อวี้หย่วนกลัวว่าอวี้ถังจะแสดงเกินงาม ยั่วโทสะแม่นมกู้จนแผนพังไม่เป็นท่า จึงดึงแขนเสื้อของอวี้ถัง แสร้งกล่าวตำหนิ “เจ้าดูนิสัยของเจ้าสิ แค่จุดไฟก็ติดเสียแล้ว ภายกลังข้าจะกล้าพาเจ้าออกมาได้อย่างไรอีก? มีเรื่องอะไรก็นั่งลงพูดจากันดีๆ ทุกคนจ้องมองพวกเราอยู่! เจ้าไม่กลัวคนอื่นรู้เห็น แต่ข้าอายเป็นอย่างยิ่ง!”
เขาคิดจะพยายามถ่วงเวลาอีกเล็กน้อย พูดเรื่องของสกุลหลี่ต่อหน้าแม่ลูกกู้ซานอีกสักสองสามประโยค
อวี้ถังยังคงค่อนข้างเข้าใจสองแม่ลูกกู้ซาน คิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองเพียงพอให้สองแม่ลูกเกิดความแคลงใจ ออกไปสืบเรื่องของสกุลหลี่แล้ว ในเมื่อบรรลุเป้าหมาย นางก็ไม่คิดจะตอแยอะไรกับสองแม่ลูกสกุลกู้อีก บะหมี่สองชามจ่ายเงินไปแล้ว ไม่อาจสิ้นเปลืองได้ รีบกินรีบไปก็เพียงพอแล้ว
นางค้อมตัวนั่งลง
ใบหน้าของอวี้หย่วนผ่อนคลายลง เอ่ยละล่ำละลัก “นี่ก็ถูกแล้ว บะหมี่จวนจะอืดแล้ว รีบกินก่อนเถิด!” พูดจบ เขาก็เอ่ยด้วยท่าทีละอายใจกับแม่นมกู้ “ท่านอย่าได้โมโหเลย น้องสาวข้าคนนี้ อะไรก็ดีไปเสียหมด เพียงแต่หุนหันพลันแล่นอยู่บ้างเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจโทษนางทั้งหมดได้” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มกล่าวโทษกู้ซาน “เจ้าก็ไม่บอกข้าเสียหน่อยว่าเจ้าเป็นคนของสกุลกู้? หากรู้เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจทักทายลากพวกเจ้ามากินบะหมี่ด้วยกัน”
ตั้งแต่ที่อวี้ถังยืนขึ้น กู้ซานก็หัวหมุนนับครั้งไม่ถ้วน ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ยังแยกไม่ออกว่าพี่น้องอวี้หย่วนพบเขาโดยบังเอิญหรือตั้งใจคอยเขาที่นี่กันแน่ แต่ไม่ว่าจะอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เรื่องเกี่ยวกับสกุลหลี่ที่พวกเขาเอ่ยถึงล้วนทำให้เขาสั่นไหวในใจ
มารดาของเขาเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่ ตั้งแต่แรกชะตากรรมของครอบครัวพวกเขาก็ผูกไว้กับคุณหนูใหญ่แล้ว หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หนึ่งร่วงทุกคนล้ม งานแต่งของคุณหนูใหญ่ คุณชายใหญ่ไม่ได้ตอบรับ แต่ห้ามนายท่านสองที่หูเบาไม่ได้ ถูกนายหญิงใหม่พูดเกลี้ยกล่อมในเวลาอันสั้น อยากแข่งขันให้รู้ผลแพ้ชนะกับบ้านใหญ่ ใคร่หาผู้ช่วยเหลือให้กับคุณชายสามในสกุล ต้องตาคุณชายจวี่เหรินสกุลหลี่ผู้นั้น จึงได้พยายามกำหนดงานแต่งครั้งนี้ของคุณหนูใหญ่
หากสิ่งที่พี่น้องสกุลอวี้กล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นบุตรเขยของคุณหนูใหญ่ของพวกเขาก็อาจจะเป็นดั่งที่คุณชายใหญ่กล่าวไว้ตอนแรก พื้นเพสกุลตื้นเขิน ไม่ค่อยมีเส้นสนกลใน เกรงว่าจะไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าใด
ถอนหมั้นนั้นไม่อาจทำได้ แต่ชั่วชีวิตนี้ของคุณหนูใหญ่คงจบเห่แล้ว!
