ปฏิญญาค่าแค้น – ตอนที่132-1 หายนะ

หลี่หมิงอวินโอบกอดนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนทันทีที่ขึ้นเตียง ชุดเนื้อผ้าไหมบางเบาที่กั้นระหว่างกลางทำให้สัมผัสได้ถึงฝ่ามือซึ่งมีความเย็นเล็กน้อยของเขาที่กำลังลูบไล้อย่างเบามือบนเรือนร่างของนาง  

 

 

“ท่านพ่อเรียกเจ้าไปทำอันใดหรือ ถึงได้พูดคุยกันเสียยาวนานขนาดนี้…” หลินหลันโอดครวญด้วยน้ำเสียงบางเบา ขณะเดียวกันก็ขยับตัวซุกหาตำแหน่งที่สบายมากที่สุดในอ้อมกอดของเขา  

 

 

“พี่ใหญ่กลับไปก่อนนานแล้ว หลังจากนั้นท่านพ่อก็ให้ข้าอยู่ต่อเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องในราชสำนัก” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  

 

 

หลินหลันเมื่อได้ยินดังกล่าวกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย “หรือท่านพ่อก่อปัญหาให้เจ้าแล้ว”  

 

 

หลี่หมิงอวินอมยิ้มก่อนจะจรดจุมพิษลงไปบนหน้าผากของนาง “เจ้ามักจะความรู้สึกไวอยู่เสมอเลยนะ”  

 

 

เมื่อถูกนางทายอย่างถูกต้อง หลินหลันจึงเอ่ยถามต่อด้วยความกังวลใจ “สามารถสะสางได้หรือไม่”  

 

 

“ตอนนี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้เกิดความไม่สงบสุข ฮ่องเต้จึงมีประสงค์ให้โยกย้ายองค์ชายสี่ไปคุมกรมกลาโหม…”  

 

 

หลินหลันกลับไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด องค์ชายสี่ครอบครองกองกำลังทหารในราชสำนัก หากฮ่องเต้โยกย้ายองค์ชายสี่ไปยังกรมกลาโหมจริง เมื่อเกิดสงครามขึ้นมา องค์ชายสี่ก็จะสามารถควบคุมกองกำลังทหารได้อย่างเต็มอำนาจ ซึ่งนี่สำหรับองค์รัชทายาทคงถือเป็นข่าวที่เลวร้ายมากจริงๆ  

 

 

“เช่นนั้นท่านพ่อว่าอย่างไรหรือ”  

 

 

นัยน์ตาของหลี่หมิงอวินฉายให้เห็นอารมณ์สงบนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ท่านพ่อได้ติดต่อขุนนางระดับสูงฝ่ายบุ๋น ให้เตรียมยื่นเสนอองค์ชายสามไปควบคุมกรมกลาโหม ทว่าข้อเสนอแนะนี่คงต้องถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน หากพูดกันอย่างเป็นธรรม ในหมู่บรรดาองค์ชายนั้น เกี่ยวกับความสามารถทางวรยุทธศิลปะการต่อสู้ องค์ชายสี่ถือได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นมากกว่าใครๆ และในความเป็นจริงฮ่องเต้ก็ทรงร่างพระราชโองการเรียบร้อยแล้วด้วย”  

 

 

“เช่นนั้นเจ้าได้บอกท่านพ่อแล้วหรือไม่”  

 

 

หลี่หมิงอวินส่ายหน้าโดยมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ตอนที่ฮ่องเต้ร่างพระราชโองการ ข้าก็อยู่ด้านข้างพระองค์”  

 

 

หลินหลันตกตะลึง ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายอยู่ข้างองค์รัชทายาท หรือว่าฮ่องเต้กำลังทดสอบหลี่หมิงอวิน  

 

 

หลินหลันเม้มริมฝีปากก่อนตัดสินใจกล่าวออกไป “หมิงอวิน เจ้าจะต้องเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์ให้ได้นะ”  

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปที่นางอย่างเงียบๆ และจู่ๆ ก็อมยิ้มขึ้นมา “ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความรุนแรงในสงครามที่กำลังจะปะทุขึ้น การแสดงออกของฮ่องเต้ก็เพื่อเอาใจผู้บัญชาการกองทัพ ในเมื่อบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก และบรรดาแม่ทัพยังจำเป็นต้องออกไปเผชิญความเป็นความตาย ดังนั้นข้าทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อล้มเลิกความคิดไปเสีย มันไม่มีประโยชน์ จะมีแต่ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่าองค์รัชทายาทเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม”  

