ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่ 36 ขึ้นเรือ

เยี่ยซินเอ๋อร์ซึ่งรู้ตัวเองดี ด้วยเกรงว่าตนเองจะอาเจียนจนหน้ามืดตาลายและทำให้การเดินทางของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องล่าช้าลง แม้ว่ายาที่หลินหลันจ่ายให้นั้นจะมีรสขมมากเพียงใด ก็กลั้นใจบีบจมูกแล้วกลืนลงไปและเมื่อขึ้นไปอยู่บนรถก็เลือกที่จะงีบหลับไป  

 

 

ปัญหานี้ถูกขจัดไปได้แล้ว ในที่สุดขบวนรถก็เดินทางมาถึงท่าเรือข้ามฟากมณฑลหลินอานในเวลาพลบค่ำของสามวันถัดมา  

 

 

เวลานี้ ดวงอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า เรือน้อยใหญ่ลอยขยับไปมาอยู่บนพื้นผิวน้ำในลำคลอง แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง ในสมัยโบราณนั้นการเดินทางโดยทางน้ำเป็นตัวเลือกแรกที่เหมาะสมต่อการเดินทางระยะทางไกล ประการแรกคือมีเรือของทางการหลวงล่องลอยในลำคลองเพื่อคอยตรวจตรารักษาความสงบเรียบร้อย จึงค่อนข้างปลอดภัย ประการที่สองสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่ความยากลำบากที่เกิดจากการเดินทางบนรถม้า ประการที่สามสามารถลดปัญหาในการหาที่พักค้างแรมทุกวัน ซึ่งค่อนข้างเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกทาง ทว่าข้อเสียก็คือช้าไปนิดหน่อย  

 

 

แต่ทว่าข้อเสียนี้ สำหรับหลี่หมิงอวินแล้วไม่นับว่าเป็นปัญหาด้วยเดิมทีเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  

 

 

ทันทีที่ขบวนรถมาถึงท่าเรือข้ามฟาก ก็มีหนุ่มน้อยผิวขาวดูสะอาดสะอ้านผู้หนึ่งมาให้การต้อนรับ  

 

 

“เส้าเหยีย เกือบจะทำให้ท่านต้องรอแล้ว ท่านรู้อะไรไหม เมื่อวานนี้มีครอบครัวหนึ่งมาที่นี่แล้วเกือบจะล่องเรือของพวกเราออกไปเสียแล้ว เอ่ยว่ามีเรื่องเร่งด่วน ครอบครัวนั้นยินยอมที่จะช่วยครอบครัวเจ้าของเรือจ่ายเงินค่าผิดสัญญาเป็นสองเท่าให้แก่พวกเรา ยังดีที่ว่าเจ้าของเรือท่านนี้มีจรรยาบรรณ ไม่ได้ตอบตกลงไป มิเช่นนั้น ช่วงเวลาแบบนี้จะให้หาเรือมาอีกคนยากมากจริงๆ …” เด็กหนุ่มคนนั้นบ่นใส่ทันทีที่ได้พบเจอ  

 

 

หลี่หมิงอวินโบกมือบอกปัดและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ตงจึไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าของเรือกับตระกูลเยี่ยรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นเสนอเงินเพียงไม่กี่สองเงินก็จะสามารถล่องเรือออกไปได้? ทำเพียงเอ่ยถามขึ้น “ข้าวของเตรียมไว้ครบถ้วนแล้วใช่ไหม”  

 

 

“เตรียมพร้อมไว้หมดแล้วขอรับ ทันทีที่ขึ้นเรือก็สามารถออกเดินทางได้เลย” เด็กหนุ่มรีบเอ่ยตอบทันควัน  

 

 

หลี่หมิงอวินหันไปสั่งการเหวินซาน “จัดการนำสิ่งของทั้งหมดย้ายขึ้นเรือเถอะ!”  

 

 

เหวินซานตอบรับอย่างขยันขันแข็ง ก่อนจะหันไปสั่งการให้ข้ารับใช้ช่วยกันขนสัมภาระขึ้นเรือไปอย่างเป็นระเบียบ  

 

 

“รถคันนี้เป็นของเส้าเหยียและเส้าฟูเหริน ให้ขนย้ายทั้งหมดไปไว้ที่ห้องของเส้าเหยีย ระมัดระวังหน่อย อย่าได้ทำตกหล่นเป็นเชียว ของเหล่านั้นจะต้องส่งมอบไปให้ที่บ้านของต้าเส้าเหย่  [1]  ขนย้ายเอาไปไว้ที่ท้ายเรือทั้งหมด ส่วนสัมภาระบนรถคันนี้เป็นของเสี่ยวเจี่ยะรอง ขนไปไว้ในห้องของเสี่ยวเจี่ยะรอง…”  

 

 

หลินหลันลงจากรถม้า อวี้หลงจัดเรียงสิ่งของที่หลินหลันถือติดตัวมาลงในกระเป๋าใบใหญ่อย่างระมัดระวังก่อนจะสะพายไว้บนหลัง ซึ่งดูเหมือนจะกินแรงอยู่ไม่น้อย  

 

 

เหวินซานมองเห็นสถานการณ์ จึงรีบร้อนวิ่งเข้ามา “ส่งมาให้ข้าถือเถอะ!”  

