ตอนที่ 237 นายพลเฟ่ย
ฟู่ต้ากวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตูหลีเฉินซวนและมองแผ่นหลังของบุตรชายที่เดินห่างออกไป มองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด และหิมะที่ตกหนักภายใต้แสงจากโคมไฟ จากนั้นก็ส่ายหน้า และถอนหายใจออกมา
ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะอธิบายกับเขาแล้วว่าที่ไปจวนผู้ว่าเขตจินหลิงในครานี้เป็นเรื่องของราชการ แต่ยามดึกค่อนจะเที่ยงคืนเยี่ยงนี้ยังมีงานราชการอันใดอีกกัน ?
ให้บุตรชายของข้านอนพักบ้างได้หรือไม่ ?
อาหารของวังหลวงก็มิได้อร่อยนักหรอก !
จวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึง หนิงหยู่ชุนก็กำลังเดินวนไปวนมา
เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา เขาก็หยุดยืนอยู่กับที่ และกล่าวขึ้นมาว่า “มีอยู่สองเรื่องที่ทำให้ต้องเชิญเจ้ามา เรื่องที่หนึ่งเกี่ยวกับมือสังหารทั้งเจ็ด นี่คือสำนวนการไต่สวน ประเดี๋ยวเจ้าค่อยไปอ่าน เพราะยังมีเรื่องที่สอง เขาอยากพบเจ้า”
“เฟ่ยอันรึ ?”
“อือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คิ้วขมวดและเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องโถง เหตุใดเฟ่ยอันจึงต้องการพบเขา ?
คนสองคนที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่ส่งคนของหอซี่หยู่ไปจับตามองเฟ่ยอันอยู่ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น
หากเป็นเรื่องของบุญคุณและความแค้น ระหว่างทั้งสองคนมิมีทั้งบุญคุณและความแค้นต่อกัน เพียงเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบเรื่องผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก และได้ทำการสวมรอยสังหารชาวบ้าน 800 คนจากปากของหลินหง เขาจึงทำเพื่อชาวบ้าน 800 คนที่ต้องสังเวยชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม
สิ่งที่เฟ่ยอันควรทำในตอนนี้คือหาทางออกไปจากที่นี่ เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดไว้ว่าเฟ่ยอันได้ออกไปแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฟ่ย การมีอยู่ของราชครูอาวุโสเฟ่ย มันก็มิใช่เรื่องยากหากเขาต้องการที่จะออกไป โดยเฉพาะในยามที่ฝ่าบาทไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาก็จะยิ่งชำระล้างตนเองได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามหนิงหยู่ชุน “ตระกูลเฟ่ยมิได้มาฉวยคนของตนไปงั้นรึ ? ”
“มิมี”
“กรมราชทัณฑ์จะมิมารับเขาจริง ๆ รึ ? ”
“ตั้งแต่คืนเทศกาลโคมไฟคุกของกรมราชทัณฑ์ก็ได้ถูกปล้น ในตอนนี้กรมราชทัณฑ์ยังคงต้องปรับปรุงอีกมากโข ข้าก็ได้ส่งเรื่องไปแล้ว เพียงแต่กรมราชทัณฑ์ในตอนนี้ยังมิรับช่วงต่อ ข้ายังมีวิธีอื่นอีกงั้นหรือ ? ”
นี่คือเผือกร้อนอย่างแท้จริง หนิงหยู่ชุนอยากจะจัดการส่งอดีตนายพลท่านนี้ไปให้กรมราชทัณฑ์โดยเร็ว
“เอาเถอะ ข้าจะเข้าไปพบนายพลท่านนี้เสียหน่อย”
“ข้าได้ตั้งโต๊ะอาหารและสุราแล้ว หลังจากที่เจ้าพบเสร็จก็จงออกมา พวกเรามาดื่มสุรากันเสียหน่อย ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับเจ้าอีกมากมายนัก”
“เรื่องอันใดกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนชักฝีเท้ากลับมา และมองไปทางหนิงหยู่ชุน
“เรื่องเล็กน้อย ! ” หนิงหยู่ชุนก็ได้สาวเท้าไปยังด้านหลังจวน
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ คิดว่าคนผู้นี้ดูมีภูมิฐานกว่าช่วงที่รับตำแหน่งแรก ๆ ราวกับเป็นคนละคน
ด้วยการนำทางของจินเชียนฮู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้มาถึงเรือนจำของจวนผู้ว่า
แสงไฟด้านในนั้นสลัวเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีกลิ่นอับชื้นโชยมา
ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก คาดว่าคงจะเป็นการจัดการหลังจากที่คุกของกรมราชทัณฑ์ถูกปล้น
“ท่านขุนนางฟู่ ข้าน้อยมีอยู่หนึ่งเรื่องที่จดจำได้มาจนถึงวันนี้ คาใจจนยากที่จะอดทน มิทราบว่าสมควรที่จะถามออกไปหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าในตอนนี้ตนได้เป็นถึงเจี้ยนอี้ต้าฟูของเสมียนกลางแล้ว เขาค่อนข้างจะไม่คุ้นชินกับคำเรียกท่านขุนนางสักเท่าใดนัก เขายิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “เจ้าอยากถามสิ่งใดก็จงถามมาเถิด”