 

 

หลินยังคงเป็นกังวลอย่างมาก “เกรงว่าท่านพ่อจะไม่รับฟังที่เจ้าเอ่ยออกไปน่ะสิ”  

 

 

“ท่านพ่อลังเลใจแล้วล่ะ ท่านพ่อมีประสบการณ์มายาวนานถึงสิบกว่าปี ความเกี่ยวข้องอันรุนแรงที่อยู่ในนั้น เขาเองก็พอตระหนักได้” แม้ว่าหลี่หมิงอวินจะพูดเช่นนี้แต่ก็หาได้มีความมั่นใจไม่  

 

 

หวังว่าพ่อผู้ไร้ยางอายจะสามารถเข้าใจได้ มิใช่กลายเป็นหมิงอวินต้องคอยปกป้องพ่อผู้ไร้ยางอาย และตอนนี้เส้นทางในหน้าที่การงานของเขาก็ยังไม่มั่นคงพอ หากท่านพ่อผู้ไร้ยางอายทำอะไรผิดพลาด คงส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของหมิงอวินอย่างมากด้วยเช่นกัน  หลินหลันคิดอย่างเงียบๆ  

 

 

“ช่างเถอะ ไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว การเจรจากับบรรดาผู้จัดหาวัตถุดิบวันนี้ราบรื่นดีหรือไม่” หลี่หมิงอวินกล่าเปลี่ยนประเด็นหัวข้ออันเคร่งเครียดโดยการหันมาใส่ใจหลินหลัน  

 

 

“ราบรื่นอย่างมาก ตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว ไว้รอตกแต่งร้านเป็นที่เรียบร้อยพวกเขาก็จัดส่งสินค้ามาทันทีโดยรับประกันว่าจะไม่ทำให้การเปิดร้านต้องล่าช้าอย่างแน่นอน” หลินหลันแสดงท่าทีภูมิอกภูมิใจ  

 

 

“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย” หลี่หมิงอวินพยักหน้าทว่าในใจกลับรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย หากราบรื่นจริงๆ แล้วยังจำเป็นต้องพูดคุยกันนานเนขนาดนั้นเชียวหรือ เกรงว่าเด็กน้อยผู้แข็งแกร่งคนนี้จะไม่ยอมพูดความยากลำบากออกมาเสียมากกว่า ไว้ค่อยถามเหวินซานดูอีกทีแล้วกัน  

 

 

หลี่หมิงอวินสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ บนเรือนร่างของนางซึ่งดูเหมือนเป็นกลิ่นหอมที่ปลุกเร้าได้รุนแรงมากที่สุด และทันใดนั้นท่อนล่างก็รู้สึกถึงความปวดหนึบขึ้นมา ลองๆ คำนวณวันดูเวลานี้ก็น่าจะเหมาะสมแล้วกระมัง ระหว่างนั้นเขาส่งฝ่ามือหนาเขาไปใต้ชายเสื้อของนางโดยลูบคลำไปยังบริเวณหน้าท้องที่แบนราบ  

 

 

หลินหลันถึงกับสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันทีแล้วพึมพำขึ้นมา “หมิง…หมิงอวิน…ข้าอยากให้ท่านป้าช่วยหาคู่ครองให้ป๋ายฮุ่ยสักคน”  

 

 

“ตกลง เจ้าตัดสินใจได้เลย” หลี่หมิงอวินตอบอย่างไม่สนใจในประเด็นดั่งกล่าว ซึ่งในขณะเดียวกันฝ่ามือของเขาก็กำลังเคลื่อนตำลงไปเรื่อย  

 

 

หลินหลันจับมือของเขาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาซุกซนได้ตามอำเภอใจ “ข้าพูดจริงนะ ป๋ายฮุ่ยอายุไม่น้อยแล้ว นางก็คอยรับใช้เจ้ามากหลายปีแล้ว อย่างน้อยๆ เราก็ต้องเลือกหนทางที่ดีให้แก่นางถึงจะถูก”  

 

 

เมื่อมือถูกพันธนาการไว้ไม่ให้เคลื่อนไว้ เขาจึงใช้ริมฝีปากอันร้อนผ่านขบเม้มไปที่ใบหูของนาง และลิ้มรสอย่างเบาๆ ลมหายใจของเขาก็ยิ่งเร้าร้อนมากขึ้น  

 

 

