ตอนที่ 261 พบกันครั้งแรก
จวนแม่ทัพใหญ่นี้ต่างจากที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดไว้เสียเล็กน้อย
ค่อนข้างเรียบง่าย มิได้โอ่อ่าทะมึนทึบอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดไว้เลย
มันถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ย มิได้มีคานประตูที่สูงใหญ่ หน้าประตูมิได้มีรูปปั้นสิงห์ตั้งอยู่ มีเพียงทหารที่สวมชุดเกราะและดาบพาดเอว 2 คน
เดินตามโต้วเทาเข้ามาในจวนแม่ทัพ มิมีสวนดอกไม้ด้านหน้า ด้านขวาของทางเดินถูกปูด้วยกระเบื้องเป็นแถวอย่างเรียบง่าย ส่วนทางซ้ายกลับมีม้าพันธุ์ดีสีดำขลับ 2 ตัวถูกผูกไว้อยู่
เดินข้ามผ่านประตูพระจันทร์ ก็ได้มาถึงโถงกลางของจวนแม่ทัพ สองข้างทางต่างมีอาคารเล็กสองชั้นตั้งอยู่ มิมีศาลาและภูเขาจำลอง
เดินผ่านโถงกลางมาก็จะถึงด้านหลังจวน ด้านหลังจวนกว้างขวางยิ่ง สองข้างทางเดินนั้นได้ติดตั้งชั้นวางอาวุธประเภทดาบยาวไว้ ดังนั้นด้านหลังจึงมิใช่สวนดอกไม้ แต่เป็นสนามฝึกยุทธ์ มีเพียงต้นท้อที่มุมกำแพงเท่านั้นที่เติบโตขึ้นมาราวกับถูกดูแลอย่างดี
ดอกท้อได้เบ่งบาน มีสองสีสดใสสวยงามมาแต่งแต้มลานฝึกยุทธ์นี้ให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ในยามที่กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนกำลังเมียงมอง ก็ได้มีคนสองคนเดินออกมาจากอาคารเล็กด้านข้าง
ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นสวมเสื้อผ้าป่านสีขาว รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมเล็กน้อย คิ้วเรียวสองข้างราวกับกระบี่ที่ราบเรียบ ดวงตาด้านล่างคิ้วคู่นั้นน่าเกรงขาม นี่คือชายหนุ่มรูปงาม
และสตรีที่เดินตามหลังของเขาอยู่หนึ่งก้าวกลับสวมเพียงเสื้อคลุมปักลายดอกไม้ ผมถูกมวยขึ้นแบบขอไปที และใช้ปิ่นจากไม้หวงหยางสอดเข้าไป
ใบหน้าของนางนั้นดูธรรมดายิ่ง คิ้วและดวงตาของนางก็ธรรมดาเป็นอย่างมาก ราวกับสุ่มมาวางไว้บนใบหน้าของนาง เพียงแค่วางไว้ถูกที่ แต่กลับมิได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นางไว้หน้าม้าประคิ้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงเห็นรอยแผลเป็นสีดำบนหน้าผากทางซ้ายของนางที่ยาวพาดผ่านคิ้วไปจนถึงหู
นางคือแม่ทัพใหญ่หญิงเผิง เผิงยวี๋เยี่ยน
เยี่ยงนั้น เขาก็ต้องเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพชายแดนใต้ หยูชุนชิว !