“ขอบังอาจถามท่านขุนนางฟู่ เรื่องที่ท่านถูกโจมตีเมื่อปีที่แล้ว มีผู้ใดช่วยไว้หรือไม่ ? ”
จินฮ่าวจือคิดมาตลอดว่ามีคนเข้าไปช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวน แต่พวกเขาก็มิพบรอยเท้าของบุคคลที่สองในสถานที่เกิดเหตุ และเมื่อรวมกับสนามรบบนถนนเส้นยาวสิบลี้ในปีนี้ของฟู่เสี่ยวกวน ก็ทำให้เขาเริ่มสงสัยในข้อสรุปในตอนแรกเริ่ม ท่านขุนนางผู้นี้ราวกับมิใช่นักวรรณกรรมที่อ่อนแอและสามารถจัดการได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่เขาก็มิสามารถสัมผัสถึงตัวตนของชาวยุทธจากตัวของฟู่เสี่ยวกวนได้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามเขาเยี่ยงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ “เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะมีคนมาช่วยได้เยี่ยงไร แต่ภายหลังก็ได้มีคนตามมาช่วย เจ้าก็ถือเสียว่ามีคนมาช่วยข้าก็แล้วกัน”
ประโยคนี้ค่อนข้างคลุมเครือ แต่จินฮ่าวจือกลับได้ตัดสินไปแล้วว่า “ท่านขุนนางฟู่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ”
“เจ้าหนู ข้าอยากถามเจ้าสักหนึ่งคำถาม”
เจ้าหนูมีนามว่าจินฮ่าวจือเขารู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย แต่เขาก็ได้ตอบรับออกไปทันที “เชิญท่านขุนนางฟู่ขอรับ”
“ตอนที่เจ้าไปจับกุมเฟ่ยอัน เขากำลังทำสิ่งใดอยู่ ? มีการขัดขืนหรือไม่ ? ”
“เรียนท่านขุนนาง คืนเทศกาลโคมไฟข้าน้อยได้พาเจ้าหน้าที่มือปราบ 300 นายไปยังคฤหาสน์เสียนหยุนที่เขตหนานหลิง เฟ่ยอันผู้นั้นกำลังลับดาบอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน เขา…มิได้ขัดขืนแต่อย่างใดขอรับ”
คืนนั้นเฟ่ยอันมิได้ขัดขืนอย่างแท้จริง เพียงแค่กล่าวกับจินฮ่าวจือว่า “พวกเจ้าจะช่วยรอให้ข้าลับดาบเล่มนี้ให้เสร็จอีกสัก 1 ก้านธูปได้หรือไม่ พอเสร็จแล้วข้าจะตามพวกเจ้าไป”
แต่แล้วใจที่เป็นกังวลของจินฮ่าวจือก็ได้ปล่อยวาง รอไปเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น เฟ่ยอันก็ได้ลับดาบเล่มนั้นจนเกิดประกาย จากนั้นก็นำดาบใส่ปลอก มิแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า และเขาก็ได้ปล่อยให้จินฮ่าวจือใส่โซ่ตรวนและคุมตัวเขาไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเพราะการเพาะปลูกมานานหลายปีจึงทำให้นายพลผู้นี้ได้หล่อเลี้ยงนิสัยใจคอให้ดีขึ้น
ทั้งสองได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเรือนจำ นักโทษในนี้มีน้อยมากจนสามารถนับคนได้ สภาพแวดล้อมก็สะอาดสะอ้านมากโข แต่เพราะปัญหาทางสถานที่ กลิ่นเหม็นอับจึงหนักขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านขุนนางฟู่ เฟ่ยอันถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ข้าน้อยจะรออยู่ที่ด้านนอก”
“อือ”
จินเชียนฮู่หยิบกุญแจของห้องขังออกมาและเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ตรงทางเข้าประตูและมองเข้าไปด้านใน
เฟ่ยอันนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง และได้เงยหน้ามองมาทางเขา
แสงสะท้อนจากตะเกียงน้ำมันบนกำแพง เฟ่ยอันมิได้ดูมีท่าทีของอาชญากรเลยแม้แต่น้อย
เสื้อผ้าของเขายังคงสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าของเขายังดูแลอย่างดี ใบหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งเครียด ในตอนที่ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นมา ภายในแววตานั้นมิได้มีร่องรอยของจิตสังหาร และไม่มีท่าทีแค้นเคือง ฟู่เสี่ยวกวนราวกับรู้สึกได้ว่าสายตานั้นเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังของสายตานั้น สงบนิ่งราวกับหุบเขาที่เงียบสงบ
เขาก้าวเดินเข้าไปด้านใน จินเชียนฮู่ล็อคประตูกรงขัง และเดินไปยังทางเข้า นั่งลงที่บันได และหยิบน้ำเต้าสุราที่อยู่ข้างเอวขึ้นมาดื่ม
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกับเฟ่ยอัน และเอ่ยถามด้วยท่าทีที่เฉยชา “เหตุใดจึงไม่ออกไป ? ”
“ที่นี่สงบ” เขาตอบกลับมาสั้น ๆ เพียงเท่านี้
“…ใช่ ตอนนี้เป็นช่วงพักการเกษตร จึงหมดหนทางจะปลูก”
“ปีนี้หิมะตกหนัก ปีหน้าจึงจะเป็นปีที่ดี”
“ท่านนายพลคิดว่า จับดาบกับปลูกข้าวมีข้อแตกต่างกันเยี่ยงไร ?”
“มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด จับดาบสังหารศัตรูปกป้องบ้านเมือง การทำนาเพื่อผลิตเสบียงอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงประเทศชาติ”
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนวางลงบนโต๊ะ เขาค้ำมันกับโต๊ะเพื่อยืนขึ้น และโน้มตัวไปจ้องเฟ่ยอัน หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นเหตุใดดาบของนายพลจึงได้สะบั้นคอราษฎรของราชวงศ์หยูกัน ? ”
เฟ่ยอันเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน และมิได้เกิดความขุ่นเคืองใจเพราะคำพูดนั้นแต่อย่างใด เขาเพียงยิ้มบาง ๆ ใบหน้าที่อ่อนล้าจึงเกิดริ้วรอยขึ้นมา
“ดังนั้นเจ้าจึงใส่ร้ายข้าเยี่ยงนี้น่ะรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้แจกใบประกาศนั่นงั้นรึ ? ท่านคิดว่าท่านถูกใส่ร้ายเยี่ยงนั้นรึ ? ”
เฟ่ยอันถอนสายตากลับมา มองสองมือบนโต๊ะของฟู่เสี่ยวกวน แต่มิได้แก้ตัวอะไรออกไป เขากลับค่อย ๆ วางมือของตนลงบนโต๊ะ และกล่าวว่า “มือที่จับพู่กันกับมือที่จับดาบมิเหมือนกัน ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าสนิทสนมคลุกคลีกับชาวนาที่เมืองหลินเจียงมา คิดไปว่าเจ้าจะมิเหมือนกับเยาว์ชนทั่วไป ข้ามิเข้าใจบทกวี แต่รู้สึกว่าบทกวีที่เจ้าประพันธ์นั้นมิเลว แต่ข้ายังคงคิดว่าบทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ของเจ้านั้นดีกว่ามากโข เมื่อมองในตอนนี้ การพบเจอกับเจ้ามิเหมือนกับที่เคยได้ยินมา เจ้าไปเถอะ ให้คนของหอซี่หยู่ถอนตัวไปเสีย เปล่าประโยชน์ที่จะให้ข้าอยู่ที่นี่”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ทรุดตัวนั่ง เฟ่ยอันราวกับมิได้สนใจจะพูดคุยกับเขา เขาหลับตาลง สายตาของฟู่เสี่ยวกวนหลุบมองสองมือนั้น
เป็นสองมือที่กว้างและหนาทั้งยังสั้นและหยาบกร้าน
เป็นสองมือคู่นี้ แต่กลับเต็มไปด้วยเลือดของราษฎร 800 คนของราชวงศ์หยู คนผู้นี้ที่เคยควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาถึง 300,000 นาย
แต่คำพูดของเขานั้นมีหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
หรือว่าข่าวคราวที่หลินหงบอกกับเขามานั้นจะมิใช่เรื่องจริงงั้นรึ ?
หรือว่าเรื่องนี้ยังคงมีความลับอย่างอื่นซ่อนอยู่กัน ?
“ท่านมิอยากแก้ตัวรึ ?”
“……”
“เยี่ยงนั้นที่ท่านอยากจะพบข้าเพราะเหตุใดรึ ? ”
“……”
“ท่านปล่อยปู้เนี่ยนซือไท่ไปเพราะเหตุอันใดกัน ? ”
ครั้งนี้เฟ่ยอันเบิกตากว้าง “มิใช่ว่าข้าปล่อยปู้เนี่ยนซือไท่ไป แต่เป็นข้ามิสามารถเอาชนะนางได้ นางสามารถหนีไปได้ นอกจากนั้น นางก็มิใช่ชือไท่อะไรทั้งนั้น ! ”
“เยี่ยงนั้นนางเป็นใครกัน ? ”
“เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ ? ”
“แน่นอน ! ”
“นางคือลูกหลานที่หลงเหลืออยู่ของอดีตองค์หญิงจิ้งอัน !”