“ข้าเองก็จริงจังเช่นกัน เจ้าจัดการก็พอ”  

 

 

หลินหลันรู้สึกวางใจ หมิงอวินไม่ได้มีความนึกคิดเช่นนั้นจริงๆ  

 

 

“วันนี้…ได้หรือยัง” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าภายใต้น้ำเสียงนั้นแสดงให้เห็นความกระหายอันแรงกล้า  

 

 

หลินหลันรู้ดีว่าเขาเอ่ยถามถึงเรื่องรอบเดือดว่าหมดแล้วหรือยัง ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อ ก่อนจะตีมึนกล่าวเชิงบอกปฏิเสธ “ดึกมากแล้ว…”  

 

 

นัยน์ตาของเขาสว่างไสวขึ้นทันใด เขากลั้นรอยยิ้มแล้วเขาไปกระซิบข้างใบหูของนาง “ยังหัวค่ำอยู่เลย” หลังจากนั้นเขาก็พลิกตัวนางให้ไปอยู่ใต้เรือนร่างของตนก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางออกอย่างชำนาญ แล้วลูบคลำเนื้อหน้าอกอันแสนอ่อนนุ่ม  

 

 

“ตรงนี้ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว…” เขาก้มหน้าลงตามด้วยกลืนกินยอดปทุมที่ชูช่อขึ้นอย่างกระหาย ราวกับกำลังลิ้มรสอาหารซึ่งรสชาติโอชะที่สุดในโลก  

 

 

หน้าของนางถูกเขากลืนกินอย่างรุนแรงจนรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย เสมือนกับมีประกายไฟแล่นผ่านไปที่ท้องน้อย และเผ่าไหมอยู่บริเวณนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนหลินหลันไปอาจสกัดกลั้นเสียงกระเส้าออกไปได้  

 

 

“หมิงอวิน…เบาหน่อย…”  

 

 

แกนกายอันแข็งแกร่งสัมผัสอยู่ระหว่างช่องทางรักใจกลางขาทั้งสองของนางทว่าไม่ยอมจมดิ่งเข้าไปเสียที  

 

 

หลินหลันถูกเขาหยอกเย้าจนรู้สึกเกินต้าน พ่อหนุ่มผู้นี้นับวันยิ่งร้ายกาจ ทุกครั้งล้วนต้องให้นางเป็นฝ่ายเอ่ยปากร้องขอ วันนี้หลินหลันเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนแน่นอย่างดื้อรั้น ดูสิว่าใครจะอดทนได้เหนือกว่ากัน  

 

 

“ข้าต้องไปดับไฟ” หลินหลันออกแรกผลักเขา  

 

 

“ข้าส่งเจ้าไปเอง…” เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และกดช่วงเอวจมดิ่งลงอย่างหนักหน่วง  

 

 

เกล็ดหิมะล่องลอยอย่างช้าๆ ภายด้านนอกห้อง ทว่าภายใต้ม่านมุ้งแห่งนี้กลับเป็นฤดูใบไม้ผลิอันแสนงดงาม  

 

 

วันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าหลี่หมิงอวินไปอยู่เสียแล้ว หลินหลันบีบนวดลำตัวที่ปวดเมื่อย มันช่างทรมานเสียยิ่งนัก ช่วงกลางวันต้องใช้พลังงานสมอง พอตกดึกต้องใช้พลังงานกาย ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปนางจะเหนื่อยเกินไปหรือไม่นะ… ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยปนหัวเราะคิกคักจากด้านนอกหน้าต่าง หยินหลิ่วซึ่งถือน้ำร้อนเข้ามา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ด้านนอกหิมะตกหนักแล้วเจ้าค่ะ ในลานบ้านจึงขาวโพนไปด้วยหิมะชั้นหนาเตอะ แม่โจวเลยเรียกให้จิ่นซิ่วและอวิ๋นอิงรวมถึงคนอื่นๆ ไปช่วยกันทำความสะอาดที่ลานบ้าน แต่กลับกลายเป็นพวกนางเล่นสนุกสนามกันใหญ่เลยเจ้าค่ะ”  

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มจางๆ “ยังเป็นเด็กน้อยกันทั้งนั้นนี่นะ ปล่อยพวกนางตามสบายเถอะ” ขณะที่ในใจกลับเอ่ยว่า  หากมิได้เป็นนายหญิง ก็คงจะออกไปร่วมวงด้วยเช่นกัน  

 

 

