ตอนที่ 244 คัดเลือกแม่ทัพ
“สงครามทางตะวันออกเริ่มขึ้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกเจ้าเข้าวัง !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ข้อมูลเหล่านี้ยังมิได้ส่งไปถึงกองทัพทางตะวันออก เหตุใดจึงเริ่มสงครามแล้ว ?
บัดนี้กองทัพทางตะวันออกมีเยี่ยนฮ่าวชูเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้เขาจะเป็นข้าราชการพลเรือน แต่ทหารที่กองทัพตะวันออกมีมากถึง 300,000 นาย หากเพียงแต่ถ้าเขารู้จักใช้คน สงครามครานี้ก็คงมิยากเกินตัวเขา
เสบียงอาหารที่ขนส่งจากเมืองหลินเจียงไปยังหลานหลิงตะวันออก รวมจำนวนได้กว่า 180,000 ถัง เพียงพอต่อการทำสงครามขนาดใหญ่ประมาณ 1 เดือน แต่ทว่าฝ่าบาททรงส่งขันทีเจี่ยที่ร่างกายยังมิหายดีมา น่าแปลกใจยิ่ง !
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นทันใด “ท่านขันทีเจี่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย เชิญดื่มน้ำชาก่อน ข้าจะเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาดูอาการของท่านให้ว่าพิษนั้นกำจัดได้หมดสิ้นแล้วหรือยัง หากส่งผลต่อวรยุทธ์ของท่านคงมิดีเป็นแน่”
ขันทีเจี่ยเบิกตาจ้องเขา จากนั้นก็ยิ้มแล้วโบกมือมาทางซูเจวี๋ยแล้วกล่าวว่า “ข้าช่างโชคดีเสียจริงที่ท่านแก้พิษให้ข้าได้ทันเวลา มิเช่นนั้น…ข้าน้อยคงจะแย่เป็นแน่ หากท่านเดินทางกลับไปที่สำนัก ข้าน้อยขอฝากคำพูดไปถึงท่านหัวหน้าสำนักว่า เจี่ยหนานซิงฝากความคิดถึงไปยังเขา !”
ซูเจวี๋ยที่อยู่ในท่ายืนได้โค้งคำนับกลับ “ข้าน้อยจำได้แล้วขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยมิทราบมาก่อนว่าท่านโหยวเป่ยโต้วคือพี่ชายแท้ ๆ ของท่าน…”
“นี่มิใช่เรื่องสำคัญใด อีกอย่างหนึ่ง ผู้คนล้วนรู้จักโหยวเป่ยโต้ว แต่มิรู้จักเจี่ยหนานซิง เช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าเบื่อชีวิตเช่นนั้นเกินทน การได้รับใช้ฝ่าบาทเช่นนี้ข้ามีความสุขดี ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับข้า ขอพวกท่านจงลืมมันไปเสียเถิด”
ซูเจวี๋ยมีคำถามมากมายในใจ แต่ทว่าดูเหมือนขันทีเจี่ยจะมิอยากเอ่ยออกมา ดังนั้นเขาจึงมิกล้าเอ่ยถามให้มากความ
ฟู่เสี่ยวกวนติดตามขันทีเจี่ยเข้าไปในพระราชวัง ซูซูจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ขันทีชราคนนี้คือน้องชายของโหยวเป่ยโต้วงั้นรึ ? เหตุใดแซ่ถึงมิเหมือนกัน ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นจัดทรงหมวกของเขา “พี่เองก็สงสัยยิ่ง”
เมื่อต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวออกจากจวนฟู่ พวกนางก็ไปยังหลานหยวนเพื่อดื่มชากับหยูเวิ่นหวิน
……
……
“ขันทีเจี่ย ท่านฝึกวรยุทธ์ได้เยี่ยงไร ? ”
“……”
“ขันทีเจี่ย ท่านฝึกวิชาคัมภีร์ทานตะวันใช่หรือไม่ ? ”
“……”
“ขันทีเจี่ย ท่านมีวิชาถีหูก้วยติ่งหรือไม่ ? คือการที่นำพลังภายในของท่านถ่ายทอดมายังร่างกายข้า ? ”
ขันทีเจี่ยมิอาจทนได้อีกต่อไป จึงได้เอ่ยมาว่า “คุณชายฟู่ หากพลังภายในของข้าเข้าสู่ร่างกายท่าน ท่านจะ…ตู้ม ! ระเบิดออกทันที ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไปยังขันทีเจี่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาในรถม้าตาไม่กะพริบ ในใจพลันรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ช่างเก็บซ่อนความลับไว้ลึกเสียจริง !