 

 

อวี้หลงมองไปยังหลินหลัน แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจัดการเองดีกว่า พี่เหวินซานไปทำธุระของพี่เถิด”  ในนี้ล้วนเป็นของมีค่าทั้งหมดของเส้าฟูเหริน หากส่งมอบให้แก่ผู้อื่นแล้วเกิดได้รับความเสียหายขึ้นมาคงชดใช้ไม่ไหวแน่  

 

 

จากระยะเวลาที่หลินหลันและอวี้หลงได้ใช้เวลาร่วมกัน ก็รู้ได้ถึงนิสัยใจคอของนาง ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำด้วยความระมัดระวังและทุ่มเทเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่พูดมากและบางครั้งก็ดูเคร่งขรึมจริงจังอยู่เล็กน้อย แม้ว่าหลินหลันจะเข้ากับนางอย่างสนิทสนมไม่ค่อยได้ แต่ก็พอรู้ได้ว่าผู้นี้เป็นคนที่เชื่อถือได้  

 

 

“เหวินซาน ให้นางแบกด้วยตัวเองเถอะ!” หลินหลันพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถามต่ออีก “ผู้นั้นเป็นใครหรือ”  

 

 

เหวินซานมองไปตามสายตาของเส้าฟูเหริน แล้วกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “อ่อ! เขาคือตงจึ เส้าเหยียสั่งให้เขาล่วงหน้ามาจัดการเรื่องเรือขอรับ”  

 

 

เป็นจังหวะเดียวกับที่ตงจึหันมองมาทางด้านนี้เช่นกัน ในดวงตากำลังฉายความประหลาดใจอย่างที่ไม่เชื่อในสายตาของตนเอง จนทำให้เขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเรียกจากผู้เป็นนาย  

 

 

“ตงจึ…” หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะเอ่ยเรียกขึ้นอีกครั้ง  

 

 

“ขอรับ!” ตงจึงเพิ่งจะเรียกสติกลับมา กล่าวด้วยสีหน้าทะเล้น “เส้าเหยีย ท่านช่างว่องไวเสียจริง ตงจึจากออกมาเพียงแค่เดือนเดียว เส้าเหยียท่านก็พาเส้าฟูเหรินกลับมาด้วยเสียแล้ว”  

 

 

หลี่หมิงอวินจ้องเขม่งใส่เขาไปหนึ่งที “ยังไม่รีบไปเชิญเส้าฟูเหรินขึ้นเรืออีก”  

 

 

“ได้เลยขอรับ!” ตงจึวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีที่แสนร่าเริง พร้อมใบหน้าซึ่งกำลังเผยรอยยิ้มประจบประแจง ก่อนจะแสดงท่าคาราวะให้แก่หลินหลันอย่างเกินจริงไปเสียหน่อย “เส้าฟูเหริน ตงจึน้อย ขออนุญาตประครองเส้าฟูเหรินขึ้นเรือขอรับ”  

 

 

หลินหลันหัวเราะอยู่ในใจ นี่ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักและฉลาดไม่เบาเลยทีเดียว  

 

 

หยินหลิวที่อยู่ด้านข้างหัวเราะและกล่าวออกมา “เส้าฟูเหรินไม่ต้องให้เจ้าประครองหรอก เป็นเสี่ยวเจี่ยะรองทางนั้นต่างหากที่ต้องการ”  

 

 

ตงจึรีบร้อนทำท่าทีจริงจัง “ทว่าในสายตาของตงจึมีเพียงเส้าฟูเหรินเท่านั้น”  

 

 

หยินหลิ่วกล่าวอย่างล้อเล่น “แต่เจ้าก็ได้รับประโยชน์จากเขามาแล้วไม่น้อย…”  

 

 

ตงจึร้อนใจยกใหญ่ “หยินหลิ่วเจี่ยะเจีย จะมาใส่ร้ายคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ได้นะ”  

 

 

“ข้าใส่ร้ายเจ้าตรงไหนหรือ”  

 

 

สองคนเริ่มมีศึกปากเสียงขึ้นมา  

 

 

หลินหลันฟังดูแปลกหูชอบกล ดูเหมือนว่าเยี่ยซินเอ๋อร์ปฏิบัติต่อตงจึงอย่างมีอะไรแอบแฝงอยู่ในคำพูดนี้  

 

 

อวี้หลงเอ่ยตะคอกขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “รีบหยุดปากเถอะ! ท่านแม่โจวมาทางนี้แล้ว”  

 

 

สองคนจึงได้ยอมปิดปากสนิท แม่โจวเดินผ่านมาและชักสีหน้าบึ้งตึง “เหตุใดจึงยังไม่ไปขึ้นเรือกันอีก”  

 

 

ตงจึหัวไว ยิ้มแฮะแฮะแล้วกล่าวออกไป “สวัสดีท่านแม่โจว ตอนนี้กำลังขนย้ายสิ่งของน่ะ! เส้าเหยียกล่าวว่ารอให้ขนย้ายสัมภาระรถคันนี้ขึ้นเรือแล้ว ทุกคนค่อยขึ้นเรือขอรับ”  

 

 

แผ่นกระดานสำหรับเหยียบขึ้นเรือถูกปูด้วยพรมเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการไถลลื่น หลี่หมิงอวินยืนอยู่ที่ท่าเรือ มองดูทุกคนค่อยๆ ทยอยขึ้นเรือทีละคน พลางเอ่ยให้ระมัดระวังขึ้นมาเป็นระยะๆ เมื่อหลินหลันเหยียบขึ้นบนแผ่นกระดาน เขายังทำทียื่นแขนออกไปหนึ่งข้างเพื่อช่วยประครอง “อย่ามองลงไปที่น้ำ เดินไปเบื้องหน้าก็พอ”  

 

 

หลินหลันขมวดคิ้ว นางไม่ได้บอบบางเสียขนาดนั้นสักหน่อย สาวท้าวก้าวยาวไปบนกระดานและเดินข้ามไปได้อย่างมั่นคง  

 

 

ตงจึอาสาที่จะพาหลินหลันไปห้องพักใต้ท้องเรือของนาง หลินหลันกลับไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปคุดซ่อนอยู่ภายใต้ท้องเรือแคบๆ และขอให้อวี้หลงและตงจึนำสิ่งของไปจัดเรียงให้เรียบร้อย แล้วตนเองจึงไปยืนอยู่บนดาดฟ้าบนเรือเพื่อชมวิวทิวทัศน์ของท่าเรือข้ามฟากโบราณ  

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะ หากท่านกลัวหลับตาลงก็ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะประครองท่านเดินข้ามไปเอง”  

 

 

หลินหลันหันไปยังเสียงที่ได้ยิน เห็นเพียงเยี่ยซินเอ๋อร์ยืนอยู่บนไม้กระดานข้ามฟาก ใบหน้าเผยอาการหวาดกลัว เอาแต่จ้องมองบนไม้กระดานไม่ยอมขยับเขยื้อน  

 

 

หลี่หมิงอวินจึงเอ่ยโน้มน้าวขึ้นเช่นกัน “เปี่ยวเหม่ยแค่ทำใจให้สบายแล้วเดินไปก็พอ”  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์มองไปยังหลี่หมิงอวินอย่างกังวลปนเศร้า กล่าวขึ้นด้วยเนื้อเสียงอ่อนแอ “เปี่ยวเกอ ข้ารู้สึกกลัวจริงๆ …”  

 

 

แม่ติงที่ขึ้นเรือไปเรียบร้อยแล้ว มองดูเสี่ยวเจี่ยะไม่กล้าข้ามมา จึงเอ่ยโน้มน้าวอีกแรง “เสี่ยวเจี่ยะ ใจกล้าไว้เจ้าค่ะ ไม่เป็นไรหรอก แผ่นกระดานนี้เพียงแค่มองดูเหมือนอันตรายแต่ที่จริงแล้วแข็งแรงมั่นคงอย่างมากเลยเจ้าค่ะ”  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงลังเล และมองไปยังหลี่หมิงอวินด้วยความหวาดกลัว  

 

 

หลี่หมิงอวินหันมองข้างหลังนาง มีผู้คนต่อคิวรอขนกระเป๋าเดินทางขึ้นเรือกันยาวเหยียด ดังนั้นการทำตัวแข็งทื่ออยู่เช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ จึงเอ่ยออกไปอีกครั้ง “เปี่ยวเหม่ย เจ้าหลับตาลงเดี๋ยวข้าช่วยประครองเจ้าเดินข้ามไป”  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงเผยสีหน้าอ่อนแอ แต่กลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วหลับตาลง  

 

 

หลินหลันนึกถึงคำพูดของหยินหลิ่วกับตงจึขึ้นมาได้ ในใจรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ จึงเดินตึงตังเข้าไป และหยุดชะงักหลี่หมิงอวินไม่ให้ยื่นมือออกไปเพื่อประครองเยี่ยซินเอ๋อร์ แล้วตนเองก็ช่วยเข้าไปประครองเย่ซินเอ๋อร์ไว้แทน  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงคิดว่าเป็นเปี่ยวเกอที่ประครองนางเอาไว้ ความสุขซึ่งกำลังเบิกบานอยู่ในใจเกินกว่าความกลัวที่มีต่อแผ่นไม้กระดานแคบๆ และผิวแม่น้ำที่กระเพื่อมไปมา และแล้วเรียวขานั้นก็ก้าวออกไปเบื้องหน้า  

 

 

“เปี่ยวเหม่ย ถึงแล้ว สามารถลืมตาขึ้นได้แล้ว” หลินหลันเอ่ยปากขึ้นอย่างยิ้มแย้ม  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ลืมตาขึ้นมอง ผู้ที่ประครองนางไม่ใช่เปี่ยวเกอ และเห็นว่าเป็นหลินหลัน  

 

 

หลินหลันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเยี่ยซินเอ๋อร์แข็งแรงดี ความสงสัยนั่นจึงเริ่มชัดเจนขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าซึ่งแต่งแต้มรอยยิ้มที่ดูใจเย็นเอาไว้ “เปี่ยวเหม่ยขี้ขลาดเกินไป เจ้าดูสิ นี่ก็ไม่ใช่ว่าเดินข้ามมาได้อย่างปลอดภัยแล้วหรอกหรือ”  

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ยิ้มอย่างแข็งกร้าว แล้วก้มศีรษะลงอย่างอ่อนน้อม โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขินอายหรือเพื่อปิดซ่อนความผิดหวังภายในใจของนางกันแน่  

 

 

“ทำให้พี่สะใภ้หัวเราะเหยาะเข้าจนได้”  

 

 

หลินหลันหันไปสั่งการสาวใช้ของเยี่ยซินเอ๋อร์ “รีบพาเสี่ยวเจี่ยะรองไปยังท้องเรือเถอะ! คลื่นลมกำลังแรง”  

 

 

หลิงอวิ้นและหลิงอินรีบเข้ามาประครองเยี่ยซินเอ๋อร์ลงไปใต้ท้องเรือในทันที  

 

 

ขณะที่กุ้ยซ่าวซึ่งกำลังประครองแม่โจวพลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงบางเบา “ห้องพักของเส้าเหยียกับห้องพักของเสี่ยวเจี่ยะรองใกล้กันเกินไปแล้วหรือไม่ หรือว่าจะย้ายเปลี่ยนดีไหม”  

 

 

แม่เจ้ากล่าวขึ้นโดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ “เรือนี้พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเสียเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวเจ้าช่วยเรียกอวี้หลงมาห้องข้าทีสิ”  

 

 

กุ้ยซ่าวพยักหน้าเป็นการตอบรับ แล้วมองไปยังหลินหลันอย่างครุ่นคิด ที่จริงแล้วความรู้สึกนึกคิดของเสี่ยวเจี่ยะรองนั้น ผู้คนมากมายในจวนต่างล้วนเข้าใจกันอยู่เต็มอก เพียงแต่พากันปิดบังท่านชายชราและท่านหญิงชราเอาไว้ก็เท่านั้น เดิมทีคิดว่าการที่เส้าเหยียพาเส้าฟูเหรินกลับมาด้วย จะสามารถทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเสี่ยวเจี่ยะรองเปลี่ยนไป แต่ทว่าดูจากสีหน้าท่าทีเมื่อครู่แล้ว…กุ้ยซ่าวก็นึกถอนหายใจขึ้นภายในใจ การที่ท่านหญิงชราให้เสี่ยวเจี่ยะรองมาร่วมเดินทางด้วย ไม่เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มความลำบากใจให้แก่เส้าเหยียหรอกหรือ อีกทั้งการเดินทางครั้งนี้มิใช่เพียงระยะทางสั้นๆ หากเกิดเรื่องอะไรที่ผิดพลาดขึ้นมา…คงยากเหลือเกินที่จะป้องกันได้!  

 

 

 

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ต้าเส้าเหย่ (大少爷) ใช้เรียกนายท่านใหญ่ ซึ่งเป็นพ่อของสามี

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ปฏิญญาค่าแค้นหลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมา จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง นั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับ ให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา ในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือ เขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset