แม่เหยาซึ่งนำอาหารมาส่งให้ ได้ยินหยินหลิ่วเล่าว่าผู้ที่ทำให้ตระกูลเยี่ยพากันวุ่นวายยกใหญ่นั่นก็คือหลินหลัน เดิมทีนางยังไม่เชื่อ จนกระทั่งได้พบหลินหลันจึงไม่อาจไม่เชื่อก็คงไม่ได้เสียแล้ว
“หลินหลันอ่า สรุปแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ไฉนเจ้ากับเส้าเหยียถึงได้…” แม่เหยาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินหลันได้แต่ยิ้มแห้ง นี่นางต้องคอยอธิบายให้ทุกคนฟังใช่ไหม?
“เรื่องนี้…หากจะให้เล่าคงต้องใช้ระยะเวลานาน ขอกินข้าวก่อนแล้วกัน” ต่อให้ต้องอธิบายก็จำเป็นต้องอิ่มท้องก่อนล่ะ!
หยินหลิ่วรีบเอ่ยขึ้น “แม่นาง มาให้ข้าช่วยเถอะ!”
ขณะพูดก็บรรจงจัดวางชามและตะเกียบให้หลินหลัน ตามด้วยจานอาหาร “แม่นาง เชิญท่านกินตามสบายนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดเมื่อครู่ ท่าทีที่หยินหลิ่วแสดงออกมาดีมากๆ อย่างไรก็ตาม นางจะสามารถอยู่ต่อได้หรือไม่นั้นไว้ค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน ดูเหมือนว่าเหล่าฟู่เหรินเยี่ยโกรธมากจริงๆ เกรงว่าตอนนี้หลี่ซิ่วฉายคงถูกเรียกเขาไปอบรมอีกครั้งเสียแล้วกระมัง
หลินหลันหยิบชามและตะเกียบเตรียมจะกินข้าว ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสก็ลอยสวนเข้ามากะทันหัน
“นางอยู่ไหน รีบพาข้าไปดูหน่อย…”
หลินหลันตกตะลึง เหมือนว่ากฎระเบียบของตระกูลเยี่ยค่อนข้างมากมาย เหล่าฟู่เหรินก็เป็นคนจริงจัง ทำให้ทุกคนต่างต้องระมัดระวังคำพูดคำจา แล้วใครกันที่กล้าส่งเสียงหัวเราะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้
หยินหลิ่วได้ยินเสียง จึงเอ่ยเตือนขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ฟู่เหรินรองมาแล้ว”
ฟู่เหรินรอง? เช่นนี้ก็หมายความว่า เป็นป้าสะใภ้ของหลี่ซิ่วฉายสินะ
หลินหลันที่เพิ่งลำดับความสัมพันธ์ได้ ก็เห็นผู้ที่ท่อนบนเต็มไปด้วยลูกประคำ ผิวพรรณอวบอิ่ม สวมใส่ชุดเป้ยจึ [1] พื้นผ้าปักด้วยลายดอกไม้นานาชนิด ผู้หญิงซึ่งกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น่าจะอายุอานามไม่เกินสี่สิบไปไกลนัก
สายตาหันมามองเล็กน้อย จับจ้องไปบนเรือนร่างของหลินหลัน ก่อนจะมองหลินหลันอย่างสำรวจตั้งแต่บนจรดล่าง
หลินหลันที่กำลังถูกนางจ้องมองเช่นนั้นก็อดเกรงใจไม่ได้จึงต้องลุกขึ้นยืน วางชามและตะเกียบลง แล้วแสดงท่าคาระให้แก่ฟู่เหรินรอง
ฟู่เหรินรองเผยรอยยิ้มขึ้นก่อนที่จะเอ่ยออกมา “รูปลักษณ์เช่นนี้ช่างงดงามเสียจริง จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนหญิงสาวที่มาจากหมู่บ้าน หากว่าแต่งตัวแต่งหน้าค่าตาให้ดีๆ แล้วแอบอ้างว่าเป็นลูกสาวข้าหลวงผู้ดูแลเขตก็ยังได้”
หลินหลันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เมื่อได้ฟังประโยคนี้ อะไรที่เรียกว่าแอบอ้างเป็นลูกสาวข้าหลวงผู้ดูแลเขต นึกถึงหลินหลันเมื่อชีวิตก่อนของนางเกิดในตระกูลร่ำรวยมั่งคั่ง ได้รับการศึกษาซึ่งเป็นชั้นดีที่สุด เดินอยู่บนเส้นทางซึ่งเน้นความงามและบุคลิกภาพเป็นสำคัญ ด้วยชีวิตในปัจจุบันนี้ที่บีบบังคับ จึงจำใจต้องใช้กลวิธีที่ดุเดือดและไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่ตราบใดที่นางเต็มใจที่จะแสดงท่าทีอ่อนน้อมก็จะเป็นหญิงสาวซึ่งมีลักษณะอ่อนโยนสง่างามมีคุณธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมั่นคงเฉกเช่นหญิงงามคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูรอยยิ้มของฟู่เหรินรองกับนัยน์ตาที่มีเพียงความสดใสและชื่นชม ไร้ซึ่งการดูหมิ่นเหยียดหยาม แล้วยังดูเหมือนกับชื่นชมนางด้วยใจจริงเสียซ้ำไป หลินหลันรู้สึกวางใจขึ้นมา จึงมองไปยังฟู่เหรินรองด้วยดวงตาคู่กลมโตพร้อมกับฉายความสดใสและรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
เมื่อเห็นท่าทีเขินอายเล็กน้อยของนาง ฟู่เหรินรองก็ยิ้มอย่างชอบใจเข้าไปอีก ดึงมือของหลินหลันเข้าไปอย่างใจดีแล้วกล่าวขึ้น “ว่ากันว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งลดลงไปก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งเข้ามาทดแทน ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่าใบหน้าที่ทั้งวันเอาแต่แสร้งทำเป็นเย็นชา ไม่รู้จักยิ้มแย้มแจ่มใสของหลานชายข้านั้นจะหาหญิงสาวรูปร่างหน้าตาเช่นไรมากำราบเขาได้ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเป็นลักษณะเช่นเจ้า ช่างดีงามเหลือเกิน”
หลินหลันรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ความใจดีของฟู่เหรินรองท่านนี้ได้มาจากไหนกัน หรือว่านางไม่แยแสต่อภูมิหลังของนางเช่นนั้นหรือ อีกทั้งนางเองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าฟู่เหรินเยี่ย และต่อให้เหล่าฟู่เหรินเยี่ยยอมรับแล้ว ก็ยังมีเหล่าไท้เยี่ยอีกด่านหนึ่ง! ทว่าฟู่เหรินรองก็กล้าแสดงออกด้วยความดีใจอย่างข้ามหน้าข้ามตาสองผู้ชราเช่นนั้นหรือ
“ท่านป้าสะใภ้รอง ข้าแสร้งทำเป็นเย็นชาตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ ท่านพูดเช่นนี้ หลินหลันจะเข้าใจผิดเอาได้” หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะเดินเข้ามา นัยน์ตาของเขาแสดงให้เห็นถึงอาการทำอะไรไม่ถูก
หลินหลันเห็นเขาได้เปลี่ยนไปอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าต่วนทรงตรงตัวยาวลายพระจันทร์ขาว ช่วงเอวผูกด้วยริบบิ้นผ้าไหมสีน้ำเงินเส้นบาง อีกทั้งบนริบบิ้นไหมยังประดับไว้ด้วยหยก คนทั้งคนดูหล่อเหลาและสง่างามขึ้นมาเป็นพิเศษ คนงามเพราะแต่งที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ฟู่เหรินรองยิ้มอย่างรำคาญแล้วเอ่ยขึ้น “หากอยากให้ข้าไม่พูดถึงเจ้าอย่างเสียๆ หายๆ ต่อหน้าหลินหลันก็ย่อมได้ เช่นนั้นเจ้าช่วยเขียนป้ายแขวนหน้าร้านที่ท่านลุงของเจ้าเพิ่งเปิดใหม่ในเขตเมืองหวู่โจวให้หน่อยสิ”
หลี่หมิงอวินกลับมองไปยังหลินหลันอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หลินหลันควรมีเสื้อผ้าชุดใหม่เพิ่มได้แล้ว หลานสะใภ้ของตระกูลเยี่ยหากสภาพมอมแมมเกินไป จะทำให้ผู้คนพากันหัวเราะเยาะเอาได้”
หลินหลันอดไม่ได้ที่จ้องกลับไป นี่เขากินยาอะไรมาผิดหรือไม่ ไฉนจึงเรียกว่าหลานสะใภ้ตระกูลเยี่ย เหล่าฟู่เหรินเยี่ยยินยอมแล้ว? หรือว่าต้องการนางทำหน้าด้านหน้าทนเกาะอยู่ที่นี่?