กู้ซานใจร้อนดั่งไฟสุม ไหนเลยยังจะกินบะหมี่ลง เขาเพียงอยากขอให้คนไปสืบข่าวของสกุลหลี่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาโดยเร็วที่สุด กลับไปรายงานต่อคุณชายใหญ่ ให้คุณชายใหญ่พวกเขาดูว่างานหมั้นของคุณหนูใหญ่ควรจะทำอย่างไร
“ท่านแม่!” กู้ซานที่ไม่ได้เอ่ยอันใดมาพักใหญ่ ส่งสายตาให้มารดา บอกเป็นนัยไม่ให้มารดาต่อปากต่อคำกับอวี้ถังอีก จากนั้นก็ส่งยิ้มขอโทษขอโพยให้กับอวี้หย่วน “พี่อวี้ ข้าเห็นเจ้าและเหยาซานเอ๋อร์เป็นสหายกันตั้งแต่เด็ก คิดว่าเขาคงบอกฐานะข้ากับเจ้าแล้ว ทำให้เจ้าเข้าใจผิดไป ข้าทำไม่ถูกเอง ฟังจากคำพูดของเจ้าแล้ว ดูเหมือนว่าสกุลอวี้ของพวกเจ้าและสกุลเขยของพวกเราจะมีความแค้นอะไรกัน? แต่ว่าก็เป็นดั่งที่คุณหนูอวี้กล่าว อย่างไรข้าและมารดาเป็นเพียงข้ารับใช้ เรื่องของเจ้านาย พวกเราก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้ ขอทั้งสองคนอภัยด้วย ส่วนเรื่องนั่งโต๊ะเดียวกัน คุณหนูอวี้ ข้ากินข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็จะรีบไปช่วยที่ร้านค้า เจ้าก็เห็นข้าเป็นเพียงคนแปลกหน้าร่วมโต๊ะกับเจ้าเถิด พวกเรากินเสร็จก็จะไปทันที”
สมแล้วที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของกู้ซี เอ่ยวาจาไร้ช่องโหว่ รอบคอบไม่ขาดตกบกพร่อง
อวี้ถังไม่คิดจะดึงดันต่อ
นางผงกศีรษะ นั่งลงกินบะหมี่
บะหมี่ของร้านนี้สมคำร่ำลือจริงๆ แม้ว่าจะอารมณ์ไม่ดี ซดน้ำแกงเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติที่อร่อยก็ทำให้นางเกิดความอยากอาหารทันที เส้นบะหมี่ก็ทำได้เหนียวนุ่ม พาให้อวี้ถังจดจ่อไปกับการกินบะหมี่โดยไม่รู้ตัว
หากแต่ในใจของแม่นมกู้กลับยุ่งเหยิงมากกว่า
สกุลกู้เป็นสกุลที่โดดเด่นอันดับต้นๆ ของเมืองหังโจว แต่มีหลายบ้านหลายครอบครัว ความขัดแย้งย่อมมากตาม แม้ว่าพี่น้องสกุลอวี้จะมีความแค้นกับสกุลหลี่ คิดจะทำลายงานมงคลของคุณหนูใหญ่พวกเขาและสกุลหลี่ ก็ไม่อาจจะสร้างข่าวลือโป้ปดมดเท็จออกมาได้ทั้งหมด แม้ผู้คนที่มากินร้านบะหมี่เล็กๆ นี้จะมีไม่มาก แต่ผู้ที่มาใช้บริการแปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมเป็นคนพื้นเพของหังโจว ไม่นานคำพูดของพี่น้องสกุลอวี้คงจะแพร่กระจายไปทั่ว หากสกุลหลี่เป็นอย่างที่พี่น้องสกุลอวี้เอ่ยถึงจริงๆ เช่นนั้นงานแต่งของคุณหนูใหญ่พวกเขาจะไม่กลายเป็นเรื่องขบขันในเมืองหังโจวหรอกรึ? ทั้งคุณชายใหญ่ยังต้องถูกคนหัวเราะเยาะเช่นนี้ไปอีกสิบยี่สิบปี?