“…” ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่เฟ่ยอันกลับหัวเราะขึ้นมา “เจ้ากลัวรึ ? ”
“ราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปกว่าสามสิบปีแล้ว นางยังก่อเหตุอันใดได้อีกงั้นรึ ? ”
เฟ่ยอันหลับตาลงอีกครา “เจ้ารู้เรื่องมาน้อยเกินไป เจ้ากลับไปเถอะ ข้าได้พบกับเจ้าแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
เจ้าให้คนไปเรียกข้าออกมาจากจวนที่อบอุ่นกลางค่ำกลางคืน ก็เพื่ออยากพบหน้าข้าเพียงเท่านั้นรึ ?
“ข้ารู้สึกว่ามันยังมิพอ ! ”
“เยี่ยงนั้นเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา ข้าจะรับฟัง”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปทางด้านนอกและตวาดลั่น เฟ่ยอันลืมตาขึ้นมาอีกคราด้วยความประหลาดใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หันหลังกลับมา ทั้งยังทิ้งท้ายไปอีกหนึ่งประโยคว่า “หากพูดถึงเรื่องการเกษตร ท่านย่อมสู้ข้ามิได้ หากพูดถึงการรบ…ภายภาคหน้าท่านจะได้ทราบว่าท่านก็ยังมิอาจเทียบข้าได้ ข้ามิสนว่าท่านจะบริสุทธิ์หรือไม่ หากท่านยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ก็ขัดดาบของท่านเพื่อวิญญาณอาฆาตทั้งแปดร้อยดวงนั่น ไปปลิดหัวของคนชั่วตัวจริงมาเซ่นไหว้ประชาชนของราชวงศ์หยูทั้งแปดร้อยคนนั้นเสีย”
จินฮ่าวจือเปิดประตูกรงออก ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเดินออกไปข้างนอกและมิหันหน้ากลับมา
เฟ่ยอันมองตามแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน จนหายลับไปจากสายตา ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้เอ่ยพึมพำมาหนึ่งประโยค “ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องออกไปทำอันใดสักอย่าง”
……
……
ด้านหลังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ที่นี่มิได้มีเพียงหนิงหยู่ชุนแต่เพียงผู้เดียว
เบื้องหน้าโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมมีคนนั่งอยู่ 3 คน หนึ่งในสองคนนั้นคือฮั่วหวยจิ่น และอีกหนึ่งคนที่คาดไม่ถึงก็คือหยูเวิ่นเต้า
หยูเวิ่นเต้ายังคงสวมชุดไว้ทุกข์ มองสายตาสงสัยของฟู่เสี่ยวกวนและกล่าวเบา ๆ ขึ้นมา “เสด็จแม่ให้ข้าออกมาตรวจเมือง”
ตรวจเมืองมารดาเจ้าเถอะ !
เป็นข้ออ้างเพื่อหาเรื่องดื่มสุราทั้งนั้น !
เหตุเพราะการสวรรคตของไทเฮา ฮ่องเต้จึงมิมีเวลาทรงงาน ดังนั้นการป้องกันเมืองในยามนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง จึงได้มอบราชโองการให้แก่ฮั่วหวยจิ่น ให้เขานำราชองครักษ์หนึ่งหมื่นนายออกนอกเมืองเพื่อปกป้องประตูเมืองทั้งสี่
นอกจากนี้ยังมีทั้งเจ้าหน้าที่มือปราบจากศาลาว่าการทั้งใต้และเหนือของจวนผู้ว่าจินหลิงที่ออกตระเวนไปทั่วเมืองทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นช่วงหลายวันนี้ความปลอดภัยของเมืองจินหลิงจึงดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไหนเลยจะมีเรื่องของหยูเวิ่นเต้า
“เวิ่นหวินตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ”
“ผ่ายผอมลงไปมาก นางคงจะเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก หลังจากจบเรื่องนี้เจ้าคงต้องชดเชยให้นางเสียหน่อยแล้ว”
“ที่ข้าออกมาในค่ำนี้ก็เพราะเสด็จแม่ให้ข้าออกมาหาเจ้า คาดมิถึงว่าเจ้าจะมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงได้พลอยดื่มสุราไปด้วย มามามา ดื่มก่อนเถิด 3 จอก !”
ทั้งสี่ดื่มไปทั้งหมด 3 จอก หยูเวิ่นเต้าเช็ดปากแล้วจึงได้มองมาทางฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไทเฮาจะไปสุสานจักรพรรดิที่เขาจื่อจินในเดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบหก เจ้าก็จะต้องตามไปด้วย ! ”