หลี่หมิงอวินทำเป็นมองหลินหลันอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก แล้วจึงมองไปยังท่านป้าสะใภ้อย่างมีเล่ห์สะนัย
ฟู่เหรินรองหยักคิ้วสวยของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “เจ้าก็ดูถูกป้าสะใภ้เกินไปแล้ว เห็นป้าสะใภ้เป็นคนแรงน้ำใจเช่นนั้นหรือ อีกประเดี๋ยวเจ้าพาหลินหลันไปในร้าน เลือกที่เนื้อผ้าดีๆ รูปแบบสวยๆ ให้ครบไปเลยผลิร้อนร่วงหนาวฤดูละสี่ชุด แถมเครื่องประดับเงินทองรุ่ยฟู่เซียงให้ด้วยอย่างละหนึ่งชุด ป้าสะใภ้ทำเช่นนี้คงดีพอแล้วใช่ไหม”
หลินหลันถึงกับพูดไม่ออก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงชุดใหม่สิบหกชุดนั่น ลำพังเครื่องประดับเงินทองลุ่ยฟู่เซียงนั่นก็มูลค่าไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ป้าสะใภ้ท่านนี้ช่างใจกว้างเกินไปแล้วมั้ง!
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มนุ่มนวล แล้วยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าเพื่อแสดงความเคารพพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้หมิงอวินจะนำตัวอักษรส่งไปให้”
ฟู่เหรินรองถึงแม้จะเผยท่าทีที่สดชื่นแจ่มใสต่อผู้อื่น อีกทั้งยังใจกว้าง แต่ทว่าเพื่อต่อรองกับตัวอักษรจึงต้องลงทุนมากเสียขนาดนี้ ในใจก็รู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย จึงกล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “หมิงอวินอ่า! น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้าไม่ได้ทำการค้า หากเจ้าละทิ้งงานเขียนของเจ้าแล้วเริ่มต้นการค้าขาย กิจการการค้าขายอันดับหนึ่งภายใต้หล้านี้จะเป็นใครไปได้นอกเสียจากชื่อของเจ้า”
หลี่หมิงอวินไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ ทำเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกไป “ท่านป้าสะใภ้กล่าวชมเกินไปแล้ว”
หลังจากเหล่าฟู่เหรินเอ่ยอย่างปากหวานไปแล้ว ก็เข้าไปกระซิบกระซาบอย่างล้อเล่นข้างใบหูหลินหลัน “เจ้าอย่าได้หลงกลถูกรูปลักษณ์อันหล่อเหลาซื่อตรงของเขาหลอกเข้าให้เชียวล่ะ หมิงอวินเขาไม่ธรรมดาน่ะ…”
หลินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบสายตาไปมองหลี่หมิงอวินด้วยความรู้สึกทำตัวไม่ถูก ขณะที่ในใจก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มผู้เขาต้องมีทักษะที่ดีในการแสร้งทำเป็นคนโง่เพื่อให้คู่ต่อสู้วางใจแล้วถือโอกาสคว้าชัยชนะในท้ายที่สุดเป็นอย่างแน่นอน
หลี่หมิงอวินกำกำปั้นหลวมๆ วางไว้บนตำแหน่งริมฝีปากร่าง ทำเป็นส่งเสียงกระแอมออกมาสองที
ฟู่เหรินรองเอ่ยด้วยร้อยยิ้มเบิกบาน “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนหนุ่มสาวสามีภรรยาที่กำลังมีความรัก ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามข้าออกไปเถอะ!”
หลินหลันถูกคำพูดของท่านป้าสะใภ้รองทำให้ตกใจสะพรึงขึ้นมาอีกระรอก หญิงสาวของตระกูลใหญ่ในยุคโบราณส่วนมากล้วนไม่ใช่ว่าสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมากหรอกหรือ ก้าวเดินห้ามเห็นนิ้วเท้า หัวเราะห้ามเห็นฟัน พูดจาอย่างระมัดระวัง หรือท่านป้าสะใภ้รองผู้นี้อาจจะเป็นผู้ที่ข้ามเวลาทะลุมิติมาเช่นกันงั้นหรือ
ในครู่ถัดมา ภายในห้องก็เหลือเพียงหลินหลันและหลี่หมิงอวินเท่านั้น
“เจ้าอย่าได้ถือสา ท่านป้าสะใภ้รองกำเนิดในสถานที่เก่าแก่ซึ่งมีการสอนศิลปะการต่อสู้ พูดจาจึงค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ทว่า นิสัยใจคอดียิ่งนัก” หลี่หมิงอวินอธิบาย
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ยังนึกว่าได้พบเจอประเภทเดียวกันเสียอีก! หลินหลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“จางต้าฮู่ไม่ได้มาหาเรื่องใช่ไหม” เพราะว่าคำพูดทีเล่นทีจริงเมื่อครู่ของป้าสะใภ้รอง ทำให้หลินหลันรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก จึงหาหัวข้อสนทนาขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อย
