บทที่ 29 – โรสกับทุงลาเวนเดอร์ (หนังสือ)
หลังจากผ่านมาแล้วชั้นที่เกือบจะถูกพรากความบริสุทธิ์ไปก็ได้พละกำลังกลับคืนมารีบโกยแนบออกมาโดยไม่รีรออะไร ส่วนยัยลิลิซน่ะเหรอ
ไม่ต้องพูดถึงแล้ว! ยัยนี่ก็ไม่คิดจะช่วยชั้นจากองค์หญิงหื่นกามนั่นชั้นก็สงสัยอยู่หรอกว่าคนในโลกนี้มีอารมณ์บ้ากามกับผู้หญิงด้วยกันเองได้ไง
แต่ยังไงก็ตามชั้นได้หลุดพ้นจากนรกมาแล้วซึ่งตอนนี้กำลังสู้ในสนามแข่งขันเอาจริงมันยากมากในแต่ละครั้งที่ต่อสู้กับคนอื่น
ใจจริงชั้นอยากดึงกระโปรงขึ้นใช้ท่าไม้ตายใส่เรียงหัวเลยแต่แบบนั้นมันจะสิบแปดปีขึ้นไปมากเกินไปไม่ดีต่อจิตใจเด็กและเยาว์ชน
เอาเถอะถึงจะบอกว่าเยาว์ชนก็ยังมีเยาว์ชนที่ชั่วช้าสามานย์เต็มไปหมดนี่น่ะ แหมก็ไม่เคยได้ยินหรือไงข่าวเยาว์ชนที่ชั่วโฉด (แขวะทำไมนุ่งโรส?)
ที่ชั้นลำบากคือการออกแรงคือมันไม่ยากหรอกนะการที่จะควบคุมพลังประมาณต่อยไปด้วยสเตตัสหรือต่อยไปด้วย 1% ของสเตตัส
ชั้นทำได้.. แต่ประเด็นคือต่อยไป 1% มันก็ดับมรณาชีวิตของชีวิตน้อยๆ ของมนุษย์ได้เลยนี่สิ.. ชั้นต่อยออกไปแต่ละทีจึงต้องลดให้มันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยและน้อยสุดๆ
เผลอฆ่าคนตายไปชั้นไม่ใช่ฆาตกรหรือไง.. เอ่อ.. เคยทำมาแล้วนี่น่า ไม่สิ.. คนชั่วทำลายหนังสือตีความว่าเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก อืมๆ
การต่อสู้ชั้นไต่มาจนถึงอันดับที่ยอดเยี่ยมและน่าแปลกที่พนักงานไล่ให้ชั้นออกมาบอกว่าวันนี้เข้าได้ถึงขีดจำกัดแล้ว..
ทั้งๆ ที่คนอื่นต่อสู้กันเลือดตาแทบกระเด็นทั้งแพ้ทั้งชนะเป็นหลายร้อยรอบ.. แต่ชั้นแข่งยังไม่ถึงสิบรอบเองนะ..
ถ้าให้ชั้นประลองเพิ่มอีกรับรองแน่ๆว่าเงินไหลมาเทมา เงินคือหนังสือนะควรจำไว้ซะด้วย ชั้นเดินออกจากโครอสอย่างสบายใจแต่ในตอนนั้นเอง
“โอ้… นี่มันท่านโรเสะไม่ใช่หรือ.. บังเอิญจังเลยนะฮ่าๆ”
บังเอิญเรอะ เอ็งยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอชั้น เขาคนนี้ไม่ใช่นอกจากชายหนุ่มหน้าหล่อสุดใจดี ชั้นค่อนข้างที่จะชื่นชมเขาอยู่
เพราะข้าวที่เคยให้ตอนวิกฤต เอ่อ.. ชื่อไรนะ.. นกๆ อะไรสักอย่างนี่ละมั้งก็มันลืมชื่ออ่ะทำไงได้วันนั้นเจอหลายอย่างเกินไปชั้นลืม ชั้นไม่ผิดน้า
“เอ่อ…”
จะถามชื่อมันก็แปลกๆ อยู่ชั้นเลยไม่รู้จะพูดอะไรเลย ลืมชื่อแบบนี้มันเสียมารยาทมากเลยนี่น่า
“กระผมชื่อว่าโรเบิร์ต ท่านโรเสะกรุณาไปเดินเล่นกับผมสักหน่อยเป็นไร?”