ยังมีนายหญิงใหม่ของสกุล เดิมทีก็เพราะคุณชายใหญ่มีความสามารถจึงเห็นคุณชายใหญ่ขัดหูขัดตาไปหมด ไร้ทางจะจัดการกับคุณชายใหญ่จึงไปหาคุณหนูใหญ่แทน สกุลกู้มีใครไม่รู้บ้าง? หากสกุลหลี่ไม่เหมาะสมจริงๆ จะให้คุณชายใหญ่ของพวกเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน!
นางไหนเลยจะนั่งติดที่ กินลวกๆ สองสามคำก็กินต่อไปไม่ไหวแล้ว รอจนบะหมี่ของลูกชายมา นางก็ส่งสายตาให้ลูกชายบ่อยครั้ง บอกเป็นนัยให้เขารีบกินรีบไป
กู้ซานกลับใจเย็นกว่ามาก
เรื่องมาถึงขั้นนี้ แทนที่จะหนีกระเจิดกระเจิงเป็นที่ขำขันของคนหังโจว ยังมิสู้สืบข่าวคราวเล็กน้อยจากสองพี่น้องสกุลอวี้เพิ่มเติม
เขากินติดต่อกันหลายคำ รู้สึกว่าอิ่มประมาณครึ่งท้องแล้ว อวี้หย่วนก็กินไปไม่น้อยเช่นกัน เวลานี้จึงเอ่ยปาก “พี่อวี้ ตกลงสกุลหลี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อย แต่เจ้าก็รู้ความสัมพันธ์ของสกุลพวกเรากับสกุลหลี่แล้ว ข้ากังวลว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเรา…มารดาของข้าเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่สกุลกู้ หากคุณหนูใหญ่ออกเรือน มารดาของข้าย่อมกลายเป็นสินเดิมไปเมืองหลินอันด้วย ข้าก็ต้องตามไปรับใช้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ คุณชายใหญ่จึงจัดการให้ข้าไปเรียนรู้ฝึกฝนในร้านค้าแต่ละแห่ง แม้ว่าจะเพื่อตัวเอง ข้าก็จำเป็นต้องถาม อย่างไรขอพี่อวี้อย่าได้ปิดบัง ข้าขอบคุณพี่อวี้ล่วงหน้าตรงนี้แล้วกัน” พูดจบ เขาก็หยัดกายเตรียมจะคำนับให้อวี้หย่วน
เมื่อครู่ละครฉากใหญ่ของอวี้ถังเพิ่งจะสงบลงไป กู้ซานก็เป็นฝ่ายถามเรื่องสกุลหลี่ขึ้นมาอีก อวี้หย่วนไม่อยากมีปัญหาสอดแทรกเพิ่มเข้ามา รีบดึงเขาให้นั่งลง เอ่ยเสียงเบา “น้องกู้อย่าได้ทำเช่นนี้ มีอะไรพวกเราคุยกันดีๆ เถิด” พูดจบก็ยังมองไปรอบๆ คล้ายกลัวเรื่องกลัวราว
กู้ซานย่อมไม่อยากให้เรื่องลุกลามใหญ่โต
เขายอมนั่งแต่โดยดี ประสานมือไปทางอวี้หย่วน “พี่อวี้!”
อวี้หย่วนถอนหายใจ ปิดบังเรื่องแผนที่ไว้ เล่าวีรกรรมที่ฮูหยินหลี่ทำเพราะสู่ขออวี้ถังไม่สำเร็จออกมา รวมถึงเรื่องเว่ยเสี่ยวซานให้กับสองแม่ลูกสกุลกู้ฟัง
ทั้งสองคนยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ รอจนฟังถึงยามที่เชิญเผยเยี่ยนมาเป็นคนกลาง พวกเขาก็ยิ่งพากันสะท้านในใจ แม่นมกู้เอ่ยอย่างตกใจ “เช่นนั้นแล้ว นายท่านสามสกุลเผยก็ทราบเรื่องนี้อย่างนั้นรึ?”
ดูท่าแล้ว คงเกรงกลัวเผยเยี่ยนอยู่บ้าง
อวี้หย่วนคิดคล้อยตาม ชำเลืองตามองอวี้ถังอย่างว่องไว “ทราบแล้ว! ไม่เพียงนายท่านสามสกุลเผย แต่ผู้คนมีหน้ามีตาในเมืองหลินอันของพวกเราก็รู้โดยทั่วกัน”
สีหน้าของแม่นมกู้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดโดยพลัน
อวี้ถังกลอกตา ตั้งใจแค่นเสียง “ยามนี้คงรู้ว่าพวกเราไม่ได้พูดจาเรื่อยเปื่อยแล้วกระมัง? หากพวกเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ไปถามนายท่านสามสกุลเผยได้”
แม่นมกู้ไม่ปริปากกล่าวอันใด
รอยยิ้มของกู้ซานดูฝืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หยัดกายขึ้นพยุงมารดา “พี่อวี้ ถึงเวลาที่ข้าจะไปเข้างานแล้ว คงต้องขอตัวก่อน ภายหลังหากมีเวลาข้าจะเชิญเจ้าไปดื่มชา”
อวี้หย่วนลุกขึ้นส่งเขา แสร้งเอ่ยออกมา “พี่อวี้ น้องสาวข้าเป็นคนมุทะลุอยู่บ้าง หากพูดล่วงเกินที่ใดไป ขอเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” กู้ซานเอ่ยอย่างถ่อมตัว
ทั้งสองคนกล่าวเป็นมารยาทกันสักพัก ก็แยกย้ายทางใครทางมัน
อวี้หย่วนทอดมองแผ่นหลังของสองแม่ลูกกู้ซาน ถอนหายใจยาว เอ่ยกับอวี้ถังอย่างอารมณ์ดี “ไอหยา วันนี้โชคดีจริงๆ ในที่สุดเรื่องนี้ก็เสร็จสรรพไป ไม่อย่างนั้นหากเจ้าให้ข้าพูดใส่ร้ายสกุลหลี่ต่อหน้าผู้อื่น ข้าคงพูดไม่ออกอยู่บ้างจริงๆ”
อวี้ถังยิ้มอย่างเข้าใจ “หากพูดเรื่องโชค นั่นก็เป็นโชคของท่านพี่ หากไม่ใช่ท่านสงสารข้า พาข้ามากินบะหมี่ พวกเราจะพบสองแม่ลูกกู้ซานได้อย่างไร? ทั้งคงไม่พูดคุยกับพวกเขาอย่างราบรื่นเช่นนี้? เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านพี่แล้ว!”
อวี้หย่วนหน้าแดงเถือก เขินอายกว่าจะพูดอะไรอีก จึงเปลี่ยนประเด็น “เช่นนั้นอีกเดี๋ยวพวกเราจะทำอะไรดี? หรือล่วงหน้ากลับหลินอันเลย?”
ตามแผนเดิมพวกเขาจะพักที่นี่สองวันสองคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ
อวี้ถังครุ่นคิด “พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเราค่อยกลับก็ได้กระมัง! เวลาที่เหลือก็เที่ยวเล่นในเมืองหังโจว ดูว่าร้านค้าคนอื่นตกแต่งวางของอย่างไร? เด็กในร้านต้อนรับลูกค้าอย่างไรบ้าง? การค้าแบบใดที่รายได้ดีที่สุด? ทั้งพวกร้านค้าเครื่องลงรัก เครื่องเงินนั้นขายของใช้แบบไหนบ้าง…ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”
“ได้สิ!” อวี้หย่วนยิ้มเผล่ “พวกเราทำเรื่องสำคัญที่สุดสำเร็จแล้ว เรื่องอื่นล้วนพูดกันได้ทั้งนั้น”
อวี้ถังพยักหน้า
สองพี่น้องเดินเที่ยวเล่นอย่างชื่นอุรา
—
ด้านแม่ลูกสกุลกู้พูดคุยกันเงียบๆ หลังร้านผ้าไหมสกุลกู้อยู่ค่อนวันจึงแยกย้ายกัน กู้ซานตบแก้มตัวเอง ทำให้ตัวเองดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจึงค่อยเข้าร้าน ส่วนแม่นมของกู้ซีเดินกลับจวนด้วยใบหน้ามืดมนตลอดทาง
วันถัดมาฟ้าไม่ทันสว่าง ก็มีคนออกจากประตูหลังสกุลกู้ ขึ้นเรือไปเมืองหลินอัน
สองพี่น้องอวี้ถังก็อยู่บนเรือเที่ยวนี้เช่นกัน
ทั้งสองคนทำเหมือนยามที่มา หามุมหนึ่งนั่งลง พูดถึงสิ่งที่ได้พบได้เห็นตลอดสองวันนี้ที่หังโจว อวี้ถังก็ฉวยโอกาสยุยงอวี้หย่วนยึดอำนาจในการตัดสินใจของร้านค้าสกุลอวี้ “ข้าไม่ได้อยากให้ท่านอกกตัญญูต่อลุงใหญ่ ข้าคิดว่าหากไม่ทำลายสิ่งเก่า ย่อมไม่อาจสร้างสิ่งใหม่ แทนที่จะให้ร้านค้าสกุลพวกเราถึงทางตันจนตรอกอยู่เช่นนี้ มิสู้ตัดสินใจเด็ดขาดให้เหลือทางรอดเดียว หากลุงใหญ่ยินยอมมอบร้านค้าให้ท่านดูแล ก็ให้ลุงใหญ่ไปควบคุมดูแลเรือกสวนไร่นาและพื้นที่ป่าเขาของสกุลพวกเรา หากลุงใหญ่ยังดึงดันจะจัดการร้านค้าเอง มิสู้ท่านไปดูแลทางสวนไร่และพื้นที่ป่าเขาของสกุล รอจนทางนั้นมีผลผลิตกำไร ลุงใหญ่รู้ว่าท่านมีความสามารถ คำพูดของท่านก็ย่อมมีน้ำหนักในสกุลพวกเรา ยามที่ท่านและลุงใหญ่ปรึกษาหารือเรื่องร้านค้าว่าจะทำอย่างไร ลุงใหญ่ยอมให้ความสำคัญและคำนึงถึงความคิดเห็นของท่าน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงใหญ่และญาติผู้พี่ก็ไม่ต้องทะเลาะกัน ทั้งสามารถให้ลุงใหญ่ค่อยๆ ส่งมอบร้านค้าให้เขาได้
อวี้หย่วนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรอยู่
อวี้ถังเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดไม่ต่างจากท่านเช่นกัน ร้านค้าในบ้านให้ลุงใหญ่เป็นคนดูแล ส่วนท่านไปทำกิจการที่หังโจว แต่สองวันนี้หลังจากที่ข้าเดินเที่ยวเล่นในหังโจวกับท่าน ก็พบว่าแต่ละร้านที่ลงหลักปักฐานที่นี่ ล้วนมีกลเม็ดเคล็ดลับเป็นของตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เงินสามารถแก้ปัญหาได้ ในหนังสือก็บอกไม่ใช่รึ? การปกครองประเทศก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อย[1]? พวกเรายิ่งไม่อาจรีบร้อนได้ ควรค่อยเป็นค่อยไป”
อวี้หย่วนเอ่ย “เหมือนกับเจ้าใช่หรือไม่?”
เมื่อก่อนอวี้เหวินกระทำอันใดไม่เคยเอ่ยถามอวี้ถังเลย วันนี้หากประสบพบเจอเรื่องราวย่อมมิวายถามความเห็นอวี้ถัง หากอวี้ถังคัดค้าน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะละทิ้ง แม้ว่าจะเป็นบิดาของเขา ยามนี้หากมีเรื่องใดที่มีความคิดของอวี้ถังเข้ามาข้องเกี่ยว ก็จะครุ่นคิดอย่างละเอียดเช่นกัน
—————————-
[1]การปกครองประเทศก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อย อุปมาว่า การปกครองประเทศก็เหมือนทอดปลาในกระทะ ไฟแรงปลาก็ไหม้ ไฟอ่อนเกินเวลาพลิกก็ติดกระทะ ดังนั้นต้องคอยปรับไฟอย่างรอบคอบ เหมือนกับการปกครองประเทศ ต้องระมัดระวัง สุขุมรอบคอบ จึงจะปกครองประเทศให้ดีได้