นี่คือปรมาจารย์ยอดฝีมือคนแรกที่เขาเคยพบเห็นด้วยตนเอง !
ในค่ำคืนเทศกาลโคมไฟ ผู้มีฝีมือระดับหนึ่งอย่างขันทีเว่ยเพียงโบกดาบ ผู้มีฝีมือระดับรองลงมาอย่างซูซูก็มิอาจดีดฉินดาบออกไปได้
ในวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง เพียงขันทีเจี่ยดีดนิ้ว ก็สามารถทำให้ดาบในมือขันทีเว่ยทะลุ อีกทั้งดีดจนเขากระเด็นออกไปจนกระอักเลือดบาดเจ็บสาหัส
ดังนั้น…หากขันทีผู้ดูไร้พิษสงตรงหน้าเขาเกิดจัดการเขาเข้า เขาคงจะรักษาชีวิตเอาไว้มิได้
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับวรยุทธ์ไปจากเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความสนใจไปด้านลัทธิเต๋าไม่น้อย
“เจ้ามิเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์ !”
ขันทีเจี่ยเอ่ยออกมาลอย ๆ แต่กลับคล้ายน้ำเย็นถังใหญ่สาดเข้าให้ที่หัวของฟู่เสี่ยวกวน
มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคนี้ ไป๋ยู่เหลียนก็เคยกล่าว ซูม่อ ซูโหรวก็เคยกล่าวเช่นกัน เพียงเมื่อครู่ที่ขันทีเจี่ยกล่าวมา ทำให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจยิ่งนัก
“เพราะเหตุใด ? ”
ขันทีเจี่ยเผยอยิ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขานั้นดูลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น “เนื่องจากเจ้ามีเรื่องที่จะต้องจัดการเสียมากมาย”
ยังดีที่เหตุผลเหมือนกัน มิเช่นนั้นคงจะยากเกินรับไหว หัวใจคงแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งหมายความว่าหากเขาวางมือจากทุกสิ่งก็ยังมีโอกาสได้ฝึกฝน
แต่เขาจะปล่อยวางได้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งคิดอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งรถม้ามาจอดยังหน้าพระราชวัง ทั้งสองลงจากรถ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับขันทีเจี่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้าเองก็คิดว่าข้ามิเหมาะสมที่จะฝึกวรยุทธ์”
เอ่ยจบเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
ขันทีเจี่ยมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเช่นกันแล้วเดินตามเข้าไป
……
ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง
“ข้าหมายความว่าให้เรียกตัวเยี่ยนฮ่าวชูกลับมารับหน้าที่เสนาบดีกรมกลาโหม เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนเป่ยซีรีบตอบว่า “ฝ่าบาท ! มิได้พ่ะย่ะค่ะ เยี่ยนฮ่าวชูเป็นผู้มีปัญญา กระหม่อมคิดว่าให้เขาไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนจะเหมาะสมกว่า”
“ฮ่าๆๆ ! ” ฮ่องเต้ทรงหัวเราะขึ้นด้วยพระทัยเบิกบาน เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกับหิมะแรกของฤดูหนาว
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาถึงด้านใน เขาก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “เจ้ากลัวงั้นรึ ! กลัวสิ่งใดกันเล่า ? เมื่อตอนที่เยี่ยนฮ่าวชูไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก เขาเป็นเพียงข้าราชการพลเรือน แต่จากการฝึกฝนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แล้วเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมจะลำบากเยี่ยงนั้นรึ ? เรื่องนี้ตกลงตามที่ข้าว่า…”
ฮ่องเต้ทรงเหลือบไปเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้า “ในวันนี้มิใช่วันหยุด เหตุใดเจ้าจึงไม่นั่งอยู่ในราชสำนัก ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคารวะแล้วตอบว่า “ทูลฝ่าบาท เพียงแค่กระหม่อมมีราชสำนักอยู่ในจิตใจ นั่งที่ใดก็มิต่างกัน ! ”
ฝ่าบาทจ้องไปยังเขา ส่วนเยี่ยนเป่ยซีที่นั่งข้าง ๆ โต๊ะน้ำชาส่งเสียงหัวเราะออกมา เยี่ยนซือเต้าเองก็หรี่ตามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน เขานึกในใจว่าเจ้าหมอนี่ได้รับพระกรุณาแล้วอย่าได้ผยองไป !
“เจ้าจงดูสิ่งนี้” ฮ่องเต้มิได้พิโรธ พระองค์ทรงยื่นเอกสารประทับตราสีแดงมาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนรับมามองดูอย่างละเอียด มีเนื้อความว่า รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบสี่ ทหารหงหลิงแห่งแคว้นอี๋ได้ข้ามผ่านที่ราบสีหม่า จากนั้นทำโจมตีแนวหน้าของเราโดยมิได้ประกาศสงคราม กระหม่อมส่งกองทหาร 30,000 นายไปต่อสู้กับพวกเขาที่แม่น้ำสีหม่า กระทั่งยามโหย่ว ข้าศึกรวบรวมกำลังทหารกว่าห้าหมื่นนาย ข้ามแม่น้ำมาต่อสู้กับทหารของเรา ประมาณยามซวี ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและสูญเสียมากยิ่ง แม่น้ำสีหม่าได้กลายเป็นแม่น้ำสีเลือด
กระหม่อมพบว่าศัตรูมีความดุเดือด ส่วนกองทัพของเรามีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ จึงได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพไปยังภูเขาซังยวี่ และให้ป้องกันแนวซังยวี่ไว้ จากนั้นจึงโยกย้ายกองทหารแนวหลัง 100,000 นายเดินทางมายังแนวป้องกันที่ซังยวี่นี้ ในเวลาเดียวกันก็ส่งทหารม้าไปปกป้องปีกซ้าย
สงครามดำเนินขึ้น แต่ชุดเกราะที่ทางกองทัพใต้กลับขาดแคลนอย่างมาก เมื่อกระหม่อมรู้ว่าทหารแคว้นอี๋กำลังรวบรวมคน อีกทั้งแม่ทัพคือนายพลเสี่ยนชู กระหม่อมจึงมิกล้าเมินเฉย ขอความกรุณาฝ่าบาทส่งกำลังทหารอีกทั้งของใช้ในการทำสงคราม ดังรายการต่อไปนี้…
ลงนาม เยี่ยนฮ่าวชู !
เขาผู้นี้ช่างเขียนหนังสือได้อย่างตรงไปตรงมาเสียจริง
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมีความเห็นให้เปลี่ยนตัวแม่ทัพ เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไป “เปลี่ยนตัวแม่ทัพกะทันหัน เดิมทีก็เป็นเรื่องมิถูกมิควร แต่กระหม่อมคิดเห็นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมีความคิดมองการณ์ไกล การที่ท่านตัดสินใจเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงเปลี่ยนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เปลี่ยนเป็นผู้ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงงัน ผู้ใดเล่า ?
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร !
คงจะมิใช่ข้าหรอก !
“ฝ่าบาททรงประสงค์จะเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ทรงทำตามพระประสงค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเพิ่งเข้ามาทำงานที่ราชสำนักเพียงไม่กี่วัน เหตุใดจึงติดนิสัยเสียเช่นนี้แล้ว ? ข้ามีตัวเลือกอยู่ 2 คน ข้าอยากลองฟังความคิดเห็นของเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ “กระหม่อมพร้อมรับฟัง”
“หนึ่ง เฟ่ยอัน…”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น กลับได้ยินชื่อที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าเดิม
“สอง องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน !”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง เนื่องจากตระกูลเฟ่ยถูกประณามว่าเป็นกบฏ นอกเสียจากเฟ่ยอันที่ได้รับการยกเว้นเนื่องจากมีผลงานปกป้องฮ่องเต้ แม้แต่เฟ่ยกั๋ว แม่ทัพทหารม้าเบาทางกองทัพตะวันตกยังถูกจับกุมตัว
นั่นหมายความว่า ตระกูลเฟ่ยที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้เหลือเพียงเฟ่ยอันเท่านั้นที่มีอิสระ !
การที่ฝ่าบาทแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพ…มิกลัวว่าเขาจะพากองทหารเข้าโจมตีเมืองหลวงงั้นรึ ?
อีกทั้งหยูเวิ่นเทียน เขาเพิ่งก่อกบฏไปเพียงไม่กี่วัน ฝ่าบาททรงลืมแล้วรึ ?
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ราชวงศ์หยูใหญ่โตเพียงนี้ มิทรงมีตัวเลือกที่สามหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
“ทหารทั่วไปนั้นหาง่าย แต่ผู้นำช่างหายากยิ่ง หากเจ้าเคยมีประสบการณ์ด้านการทหารเสียหน่อย ข้าเองก็อยากจะส่งเจ้าไป แต่ทว่าเจ้า…”
ฝ่าบาทมิได้ตรัสประโยคหลังออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี เขานำมือลูบจมูกแล้วอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วนึกในใจว่า หากข้าต้องการที่จะไปก็ไม่แน่
เขาไม่ไปเป็นแน่ ทำสงครามเหนื่อยมิใช่หรือ ? หากมีพวกโรคจิตลอบทำร้ายข้าเล่า หากข้าตายแล้วจะทำเยี่ยงไร ?