“…”
ใช่.. โรเบิร์ตดูเหมือนจะมองออกว่าชั้นลืมชื่อเขาแต่ไม่ได้โกรธเคืองอะไร.. เป็นคนจิตใจดีงามจริงๆ ตอนอยู่กับองค์หญิงชั้นเคยเห็นขุนนางแบบห่างๆ นะ (แอบดู)
มีแต่คนท่าทางหยิ่งผยองนี่ชั้นเดินผ่านหน้าไม่โดนลากไปตัดหัวเลยเหรอ กร่างจริงๆ ช่างเถอะๆ ชั้นจะเอาหนังสือจากผู้หญิงอกใหญ่นั่นแล้วจะรีบไปจากเมืองนี้
ชั้นลังเลว่าจะตอบดีไหม.. ก็ตอนนี้กะว่าจะไปซื้อหนังสือสักหน่อย เอาเป็นปฏิเสธไปแบบสวยๆ แล้วกัน ถ้าจำไม่ผิดคำที่พูดกับขุนนางต้อง
“ขออภัย.. ต้องกล่าวปฏิเสธแล้ว เพราะหลังจากนี้ดิชั้นต้องไปทำธุระ”
“งั้นเหรอ.. น่าเสียดายจังนะครับ”
พูดแบบนี้แหละโชคดีที่เขาเป็นคนดีไม่อย่างนั้น ถ้าชั้นปฏิเสธแบบนี้พวกขุนนางโกรธแน่ๆ และถ้าโรคจิตแบบลิลิซต้องตามตื๊อ
คนปกติจริงๆ ละมั้ง ชั้นเดินลั้นลาไปยังร้านหนังสือชั้นเคยตรวจสอบเมืองไปแล้วมันค่อนข้างใหญ่แต่มันก็ไม่ใหญ่เกินความทรงจำชั้น ชั้นจำได้ทุกอย่างที่เห็น
จึงเดินเตร่ไปตามถนนอย่างสบายใจไม่เร่งรีบชั้นไม่กลับคืนร่างเดิมเพราะว่าใช้ร่างผู้ใหญ่ไปซื้อของมันดูน่าจะมีประสิทธิภาพกว่า
ทั้งพนักงานกิลด์แบล็คสุดโหดได้พิสูจน์ให้ชั้นเห็นแล้ว.. ชั้นไม่คิดจะลากคนโรคจิตด้วยแถมยังซวยสุดๆ ได้ไปเจอองค์หญิงหื่นกามนั่นอีก
ชั้นเดินพลางคิดไปซื้ออาหารจากแผงลอยมากินหลังจากอาศัยอยู่แบบนี้ชั้นก็เริ่มใช้เงินเป็นแล้ว วิธีใช้เงินคือหยิบเอาไม้และโยนเหรียญให้เลย
นี่เพราะวิธีพูดคุยปกติทีไรเขาจะให้ชั้นฟรีๆ เหมือนชั้นเป็นคนขอทานงั้นแหละ.. ด้วยเหตุนี้ชั้นเลยต้องโยนเหรียญให้เลยแล้วเผ่นโดยไม่หันหลังกลับ
แต่ไม่ใช่ว่าชั้นโก่งราคาหรอกนะขอบอก.. เพราะชั้นกลัวว่าจะโก่งราคาไม้หนึ่งเลยให้ไปหนึ่งเหรียญเงินซะเลย ให้ตายสิเงินในโลกนี้ค่อนข้างเฟ้อนะ
ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่เฟ้อหรอก.. ใครกันนะที่บอกว่าหนึ่งเหรียญทองใช้อยู่ได้เป็นปี กินขนมปังเหี่ยวรึไง
แล้วที่น่าแปลกคือในโลกนี้ไม่มีพ่อค้าหน้าม้าเลยนะ หมายถึงพ่อค้าที่โก่งราคาหน้าด้านๆ น่ะ ปกติในนิยายแฟนตาซีมีบ่อยนะ
แต่ในโลกนี้คนใจดีค่อนข้างเยอะของซื้อของขายแจกกันเป็นว่าเล่นเลย แปลกกันจริงๆ (?)
ชั้นเดินตามถนนไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงซุบซิบนินทากันแปลกๆ ใช่มันมีเรื่องราวสุดสยองเกิดขึ้นตอนที่ชั้นสลบอ่ะ
มันมีมังกรมาคำรามแถวนี้ทำเอาคนในเมืองกว่าครึ่งสลบไป ถ้าไม่มีม่านพลังนี่ดับดิ้นไปแน่ๆ ให้ตายสิมังกรนี่น่ากลัวจริงๆ นะ
ถ้าชั้นได้ยินเสียงคำรามนั่นไม่รู้จะตายไหม.. คงสาหัสแหละน่าถึงชั้นจะเก่งแต่อีกฝ่ายคือมังกรเชียวนะ.. น่ากลัวจริงๆ มังกรเนี่ย
ชั้นคิดเรื่อยเปื่อยในที่สุดก็เดินมาถึงหอสมุดขนาดใหญ่มันเป็นหอวงกลมสูงหลายเมตรพอตัว แต่น่าแปลกที่นี่ค่อนข้างเงียบเกินไปแต่สำหรับชั้น ชั้นว่ามันดีนะ
ชั้นเดินเข้าไปมีเคาท์เตอร์อยู่มุมซ้ายมือมีพนักงานเป็นสาวสวยสไตล์ตัวประกอบ.. ล้อเล่นก็คนนี่แหละนั่งอยู่
เธอสวมแว่น.. แว่นมีแว่นด้วยเรอะโลกนี้ มีผมสีดำไว้ผมทรงบ็อบง่ายๆ ใบหน้าดูไปทางสงบนิ่งนี่มันสไตล์สาวบรรณารักษ์ของแท้เลยอยากบอก
เธอหันมาหาชั้นแล้วพูดว่า
“การเข้าหอสมุดหนึ่งชั่วโมงต่อห้าเหรียญเงิน และไม่มีการรับเข่ามีเพียงซื้อราคาหนังสือแต่ละเล่มจะจัดอยู่ที่ห้าเหรียญเงินจนไปถึงเหรียญทอง”
ชั้นพยักหน้าเธอพูดเสร็จก็นั่งลงไม่สนใจชั้น อย่างที่คิดจริงๆ มันค่อนข้างแพงและเฟ้อพอตัวแต่สำหรับชั้นมันสบายมากนะ
“นี่สามเหรียญทอง”
ชั้นโยนสามเหรียญทองให้พนักงานเธอรับอย่างแปลกประหลาดใจก่อนจะพูดกับชั้นว่า
“หกชั่วโมง”
แค่นั้นแต่ชั้นไม่สนใจเดินไปยังชั้นหนังสือ และหาหนังสืออ่านมีแต่หนังสือแปลกใหม่ พระเจ้าช่วย มันมีหนังสือที่ชั้นไม่เคยอ่าน
นี่มันสุดยอดจริงๆ นะ ชั้นเริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง.. มาอ่านหนังสือด้วยกันสิ..
…กาลครั้งหนึ่งในศตวรรษเวทที่ 10 ราชาปีศาจคนที่ถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดได้บุกรุกแดนมนุษย์หวังจะยึดครองดินแดนที่ได้เห็นดวงจันทร์ดวงตะวันนี้ ปีศาจที่ได้รับความทะเยอทะยานจึงบุกรุก ดินแดนปีศาจถูกคำสาปเมื่อนานมาแล้วเป็นดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้งสิ่งมีชีวิตก็ทุรกันดาร เป็นดินแดนทุรกันดารอย่างแท้จริง.. บางครั้งเหล่าปีศาจก็กัดกินเผ่ากันเองเพื่อประทังชีวิต
ทว่าเมื่อจอมมารคนนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นปีศาจได้ลุกขึ้นต่อสู้ไม่ใช่เพราะจำเป็นแต่เพราะเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ปีศาจเริ่มฉีกกระชากกัดกินมนุษย์ทั้งเป็น…
…
เดี๋ยวๆ .. ใครแต่งเรื่องเสริมเนี่ย.. ชั้นมองออกง่ายๆ เลยนะเนี่ยมาดัดแปลงหนังสือแบบนี้อย่าให้ชั้นรู้นะมันบิดเบือนประวัติศาสตร์ตบให้ดับเลยเนี่ย
ก่อนอื่นเลยปีศาจบอกวางเพื่อจะช่วงชิงพื้นที่ แต่กลับฉีกร่างมนุษย์กินนี่มันบิดเบือนประวัติศาสตร์ชั้นอยากจะไปตบคนแก้ไขบันทึกนี่จริงๆ
ช่างเถอะ ต่อดีกว่า
…ปีศาจอันแสนชั่วร้าย ได้สังหารมนุษย์และกัดกิน เหล่าศาสนจักรก็ได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้ามาปกป้องมวลมนุษยชาติได้รับพลังอันแกร่งกร้าวคือดาบศักดิ์สิทธิ์ สามารถฆ่ามังกรได้อย่างง่ายดายเพียงฟันดาบหนึ่งครั้งฆ่าได้ทั้งกองทัพ….
…
ขี้โม้ ดัดแปลงอีกแล้วเนี่ย ชั้นบ่น
…ทว่าพลังมันแกร่งเกินไปไม่มีคนใช้ได้ ในตอนนั้นศาสนจักรจึงใช้วิธีอัญเชิญผู้กล้ามาต่อกรกับปีศาจและสังหารผู้นำได้ปีศาจถูกขับไล่จากปีศาจทว่า ก่อนจะตายในศึกสุดท้ายราชาปีศาจได้คำรามเสียงแหบพร่าด้วยความบ้าคลั่ง “มนุษย์ที่แสนน่ารังเกียจ สักวัน.. สักวันข้าจะมอบคำสาปให้กับพวกเจ้า!!!”
และนี่ยังเป็นต้นเหตุในเหตุการณ์ล่าแม่มดในศตวรรษเวทที่ 15-18.. โปรดติดตามต่อได้ในตำราแม่มด….
….
ตัดจบแบบนี้.. ได้เหรอ ชั้นค้างคานะ.. แล้วที่ว่าล่าแม่มดในช่วงศตวรรษที่สิบห้าถึงสิบแปดนี่มันดูเดจาวูพิกล?
“นี่มันค้างสุดๆ … อยากอ่านเล่มต่อ”
………….