วันนี้หลินหลันอยู่ในชุดกระโปรงยาวเข้ารูปสีน้ำเงินเข้มลวดลายดอกไม้ นางกำลังส่องกระจกดูเรือนร่างที่มีสวดทรงองเอวขึ้นมาบ้างแล้ว ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงที่หมิงอวินพูดเมื่อคืนนี้… ตรงนี้ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว  ทันใดนั้นใบหน้าของหลินหลันก็รู้สึกเพียงความร้อนวูบวาบ  

 

 

แม่โจวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นนายหญิงน้อยกำลังส่องกระจก จึงเข้าไปยืนมองจากด้านข้างพร้อมกับรอยยิ้ม นางมองดูนายหญิงนี้ที่มีใบหน้าที่ขาวกระจ่างใส ดวงตาคู่คู่สวยเปล่งประกายประดุจดวงดาว ริมผีปากชมพูระเรื่อเสมือนดอกท้อ เมื่อเทียบกับตอนแรก ความเยาว์ในวัยเด็กสาวดูเหมือนจะหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเป็นหญิงสาวอันสวยงามและทรงเสน่ห์ ช่างจริงอย่างคำล่ำลือที่ว่าสตรีวัยสิบแปดปีคือช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยิ่งงดงามมากขึ้นทุกวัน  

 

 

หลินหลันที่กำลังส่องกระจกมองเห็นแม่โจวผ่านเงาสะท้อนในหน้าต่าง จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่โจวเข้ามาทั้งทีไม่ให้สุ่มให้เสียงกันเสียหน่อย”  

 

 

หยินหลิ่วหัวเราะคิกคัดและกล่าวออกไปเชิงหยอกล้อ “ใครว่าไม่ส่งเสียงเจ้าคะ เป็นเอ้อร์เส้าหน่ายนายเองต่างหากที่เหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงน่ะเจ้าค่ะ”  

 

 

หลินหลันหันควับมองหยินหลิ่วเชิงตำหนิ “ยังไม่รีบไปหยิบเสื้อคลุมมาให้ข้าอีก”  

 

 

หยินหลิ่วทำหน้าทะเล้นแล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุม  

 

 

หลินหลันถึงได้เอ่ยปากถาม “แม่โจวมีเรื่องอันใดหรือไม่”  

 

 

แม่โจวหุบยิ้มแล้วเอ่ย “เมื่อเช้าบ่าวได้พบนางจางภรรยาของเหล่าจางผู้ดูแลทางเข้าออกของบ้าน เลยได้คุยกันสองสามประโยคจนได้ข่าวคราวมาว่า ดูเหมือนช่วงสองสามวันก่อนทางจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนส่งบัตรเชิญมาเจ้าค่ะ โดยเอ่ยว่าคุณหนูหมิงจูหยิบไปแล้ว บ่าวรู้สึกประหลาดใจก็เลยไปถามเหล่าจาง เหล่าจางบอกว่าเป็นเรื่องเมื่อสามวันก่อน ตอนนั้นคุณหนูหมิงจูเดินผ่านมาพอดีก็เลยหยิบเอาบัตรเชิญนั่นไป นางเอ่ยว่านางจะนำมาให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายด้วยตนเองเจ้าค่ะ”  

 

 

“บัตรเชิญของจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนหรือ นางไม่ได้เอามาให้ข้าหนิ” หลินหลันอดรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ หลี่หมิงจูตัวดี กระทั่งบัตรเชิญของข้าเจ้ายังกล้ายึดเอาไป เกิดเฝิงซูหมิ่นมีธุระด่วนอันใดจึงต้องการพบนาง มิเท่ากับเป็นการพาให้เสียเวลาหรอกหรือ  

 

 

“ต้องการให้ส่งคนไปยังจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนเพื่ออธิบายก่อนหรือไม่เจ้าคะ” แม่โจวกล่าว  

 

 

หลินหลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ “ก็ดี ให้หรูอี้ไปแล้วกัน อธิบายก่อนสักหน่อยแล้วค่อยถามไถ่หลินฮูหยินว่าเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด”  

 

 

หลี่หมิงจูอ่าหลี่หมิงจู ข้าไม่หาเรื่องเจ้า เจ้ากลับมาหาเรื่องข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน  

ปฏิญญาค่าแค้น

ปฏิญญาค่าแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ปฏิญญาค่าแค้นหลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมา จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนาง นั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับ ให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนา ในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือ เขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset