังมีลูกศิษย์ของท่านลุงใหญ่ด้วย ตอนที่นางเดินเข้าไปก็ตั้งใจสังเกตดูเป็นพิเศษ
ตอนนี้ช่างฝีมือจากเจียงซีกำลังทำงานอยู่ฝั่งหนึ่ง ลูกศิษย์ของท่านลุงนางก็ทำงานอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แบ่งแยกฝ่ายอย่างชัดเจน
นางอดจะขมวดคิ้วมองไม่ได้
นี่ไม่ใช่ลางบอกเหตุที่ดีเลย!
อวี้ถังกำลังคิดว่าตนควรจะมาดูที่ร้านค้าให้บ่อยหรือไม่ ซย่าผิงกุ้ยพลันเดินเข้ามา พอเห็นท่านลุงใหญ่ของนางก็เอ่ยว่า “อาจารย์ เรื่องด้านนอกจัดการตามที่คุณชายใหญ่สั่งเอาไว้หมดแล้ว เพียงรอฤกษ์มงคลก็เริ่มได้เลยขอรับ”
อวี้ป๋อหันไปมองนาฬิกาทราย คิดว่าใกล้ได้เวลาเต็มทีแล้ว จึงถามซย่าผิงกุ้ยว่า “นายท่ามสามสกุลเผยมาถึงหรือยัง?”
ซย่าผิงกุ้ยตะลึงไป ยกขาได้ก็วิ่งไปด้านนอก ปากก็ตะโกนบอกว่า “ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้ขอรับ”
อวี้ป๋อไม่ค่อยชอบซย่าผิงกุ้ย เหตุผลหลักเพราะทั้งๆ ที่เรียนวิชาจากเขาไปเหมือนกัน แต่ฝีมือซย่าผิงกุ้ยกลับดีกว่าอวี้หย่วน แน่นอนว่าอวี้หย่วนเป็นลูกเถ้าแก่ จะไปเปรียบเทียบฝีมือกับซย่าผิงกุ้ยก็ไม่มีความหมายอะไร แต่อีกไม่เท่าไรฝีมือของซย่าผิงกุ้ยก็จะเหนือกว่าอาจารย์แล้ว อวี้หย่วนผู้เป็นลูกเถ้าแก่ก็คงต้องพึ่งพาเขาหลายส่วน อวี้ป๋อกลัวว่าซย่าผิงกุ้ยจะเหมือนช่างฝีมือคนอื่นก่อนหน้านี้ที่ออกไปตั้งร้านของตัวเอง จึงค่อนข้างจะเข้มงวดกับเขามาก
อวี้ถังเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “นายท่านสามจะมาหรือเจ้าคะ?”
อวี้ป๋อพอพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำท่าลำพองใจ “เดิมก็ไม่มาหรอก แต่ตอนที่พวกเราไปส่งเทียบเชิญเผอิญเจอกับพ่อบ้านหูเข้า พ่อบ้านหูจึงไปแจ้งข่าวให้เราเป็นพิเศษ บอกว่าถึงเวลาจะมาร่วมงานด้วย”
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเผยเยี่ยนจะมาร่วมงานเช่นนี้
อวี้ถังกะพริบตา จินตนาการภาพพลุไม้ไผ่ดังก้องทั่วทิศพร้อมกับควันพุ่งโขมง ควันหนาที่แทบทำให้สำลัก กับดวงหน้าไร้อารมณ์ของเผยเยี่ยน สายตาที่รังเกียจเดียดฉันท์…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางคิดว่าคงน่าสนุกไม่น้อย
น่าเสียดายที่ร้านค้าบนตรอกฉางซิ่งล้วนเป็นร้านเก่าแก่ เผยเยี่ยนจึงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานเช่นนี้มากนัก!
