“คำถามไร้สาระอะไรกัน จากที่เจ้าเห็น…เจ้าคิดว่าข้าเป็นอะไรหรือไม่ ?”
ฉื่อไท่หลางกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ทันที ในตอนนี้ขอบตาทั้งสองข้างของเขาดำคล้ำและปูดบวม ไม่ว่าใครเห็นก็ย่อมรู้ว่าสภาพของเขาไม่ได้ดีนัก ผู้ติดตามเหล่านี้ช่างถามคำถามที่ไม่มีหัวคิดสิ้นดี
“นายน้อย ท่านต้องการให้พวกเราสั่งสอนบทเรียนให้กับนางหรือไม่ ?”
หนึ่งในผู้ติดตามมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาหวาดหวั่นและกล่าววาจาอย่างระมัดระวัง
“นางเป็นลูกพี่ของข้าแล้ว หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องนาง ข้าจะอัดพวกเจ้าจนพิการ !”
ฉื่อไท่หลางเป็นคนรักษาคำพูดและจะทำในสิ่งที่ลั่นวาจาไว้อย่างแน่นอน ในเมื่อให้คำมั่นไว้แล้วว่าจะยอมรับฉินอวี้โม่เป็นลูกพี่หากตนพ่ายแพ้ เขาก็จะไม่ผิดคำพูดนั้น
“นายน้อย…ท่านจะยอมรับสตรีเป็นลูกพี่จริง ๆ หรือ ?”
ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบาอย่างไม่เห็นด้วย หากฉินอวี้โม่กลายเป็นลูกพี่ของฉื่อไท่หลาง นั่นก็หมายความว่านางจะออกคำสั่งกับพวกเขาทุกคนได้ด้วยมิใช่หรือ ?
“เป็นสตรีแล้วอย่างไร ? ข้าลั่นวาจาไว้แล้วและตอนนี้นางก็เป็นลูกพี่ของข้า นับจากนี้ไป พวกเจ้าทุกคนจะต้องเคารพและเชื่อฟังคำสั่งของนาง เข้าใจรึไม่ ?”
ฉื่อไท่หลางเคาะศีรษะผู้ติดตามเหล่านั้นและออกคำสั่งอย่างชัดเจน
“ขอรับ นายน้อย”
พวกเขาทำได้เพียงตอบรับอย่างจนปัญญาพลางคิดในใจว่าหากผู้นำตระกูลทราบเรื่องนี้ ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร…
“ลูกพี่ กลับไปที่อำเภอซ่างหยวนกับข้าเถอะ ข้าจะเตรียมเลี้ยงอาหารค่ำต้อนรับท่านเป็นอย่างดี”
หลังจากสั่งสอนเด็กรับใช้ของตน ฉื่อไท่หลางก็หันกลับมาหาฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างและสีหน้าเอาอกเอาใจ
สำหรับสตรีที่เก่งกาจเช่นนี้ หากไม่ได้เป็นภรรยา การได้มาเป็นลูกพี่หรือหัวหน้าก็เป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดเรื่องใดในอนาคต เขาก็เชื่อว่า ‘ลูกพี่’ คนนี้จะช่วยปกป้องตนได้อย่างแน่นอน
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะเดินทางไปหาเจ้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
ฉินอวี้โม่ไม่ตอบตกลงในทันทีและตั้งใจจะรอจนกระทั่งพลังของตนฟื้นฟูเกือบสมบูรณ์ก่อนจึงจะเดินทางเข้าไปในเขตเมืองหลวงของอำเภอซ่างหยวน หรือหากติดต่อกับซิวและเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวได้ นางก็อาจจะเดินทางไปก่อนล่วงหน้าได้
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะพักอยู่ที่นี่ก่อนและรอให้ลูกพี่กลับไปพร้อมกับข้า”
ฉื่อไท่หลางตั้งใจที่จะติดตามฉินอวี้โม่และขอให้นางช่วยสอนกระบวนท่าโจมตีเมื่อครู่กับตน กระบวนท่าเหล่านั้นล้วนรวดเร็วและแม่นยำซึ่งทรงพลังอย่างยิ่ง หากใช้กระบวนท่าเหล่านั้นควบคู่ไปกับพลังมายาในร่างกาย เขาเชื่อว่าเขาจะปลดปล่อยพลังออกมาได้มากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานของอำเภอซ่างหยวน
“ไม่ได้นะ ! นายน้อยขอรับ เราออกมากันหลายวันแล้ว หากท่านไม่รีบกลับไปในตอนนี้ เกรงว่านายท่านคงจะออกมาตามหาท่านด้วยตัวเองแน่”
ผู้ติดตามคนหนึ่งรีบกล่าวออกไปทันที หากฉื่อไท่หลางไม่กลับไปที่จวนตระกูล พวกเขาจะถูกลงโทษเป็นแน่ การติดตามนายน้อยที่เอาแต่ใจผู้นี้ทำให้พวกเขาเศร้าใจไม่น้อย…
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ในเมื่อข้ากล่าวไปแล้วว่าอีกไม่กี่วันจะตามไปพบเจ้า ข้าก็จะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน มีเรื่องบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าช่วยสืบข่าวให้เช่นกัน ข้าไม่ผิดคำพูดแน่”
ฉินอวี้โม่รู้สึกตลกขบขันในใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นและเป็นกังวลของผู้ติดตามเหล่านั้น นางจึงกล่าวโน้มน้าวใจฉื่อไท่หลางโดยเร็ว
“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน ท่านพ่อของข้าก็จู้จี้จุกจิกมากเกินไป แค่ออกมาท่องเที่ยวฝึกยุทธ์เพียงไม่กี่วัน ไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไปเลย”
ฉื่อไท่หลางตอบตกลงก่อนพึมพำบ่นเกี่ยวกับบิดาทว่าสีหน้าแสดงถึงความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก นางเข้าใจดีว่าฉื่อไท่หลางรู้สึกอย่างไร แม้จะบ่นว่าบิดามารดาจู้จี้จุกจิกมากเกินไป ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็แอบมีความสุขอยู่เช่นกัน บุตรส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้…
“ลูกพี่ นี่คือป้ายหยกของข้า เมื่อท่านออกเดินทางมา..ท่านเพียงนำมันไปที่ตระกูลฉื่อเพื่อตามหาข้า”
หลังจากยื่นป้ายหยกที่เป็นตัวแทนของตนให้กับฉินอวี้โม่ ฉื่อไท่หลางก็หันหลังกลับและออกจากเมืองฉินพร้อมกับผู้ติดตามทั้งสี่
ผู้ว่าการจาง ฉินอันและป้าฉินต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าทำให้ป้ากลัวแทบแย่”
ป้าฉินก้าวออกมาข้างหน้าและจับมือฉินอวี้โม่ไว้ นางคาดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ ตอนที่ฉินอวี้โม่ตัดสินใจที่จะดวลฝีมือกับฉื่อไท่หลาง นางหวั่นใจอย่างที่สุดและคิดเพียงว่าหากฉินอวี้โม่เพลี่ยงพล้ำ ตนจะออกไปขวางหน้าและปกป้องฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นข้าคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ผู้ว่าการจางก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวขอโทษขอโพยอีกครั้ง ในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่ได้รับอันตรายใดและหนำซ้ำยังได้เป็นลูกพี่ของฉื่อไท่หลาง ความรู้สึกผิดในหัวใจของเขาก็สลายไปมาก ตัวเขาเป็นเพียงผู้ว่าการของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น เขาจึงทำอะไรได้ไม่มากนัก หากกล่าวตามตรง เขาเพียงไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ต้องเป็นอันตรายหรือเดือดร้อนอะไร
“ลุงจางไม่ต้องขอโทษข้าหรอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีมิใช่รึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้าใจเย็นและสงบลงเพื่อมิให้อีกฝ่ายต้องขอโทษตนอีก
ผู้ว่าการเหล่าจางก็ชวนคุยอีกเพียงไม่กี่ประโยคก่อนกลับออกไปและเหลือเพียงฉินอวี้โม่และสองสามีภรรยาตามเดิม
“เสี่ยวอวี้โม่ พลังของเจ้าฟื้นฟูกลับมาเพียงใดแล้ว ?”
ฉินอันเอ่ยถาม เขาสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ฟื้นฟูกลับคืนมาพอสมควรแล้วและคาดเดาได้ว่าเมื่อพลังเหล่านั้นกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ก็คงถึงเวลาต้องแยกจากกัน
“คงจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์เจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังแต่อย่างใด อันที่จริง พลังของนางควรจะฟื้นฟูจนสมบูรณ์ภายในเวลาเพียงห้าวันเท่านั้น ทว่าสาเหตุที่นางเพิ่มเวลาขึ้นมาอีกสองวันก็เป็นเพราะไม่ต้องการให้ป้าฉินต้องโศกเศร้าจนเกินไป
“เยี่ยม เยี่ยมไปเลย”
ป้าฉินจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวแสดงความยินดีด้วย ทว่าหัวใจของนางในตอนนี้ก็เศร้าสร้อยไม่น้อย
ตลอดเจ็ดวันต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับป้าฉินและเล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองให้นางได้ฟังเป็นประจำ
ทว่าในที่สุด เวลาเจ็ดวันก็ผ่านพ้นไปและถึงเวลาที่ฉินอวี้โม่จะต้องออกเดินทาง
“เสี่ยวอวี้โม่ หากในอนาคตข้างหน้าเจ้ามีเวลา…”
ป้าฉินจับมือฉินอวี้โม่และพยายามจะกล่าวบางอย่าง ทว่าสุดท้ายนางก็ไม่ได้กล่าวออกไป นี่เป็นการพบกันโดยบังเอิญเท่านั้นและเป็นเพียงทางผ่านทางหนึ่งในชีวิตของฉินอวี้โม่ นางจะเรียกร้องขออะไรได้…
“ป้าฉิน ลุงฉิน ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เมื่อข้าตามหาท่านแม่จนพบและจัดการปัญหาทุกอย่างเสร็จสิ้น ข้าจะกลับมารับท่านทั้งอย่างสองอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราจะได้อาศัยอยู่ด้วยกันและท่านจะได้ช่วยดูแลลูกๆให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่โผเข้ากอดป้าฉินอย่างอบอุ่น นางเองก็ไม่เต็มใจที่จะออกไปจากชีวิตอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมสุขนี้เช่นกัน ในเมื่อทั้งสองดูแลตนเป็นอย่างดีเปรียบเสมือนบุตรแท้ ๆ ทำให้นางซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากและให้คำมั่นสัญญากับสองสามีภรรยาว่านางจะกลับมารับตัวพวกเขา
“ดี ดี ดีเลย เราจะรอ…เราทั้งสองจะรอเจ้า”
ในตอนนี้ป้าฉินบ่อน้ำตาแตกและพยักหน้าหงึกหงักหลายครา นางเชื่อมั่นว่าฉินอวี้โม่จะทำตามที่กล่าวไว้อย่างแน่นอน
“เสี่ยวอวี้โม่ ระวังตัวด้วยล่ะ หากเกิดสิ่งใดที่ยากเกินจะรับมือ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นบ้านของเจ้าเช่นกันและเราจะต้อนรับเจ้าเสมอ”
ฉินอันกล่าวกับฉินอวี้โม่ แม้ช่วยอะไรได้ไม่มากและทำได้เพียงเอาใจช่วยอยู่ที่นี่ ทว่าหากฉินอวี้โม่ต้องการพวกเขา นางก็กลับมาหาพวกเขาได้ตลอดเวลา
“ข้าจะจดจำไว้เจ้าค่ะ !”
ใบหน้าของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทว่าภายในหัวใจลึก ๆ ก็รู้สึกเศร้าโศกขึ้นมาเช่นกัน การแยกจากกันคือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการแยกกันจากสั้น ๆ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยาวนาน ในไม่ช้านางจะกลับมารับคนทั้งสองอย่างแน่นอน…
หลังจากกล่าวร่ำลาคนรู้จักอีกหลายคนในเมืองฉิน ฉินอวี้โม่ก็ออกเดินมุ่งหน้าไปยังอำเภอซ่างหยวนตามทิศทางที่ระบุในแผนที่
“นายหญิง…”
เพียงหลังออกจากเมืองได้ไม่นาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่จนนางประหลาดใจและตื่นเต้นทันที
“ซิว ในที่สุดข้าก็ติดต่อกับเจ้าได้!”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางไม่สามารถติดต่อซิวหรืออสูรใด ๆ ได้เลย และคิดว่าจะทำเช่นนั้นได้อีกครั้งเมื่อพลังฟื้นฟูกลับคืนมา เมื่อสองวันก่อน พลังในร่างกายของฉินอวี้โม่ก็ฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้วทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อใครได้ ไม่คิดเลยว่าวันนี้ซิวจะเป็นฝ่ายติดต่อมาหานางก่อน
“นายหญิง ท่านสูญเสียพลังมายาและพลังวิญญาณทั้งหมดไป ตัวข้าเองก็ถูกบางอย่างขวางกั้นไว้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นข้าจึงติดต่อท่านไม่ได้”
ซิวกล่าวอธิบายว่าพลังทั้งหมดของฉินอวี้โม่หายไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายในวันนั้นและตัวมันก็ติดอยู่ข้างในมิติเชื่อมอสูร ตลอดหลายวันที่ผ่านมา มันพยายามติดต่อฉินอวี้โม่ตลอดทว่าไม่มีหนทางที่จะทำได้สำเร็จเลย
จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่ม่านขวางกั้นของมันค่อย ๆ อ่อนแอลงและสลายหายไปในวันนี้ มันจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ในเมื่อติดต่อกับเจ้าได้แล้ว ข้าก็สบายใจขึ้นมาก”
ซิวอยู่กับนางมานานจนกลายเป็นนิสัยที่เคยชินของนางไปแล้ว ตราบใดที่มีซิวอยู่ด้วย ฉินอวี้โม่ก็จะรู้สึกโล่งใจเป็นพิเศษและไม่กังวลว่าจะเผชิญกับปัญหาใด ๆ ซิวมิใช่เป็นเพียงอสูรมายาแห่งโชคชะตาเท่านั้นทว่าถือเป็นสหายร่วมทางที่สำคัญที่สุดของนางเช่นกัน
“สถานการณ์ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เลวร้ายยิ่งกว่าเรา คาดว่ามันต้องใช้เวลาอีกสิบวันกว่าที่ผนึกจะคลายตัวออกและท่านจะเข้าไปข้างในได้อีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็สามารถติดต่อกับคนอื่น ๆ ผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารได้เช่นกัน”
ซิวสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของคฤหาสน์มิติและทราบว่ามีผนึกที่อธิบายไม่ได้บางอย่างปิดกั้นมันไว้ส่งผลให้ฉินอวี้โม่เข้าไปไม่ได้ จากการคำนวณสถานการณ์ในปัจจุบัน มันเชื่อว่าผนึกดังกล่าวจะคลายตัวในอีกสิบวันข้างหน้า
“เข้าใจแล้ว”
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าซิวไม่ต้องการให้ตนเป็นกังวลจึงไม่กล่าวสิ่งใดมากนัก สำหรับทุกคนที่กระจัดกระจายกันไปในดินแดนมหาเทพ คนที่นางเป็นห่วงมากที่สุดก็คือฉินเทียน ฉินอวี้โม่กังวลว่าบิดาจะใจร้อนบุ่มบ่ามและรีบหาทางบุกเข้าไปในนิกายหมื่นบุปผาเพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อติดต่อกันไม่ได้ นางก็ทำได้เพียงกังวลใจเท่านั้น
จากนั้นหนึ่งมนุษย์และหนึ่งอสูรมายาก็พูดคุยกันไปขณะเดินทางมุ่งหน้าไปสู่อำเภอซ่างหยวน ทั้งสองใช้เวลาครึ่งวันในการปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูของอำเภอซ่างหยวน
ซ่างหยวนคืออำเภอหนึ่งในมณฑลชิงโจวซึ่งมีขนาดไม่กว้างใหญ่นัก ทว่าร่ำรวยและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก อำเภอนี้มีตระกูลใหญ่อยู่ด้วยกันสองตระกูล แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลฉื่อและอีกตระกูลก็คือตระกูลจู
ตระกูลใหญ่ทั้งสองต่อสู้และมีเรื่องบาดหมางกันเป็นประจำทว่าพวกเขาก็รักษาสมดุลอำนาจได้อย่างมั่นคง
ทันทีที่มาถึงตัวอำเภอ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็ดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากมาย
ด้วยใบหน้างดงามดุจเทพธิดามาจุติและกลิ่นอายความสูงส่งเกินเอื้อม เมื่อปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนคนมากมาย ไม่มีทางเลยที่นางจะกลมกลืนไปกับคนเหล่านั้นหรือมีผู้ใดที่จะมองข้ามไปได้ง่าย ๆ
“ดูนั่นสิ แม่นางผู้นั้นงดงามเหลือเกิน !”
บุรุษคนหนึ่งชี้นิ้วตรงมาที่ฉินอวี้โม่และพยายามกล่าวเสียงเบาทว่าน้ำเสียงของเขาก็แสดงความชื่นชมอย่างชัดเจน
“จริงด้วย ช่างงดงามยิ่งนัก งดงามยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลจูเสียอีก !”
บุรุษอีกคนกล่าวอย่างเห็นด้วยทันทีและจ้องมองฉินอวี้โม่อย่างมิอาจละสายตา
“ไร้สาระน่า คุณหนูตระกูลจูงดงามเป็นที่สุด ผู้ใดกันที่จะเทียบกับนางได้ นั่นคือความแตกต่างราวกับฟ้ากับเหว”
แม้คนหนึ่งเห็นด้วย ทว่าคนผู้นี้ไม่เห็นด้วยกับวาจาของพวกเขาแม้แต่น้อย
สตรีที่งดงามที่สุดในอำเภอซ่างหยวนก็คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจู ทว่าน่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับสตรีผู้ที่ปรากฏตัวอย่างไร้ที่มาผู้นี้ นางไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนล้างเท้าให้กับฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำ ไม่ว่ารูปลักษณ์หน้าตาหรือกลิ่นอายน่าดึงดูดใจ คุณหนูตระกูลจูผู้นั้นก็ด้อยกว่าราวกับเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ที่คิดเทียบชั้นกับหงส์ขาวงดงาม
“ข้าอยากจะมีใบหน้างดงามเหมือนกับนางจริง ๆ”
สตรีคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอิจฉาทว่ามิใช่ความริษยาในทางลบ สำหรับผู้ที่งดงามจนน่าตกตะลึงอย่างฉินอวี้โม่ นางไม่อาจริษยาหรือคิดในทางร้ายได้เลย
“จริงอย่างที่ว่า หากข้าได้ความงามของนางมาเพียงหนึ่งในสิบส่วน ข้าก็คงตื่นขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอย่างสุขใจในทุก ๆ วันเป็นแน่”
สตรีอีกคนแตะใบหน้าของตนเองและรู้สึกอับอายในใบหน้าของตนระคนรู้สึกอิจฉาในความงามของฉินอวี้โม่
“หยุดฝันกลางวันเถอะ”
สตรีอีกคนยังคงมีสติครบถ้วนและกล่าวขัดจังหวะความเพ้อฝันของสหายทั้งสอง ทว่าน้ำเสียงของนางเจือความอิจฉาอยู่ไม่น้อย…
“หลีกทางไปให้พ้น !”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งทะนงตนดังขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เข้าล้อมรอบฉินอวี้โม่ไว้ทันที