“มาแล้ว แต่ทว่าให้ท่านตาช่วยขับไสไล่ส่งไปแล้ว” หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย
ทว่าหลินหลันกลับรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยถามต่อ “ขับไสไล่ส่งไปอย่างไรหรือ มีปากเสียงทะเลาะกันขึ้นมาหรือไม่”
หลี่หมิงอวินมองเห็นแสงตื่นตาตื่นใจภายในดวงตาของนาง เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ท่านตาของข้าไม่เคยมีปากเสียงทะเลาะกับผู้ใด”
หลินหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพูดขึ้นอย่างชาญฉลาด “ยึดหลักการโน้มน้าวผู้คนด้วยเหตุผล โน้มน้าวผู้คนด้วยคุณธรรม ใช่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินเมื่อได้ยินจึงคิดอยู่ซักพัก ท่านตาดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผู้ที่พูดด้วยหลักการและเหตุผลเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นผู้ซึ่งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องลูกหลานอย่างดีที่สุด
ไม่ได้เห็นจางต้าฮู่ตกอยู่ในสภาพที่ผิดหวังและอับอายท่ามกลางสาธารณะ ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายเสียจริง
“เฮ้! ท่านยายของเจ้ากล่าว่าให้ข้าหนึ่งร้อยเหลี่ยงเงินเพื่อให้ข้าจากไป แล้วข้าก็ปฏิเสธไป นางจึงกล่าวอีกว่าให้ข้าบอกจำนวนมาด้วยตนเอง ข้าก็ยังคงไม่ตอบรับ เป็นไง? ข้าเป็นคนซื่อสัตย์อย่างมากเลยใช่ไหมล่ะ” หลินหลันพูดอย่างโอ้อวดตนเอง
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา พยักพเยิดหน้า แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็พอได้”
“ก็พอได้อะไรกัน? เห็นชัดๆ ว่าดีงามเกินกว่าพอได้ เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านยายของเจ้าเข้มงวดและจริงจังมากเพียงใด แต่ข้าก็ยังสู้หัวชนฝา ถึงอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านางก็ถูกข้าทำให้โมโหไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว เกรงว่าอีกประเดี๋ยวนางก็คงส่งคนมาเล่นงานข้าแล้วล่ะ” หลินหลันพูดพึมพำ
“ไม่หรอก” หลี่หมิงอวินหย่อนตัวลงนั่งหน้าโต๊ะกลมหินอ่อนพลางปลดสายเข็มขัดให้หลวมลง
หลินหลันตกตะลึง “ไม่หรอก? เจ้าแน่ใจได้อย่างไร เจ้าสามารถรับประกันได้ว่าท่านยายของเจ้าจะไม่ขับไล่ข้าออกไปเช่นนั้นหรือ”
“ใช่” ในน้ำเสียงของหลี่หมิงอวินเรียบเฉยทว่าเผยให้เห็นถึงความมั่นใจและความมุ่งมั่นแน่วแน่
หลินหลันมุ่ยปาก “อย่างไรก็ช่างสิ่งที่ควรทำข้าก็ทำไปหมดแล้ว จะสำเร็จหรือไม่ล้วนไม่ใช่เรื่องของข้าแล้ว”
หลี่หมิงอวินนึกถึงคำติชมหลินหลันของท่านยายที่ว่า…หนังหน้าหนาพอตัวและยังใจกล้าเป็นอย่างยิ่ง…จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
หลินหลันจ้องมองไปที่เขา “เจ้ายิ้มอะไร”
หลี่หมิงอวินรีบหุบยิ้ม แล้วหยิบชามข้าวพร้อมตะเกียบที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่ได้ยิ้มอะไร ท่านยายบอกว่าเจ้าดีมาก”
เขาไม่มีทางบอกหลินหลันถึงคำติชมนั้นแน่ ด้วยหากนางเกิดโมโหขึ้นมาแล้ววางมือไปเสียดื้อเช่นนั้นก็คงวุ่นวายแย่
หลินหลันผงะ เหล่าฟู่เหรินเยี่ยบอกว่านางดีมาก? เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า หรือว่าถูกนางทำให้โมโหจนสติสับสนไปหมดแล้ว?
ระหว่างที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น กลับเห็นหลี่หมิงอวินกำลังเริ่มกินข้าวชามนั้นซึ่งเป็นของนาง หลินหลันจึงรีบร้อนพุ่งเข้าไป “นี่เป็นข้าวของข้า…”
——
[1] ชุดเป้ยจึ (褙子) คือชุดสตรีในยุคโบราณมีลักษณะเหมือนกับเสื้อกั๊กตัวยาว