ซย่าผิงกุ้ยวิ่งกลับมาอีกครั้ง เขาตอบอวี้ป๋อพลางหอบแฮกๆ “ไม่มีขอรับ ข้ามองหาแถวนั้นจนละเอียดแล้ว ก็ไม่เห็นนายท่านสามเลย ทั้งไม่มีเกี้ยวหรือรถม้าของสกุลเผยด้วยขอรับ” เขาพูดจบ ก่อนจะถามเสียงเบาหลังจากลังเลเล็กน้อย “ไม่เห็นคนจากสกุลเผยมาส่งของขวัญแสดงความยินดีด้วยขอรับ”
“หรือว่าเกิดเรื่องอะไรทำให้ล่าช้า?” อวี้เหวินพึมพำ มองนาฬิกาทรายแล้วก็ร้อนใจ…อย่างมากยังมีเวลาอีกหนึ่งเค่อก็จะถึงเวลามงคลเปิดร้านแล้ว ด้านนอกได้ยินเสียงจอแจของผู้คนดังขึ้นทุกที
ซย่าผิงกุ้ยก็ลนลานไม่ต่างกัน
เมืองหลินอันมีสกุลอวี้ทำกิจการเครื่องลงรักอยู่สกุลเดียว จะพูดว่าสกุลอื่นไม่มีฝีมือทางนี้ก็ยังได้ ทว่าสิ่งสำคัญคือสกุลอวี้มีนายใหญ่เป็นซิ่วไฉ ร้านค้าอื่นๆ ไม่อยากชิงดีชิงเด่นกับสกุลอวี้ จะได้เลี่ยงว่าหากต้องไปศาลาว่าการฟ้องร้องกันขึ้นมา ทางสกุลอวี้ยังมีคนยืนให้การกลางโถงได้ แต่ผู้อื่นกลับต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นแทน
หากวันนี้นายท่านสามสามารถมาแสดงความยินดีได้จริงๆ ต่อไปพวกคนที่ลาดตระเวนแถบนี้ย่อมมองร้านค้าของสกุลอวี้สูงขึ้น ยิ่งไม่ต้องกลัวใครจะมาหาเรื่องระรานด้วย
“หรือว่า ให้ข้าออกไปดูอีกทีไหมขอรับ?” ซย่าผิงกุ้ยถาม
อวี้ถังห้ามซย่าผิงกุ้ยไว้เสียก่อน “นายท่านสามเป็นผู้นำสกุลเผย ทำสิ่งใดล้วนเชื่อถือได้ หากว่าไม่มา เขาต้องส่งคนมาบอกล่วงหน้าแล้ว พวกเราเริ่มจัดการตามฤกษ์เดิมไปก็พอ”
อวี้ป๋อกับซย่าผิงกุ้ยทำหน้าเหมือนไม่เชื่อถือนางนัก
อวี้ถังคิดว่าตนได้เสวนากับนายท่านสามหลายหน รู้สึกเชื่อใจนายท่านสามเป็นที่สุด จึงได้เอ่ยว่า “ข้าเคยพูดคุยกับเขา รู้นิสัยเขาอยู่บ้าง ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ เขาเป็นคนพูดคนไหนคำนั้นแน่นอน!”
ถ้าเป็นคนไม่รักษาคำพูดคงไม่อาจยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้
อวี้ป๋อเชื่อนางในที่สุด จึงไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพียงถามซย่าผิงกุ้ยถึงเรื่องราวด้านนอก เขาทิ้งให้อวี้ถังอยู่ในร้าน ตนเองออกไปทางด้านหลังพร้อมกับซย่าผิงกุ้ย เตรียมตัวไปเปิดงานพิธีด้านหน้า
อวี้ถังลองไตร่ตรองดู แล้วย่องขึ้นชั้นสองไป ผลักหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยแล้วส่องผ่านช่องมองลงไปด้านล่าง
ที่หน้าประตูร้านเต็มไปด้วยฝูงชน บางคนมาดูความครึกครื้น บางคนมาร่วมแสดงความยินดี ยังมีบางส่วนที่ถือโอกาสมาหาซื้อสินค้าลดราคาในวันเปิดร้านใหม่ อวี้เหวินพาซย่าผิงกุ้ยติดตามข้างกาย เอ่ยทักทายแขกเหรื่อด้วยสีหน้าอิ่มเอมเปี่ยมสุข อวี้ถังยังมองเห็นนายท่านอู๋กับนายท่านเว่ย แต่กลับหาเผยเยี่ยนหรือคนจากสกุลเผยไม่พบสักคน
หรือว่ามีเรื่องผิดพลาดขึ้นตรงไหน?
อวี้ถังบิดผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเป็นเกลียวแน่น
เรื่องที่เผยเยี่ยนจะมาร่วมงานเปิดร้านของสกุลนาง สำหรับท่านลุงใหญ่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ได้หน้าได้ตายิ่ง เขาคงปล่อยข่าวออกไปตั้งแต่แรก ถ้าคราวนี้นายท่านสามไม่มา ไม่พูดถึงว่าพวกนางสกุลอวี้จะเพียงถูกซุบซิบนินทาอย่างไร ชื่อเสียงของเผยเยี่ยนก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
เผยเยี่ยนคงไม่คิดกลับคำกะทันหันกระมัง?
————————————————————-
[1]วันปีใหม่เล็ก ตรงกับวันที่ยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่เดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติจีน ตามความเชื่อของคนจีนตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นวันที่เทพเจ้าแห่งเตา เทพเจ้าที่คอยพิทักษ์เตาไฟในครัว ดูแลทุกคนในครอบครัว จะกลับสวรรค์ไปรายงานเรื่องราวของแต่ละครัวเรือนให้เง็กเซียนฮ่องเต้ทราบ ดังนั้นคนจีนจึงบูชาเทพเจ้าแห่งเตา โดยจะบูชาด้วยของหวาน ของมงคล เพื่อให้เทพเจ้าแห่งเตารายงานแต่สิ่งดีๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ฟังแล้วไพเราะ เสนาะหู