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “กระหม่อมขอพบเฟ่ยอันและองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่ ?”
“…ได้ เฟ่ยอันอยู่ที่หนานหลิง ส่วนหยูเวิ่นเทียนถูกขังอยู่ในจวนของตระกูล เจ้าจงนำตราจากข้าไป จงรีบจัดการเสีย ข้าต้องการคำตอบในวันนี้ตอนบ่าย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำตราของฮ่องเต้ไป เยี่ยนเป่ยซีจึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดฝ่าบาททรงต้องฟังความคิดเห็นจากเขา ? ”
“เจ้าลืมแล้วงั้นรึว่าเขาเป็นผู้เขียนนโยบายการทำสงคราม ! ”
เยี่ยนเป่ยซีหยุดชะงัก เขาเองเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตนยังเคยคัดลอกเอาไว้แล้วส่งให้เยี่ยนฮ่าวชู เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเองก็มีความสามารถทางด้านการทหารอยู่ไม่น้อย คาดว่าฝ่าบาทจะทรงใช้ดวงตาของเขามองถึงการแย่งชิงของทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ได้รับหน้าที่แม่ทัพแห่งกองทัพตะวันออก ล้วนแต่จะถูกขุนนางคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยูเวิ่นเทียน เขาเป็นผู้บงการเหตุการณ์ ณ สุสานราชวงศ์
ครั้งนี้ที่หยูเวิ่นเทียนล้มลง ขุนนางข้างหลังของเขาก็มิอาจรอดพ้นได้ ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นมีหลายคนที่เปิดโปงความจริงออกมา และมีผู้ตอกย้ำไม่น้อย ดังนั้นองค์ชายใหญ่มิควรได้รับการฟื้นฟูตำแหน่ง มิเช่นนั้นขุนนางเหล่านี้คงแย่เป็นแน่
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย
เขาเดินทางไปยังจวนของราชวงศ์พลางคิดว่า การที่ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้เพราะต้องการสิ่งใด ?
ใช่แล้ว เนื่องจากฝ่าบาทมิทรงประสงค์ให้หยูเวิ่นเทียนอยู่ในคุกไปจนแก่เฒ่า !
ฮ่องเต้ทรงต้องการให้หยูเวิ่นเทียนออกมาแล้วทำตามความปรารถนาของเขา
ฝ่าบาทมิทรงกังวลเลยเยี่ยงนั้นรึ ?
ทหารจำนวน 300,000 นายเลยมิใช่รึ !
หากว่าหยูเวิ่นเทียนร่วมมือกับเซวี๋ยติ้งชาน กองทัพตะวันตก…ฝ่าบาททรงมีความมั่นใจว่าจะจัดการได้งั้นรึ ?
เขาคิดไม่ออกจริง ๆ และอยากจะไปขอความคิดเห็นจากพระสนมซั่ง แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงเอ่ยถามเรื่องนี้กับเขา แน่นอนว่าไม่สามารถหารือกับพระสนมซั่งได้เป็นแน่
ณ สุสานราชวงศ์นั้น หยูเวิ่นเทียนได้ประกาศชี้หน้าด่าพระสนมซั่งว่าเป็นคนสารเลว หากเป็นข้า ข้าก็คงจะหาวิธีจัดการเขาเป็นแน่ !
ณ ทางเข้าประตูจวนของตระกูล ขันทีเว่ยมองเห็นใบหน้าที่คาดเดาไม่ถูกของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงเอ่ยถามว่า “ข้ามิถามว่ามาด้วยเหตุอันใด เชิญคุณชายทำตามประสงค์และตามข้าเข้าไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าเดินเข้าไป ในสมองของเขากำลังคิดถึงประโยคของขันทีเว่ยเมื่อครู่
เขาเดินมาถึงประตูใหญ่ประตูหนึ่งซึ่งเป็นเหล็ก มิได้ลงกุญแจไว้ ผู้คุมเปิดประตูออก ภาพที่สะท้อนมาในตาของเขามิใช่คุกมืดมนในจินตนาการ
ที่นี่คือลานกว้าง !
ตรงกลางลานกว้างนี้มีต้นเหมยอยู่ หยูเวิ่นเทียนกำลังนั่งอ่านหนังสือ ข้างกายของเขามีสตรีในชุดขาวเรียบง่าย กำลังชงชาอย่างขะมักเขม้น
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา หยูเวิ่นเทียนหันหลังไปมอง สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบตามเคย คล้ายกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาอ้าปากแล้วเอ่ยออกมาว่า
“เจ้าว่า…หากข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ จะเป็นเยี่ยงไร ? ”