หยูชุนชิวปรี่มาข้างหน้าอย่างรีบร้อนเพียงสองก้าว สายตากวาดมองใบหน้าฟู่เสี่ยวกวน และไปตกอยู่ที่ตัวหยูเวิ่นหวิน
เขากุมสองมือเป็นกำปั้น และโค้งคำนับ “กระหม่อม หยูชุนชิว ถวายบังคมองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็หัวเราะขึ้นมา และเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าจะมา เหตุใดจึงมิมาต้อนรับข้าที่ศาลาพักม้า ? ”
นี่คือคำถามเชิงตำหนิ น้ำหนักมิเบามิหนัก หยูชุนชิวจึงรีบตอบไปว่า “ทูลองค์หญิง กระหม่อมเป็นถึงแม่ทัพ เป็นการยากที่จะออกมาจากค่ายทหาร…นอกจากนี้ กระหม่อมได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวเล็กน้อย คาดคิดว่าองค์หญิงคงเหนื่อยกับการเดินทาง อยากจะเชื้อเชิญองค์หญิงมาทานอาหารที่เรือนของกระหม่อมสักมื้อ”
“ฮ่าฮ่า พอได้แล้ว…พี่ชาย ข้าเพียงกล่าวขอไปทีเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจนักเลย ท่านนี้คือพี่สะใภ้งั้นรึ ? ”
พี่ชายเพียงหนึ่งประโยค ก็เป็นการสิ้นสุดพิธีรีตองต่าง ๆ และกลายเป็นครอบครัวธรรมดา
หยูชุนชิวยื่นมือไปด้านหลังและให้เผิงยวี๋เยี่ยนเดินมาข้างหน้า “นางคือพี่สะใภ้ของเจ้า”
คราวนี้เป็นคราของหยูเวิ่นหวินที่คำนับ “คำนับพี่สะใภ้ ! ”
“คำนับองค์หญิง องค์หญิงคงเหนื่อยมากแล้ว อย่าได้มัวแต่ยืนคุยที่ด้านนอกเลย เข้าไปเถิด พี่สะใภ้ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เพียงประเดี๋ยวองค์หญิงเสวยให้มาก ๆ ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากยิ่งนักแล้ว”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ฝนตกปรอย ๆ นี้ราวกับสงบลงไปมาก แม้แต่ดอกบ๊วยตรงมุมกำแพง ก็ราวกับมีดอกไม้บานขึ้นสองถึงสามดอก
กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนทั้งสามคนนั่งลงตรงโต๊ะน้ำชาเบื้องหน้า หยูชุนชิวต้มชา เอ่ยถามกับหยูเวิ่นหวินถึงฝ่าบาทและฮองเฮาซั่งอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็รินชา และหัวข้อสนทนาจึงถูกเปลี่ยนเบนมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขาส่งถ้วยชาให้ฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยขึ้นมาว่า “ชื่อเสียงของคุณชายฟู่ในบัดนี้ขจรไกลไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้วอย่างแท้จริง ! ”
“ท่านแม่ทัพกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
หยูชุนชิวส่ายหน้า “ข้ามิได้กล่าวเกินไปเลยสักนิด ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ความฝันในหอแดงเล่มนั้น คาดมิถึงว่านางในนั้นจะชอบมากยิ่งนัก ดังนั้นพอได้ยินว่าเจ้าจะเดินทางมาราชวงศ์อู่ เหล่านางในก็กล่าวกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าให้เชิญองค์หญิงเก้ามาพำนัก และเชิญคุณชายฟู่ให้มาด้วยกัน พวกนางอยากเห็นว่าผู้ที่สามารถเขียนตำราเล่มนั้นขึ้นมาได้ ผู้ที่สามารถประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นออกมาได้แท้จริงแล้วเป็นชายหนุ่มเช่นไร…ประเดี๋ยวเชิญรับประทานอาหารก่อนเถิด เกรงว่านางจะพูดคุยกับเจ้าอีกมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ท่านฮูหยินหยูเป็นวีรสตรีที่ดีมิแพ้บุรุษ เสี่ยวกวนได้ยินมาจากในเมืองหลวงที่ห่างไกล เพียงได้มาพบพานในวันนี้ ถือเป็นโชคดีของเสี่ยวกวน”
หลังจากนั้นหยูชุนชิวก็พูดคุยกับต่งชูหลานอีกไม่กี่ประโยค แต่หลังจากนั้นกลับพูดถึงเรื่องของต่งคังผิง แต่มิใช่การยั่วเย้าอันใด เป็นเพียงการไถ่ถามทั่วไปเท่านั้น
เพียงไม่นานเผิงยวี๋เยี่ยนที่ผูกผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ก็เดินออกมา ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “มื้อเย็นเสร็จแล้ว เชิญทุกท่าน”
ทั้งห้าคนนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีอาหารแปดอย่างและน้ำซุปหนึ่งถ้วย
หน้าตาของอาหารสวยงามยิ่ง กลิ่นก็หอมยั่วยวนน้ำลาย กระตุ้นความอยากอาหารของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้ในทันที
ระหว่างทางมา อาหารการกินมิได้พิถีพิถันมากนัก แต่แล้วในตอนนี้ก็ได้มีมื้ออาหารที่ดี ย่อมทำให้มือของพวกเขาขยับไปตามธรรมชาติ
“พวกข้าคิดว่าพวกท่านในยามที่อยู่เมืองหลวงต้องได้กินอาหารที่รสเลิศมาอย่างมากมาย ในที่ของพวกข้านั้นมิได้มีวัตถุดิบที่หลากหลาย แต่ก็ถือเป็นเอกลักษณ์”
เผิงยวี๋เยี่ยนหันมองหยูเวิ่นหวิน แล้วกล่าวอีกว่า “อย่างเช่นเห็ดเหล่านี้ ข้าเก็บมาจากบนภูเขาฉีซาน และหน่อไม้นี้ มันแตกต่างจากที่อื่น มันคือหน่อไม้จากต้นไผ่ หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้องขุดลงไปหลายฉื่อ มิเช่นนั้นจะแก่ไป พวกท่านลองทานดู ใช่แล้ว ยังมีเนื้อชะมดนี้อีก ข้าเพิ่งไปล่ากลับมาเมื่อตอนเช้า”
นี่คืออาหารจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์และปราศจากสิ่งเจือปน !
หากเป็นชาติก่อน อาหารเหล่านี้ถือว่าเป็นอาหารชั้นสูง
ฟู่เสี่ยวกวนมิเกรงใจ และกล่าวยิ้มๆ “เยี่ยงนั้นข้าคงต้องลงมือแล้ว !”
เผิงยวี๋เยี่ยนชำเลืองมองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนได้เริ่มลงมือกินอย่างแท้จริง คีบเห็ดขึ้นมาหนึ่งชิ้น แต่กลับวางในชามของหยูเวิ่นหวิน หลังจากนั้นก็คีบขึ้นมาอีกครา และวางในชามของต่งชูหลาน และกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสอง ยามเมื่ออยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ก็อย่าได้เกรงใจ ข้าจะกล่าวว่า ให้ทำเหมือนอยู่ในจวนของตนเอง ทานอาหารเยี่ยงนี้ต่างหากจึงจะมีความสุข จึงจะคุ้มค่าต่อฝีมือของท่านฮูหยินหยูและวัตถุดิบล้ำค่าที่นางหามา”
เผิงยวี๋เยี่ยนหัวเราะขึ้น แต่เดิมนางนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มิชอบพอพวกนักวรรณกรรมเหล่านั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นคนสบาย ๆ เยี่ยงนี้กลับทำให้นางเจริญอาหาร
เมื่อรวมกับการกระทำของฟู่เสี่ยวกวนที่คีบอาหารให้กับสตรีทั้งสอง ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเขาและสตรีทั้งสอง แท้จริงแล้วชายผู้นี้เป็นคนที่ฉลาด เกรงว่าคงจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งไม่น้อย
“ใช่ ๆ คุณชายฟู่กล่าวได้ถูกต้อง ทุกคนทำเหมือนเป็นจวนตนเองเถิด”
ดังนั้นบรรยากาศในตอนนี้จึงผ่อนคลายยิ่งขึ้น หยูชุนชิวหยิบซีชานเทียนฉุนขึ้นมา ในขณะที่ดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนก็บ่นไปด้วย “เจ้าเป็นผู้ผลิตของสิ่งนี้ขึ้นมา แต่ทั่วเจียงหนานตงเต้ามิสามารถหาซื้อได้… เจ้าจักสามารถสร้างร้านสุราขึ้นที่นี่ได้หรือไม่ เพื่อจะได้ดื่มสุรา ข้าถึงกับต้องไหว้วานให้คนของข้าไปซื้อที่หลินเจียง”
ฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าผาก “ท่านแม่ทัพใหญ่ แท้จริงแล้วก่อนที่จะออกเดินทางข้าได้เตรียมสุราให้ท่านไว้สองสามลังแล้ว แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีกลับกล่าวว่าสุราเป็นสิ่งต้องห้ามในกองทัพ ข้าจึงมิได้นำมาด้วย…ชายชราผู้นั้น ในตอนนี้ข้าคาดว่าเขาคงจะฉวยไปให้ตนเองเสียแล้ว ! ”
หม้อสีดำใบหนึ่งถูกโยนไปให้เยี่ยนเป่ยซี เขากล่าวอีกว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงบิดาของข้า และจะขอให้เขาส่งมาให้กับแม่ทัพใหญ่เสียเล็กน้อย”
หยูชุนชิวลอบสาปแช่งเยี่ยนเป่ยซีอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “จริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”