รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 ขึ้นสามค่ำ เดือนสาม
สายฝนยามฤดูใบไม้ผลิกับดินแดนที่เวิ้งว้าง
วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสอง ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกจากทางเดินบนภูเขาฉีชานอย่างปลอดภัย ขณะนี้ได้ย่ำกรายเข้าไปในเขตแดนของแคว้นอู๋นับเป็นวันที่สี่แล้ว
ขนาดของกองทัพได้ทวีคูณมากขึ้นไปอีก เหตุเพราะทหารรักษาการณ์แห่งเมืองเชียนเย่ได้รับพระราชโองการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ให้จัดกำลังพลม้ามาสมทบเป็นจำนวน 500 นาย นัยหนึ่งเพื่อนำทาง อีกนัยหนึ่งก็เพื่ออารักขาความปลอดภัยของคณะทูตแห่งราชวงศ์หยู
มิว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อจากนี้สืบไปก็จะอยู่ในความดูแลของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ กาลนี้ภาระหน้าที่ของของเซวียผิงกุยก็เบาลงไปมากนัก
แม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋มีนามว่าเซี้ยะซีเฟิง อายุราว 40 ปี เป็นคนเคร่งขรึม แต่สามารถจัดการทุกปัญหาน้อยใหญ่ได้อย่างพิถีพิถันรอบคอบ และเขาดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับหน้าที่อารักขาคณะทูตแห่งราชวงศ์หยูเป็นอย่างมาก
ขณะนี้เวลาใกล้ย้ำแดนสนธยา แสงอาทิตย์กำลังอัสดงลงกลางหุบเขา ทัพได้เคลื่อนขบวนมาหยุดจัดตั้งที่พักแรมข้ามคืน ณ สถานที่ที่มีนามว่า ทุ่งฮวาจ้ง
เมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนได้รับสารมาจากหอซี่หยู่ทำให้พอเข้าใจลักษณะภูมิศาสตร์ของพื้นที่นี้อยู่บ้าง หากผ่านทุ่งฮวาจ้งไปก็จะเป็นเมืองจิ่นกวน เมืองยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของเขตแดนทางเหนือของแคว้นอู๋
ทำให้เขานึกฉงนขึ้นในใจชั่วขณะ หรือว่าบทกวีรวยรื่นคืนวสันตฤดูของตู้ฝูผู้นั้นจะมีอยู่จริงในโลกแห่งนี้ ?
ไม่นานนักหลังจากที่ได้ยินฉินเหวินเจ๋อและหมู่คณะสนทนา เขาจึงรู้ว่าเขาคิดมากเกินไป
นี่คือความบังเอิญโดยสิ้นเชิง
ทุ่งฮวาจ้งมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นพื้นที่ปศุสัตว์ทางตอนเหนือ แห่งแคว้นอู๋ เหตุที่มีนามว่าฮวาจ้ง เพราะครั้นเมื่อถึงยามฤดูใบไม้ผลิดอกไม้นานาพรรณได้เบ่งบานละลานตา สถานที่นี้จึงถูกเรียกว่าฮวาจ้ง
ส่วนเมืองจิ่งกวนเป็นเมืองสำหรับชมทิวทัศน์ ซึ่งหมายความว่าหากทอดสายตาจากบนหอคอย ทุกสารทิศล้วนแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น เหตุนี้จึงมีนามว่าเมืองชมทิวทัศน์
ที่แห่งนี้แม้นมิใช่เมืองจิ่นกวน แต่ก็งดงามเฉกเช่นกัน !
ดินแดนเวิ้งว้างสุดสายตา หยาดพิรุณพรั่งพรูลงมามิขาดสาย หมอกจางพลิ้วไหวมิเสื่อมคลาย บุษบาเบ่งบานละลานตา ทั้งเหล่าผีเสื้อโบยบิน เหล่าผึ้งพากเพียร เหล่านกนวลหวนคืนรัง เหล่าอาชาเงียบสงบพร้อมเพรียง นี่คือคำบรรยายของภาพวาดที่ตั้งตระหง่านที่ไร้ที่สิ้นสุดอยู่เบื้องหน้า
ในขณะที่เดินทัพอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนและคณะรู้สึกจิตใจผ่อนคลายลงมาก สถานที่ที่เหมือนภาพวาดเส้นทางเบื้องหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาในทุกย่างก้าว
หากเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมเก็บค่าบัตรเข้าชม ก็มิต้องลงทุนสักตำลึงเดียวก็ได้กำไรมาเต็มกอบเต็มกำ เขานึกแล้วก็ขำกับความคิดตนเอง มิวาดฝันว่าตนจะหน้าเงินได้ถึงเพียงนี้ ความคิดแรกที่โพล่เข้ามาก็ยังคงมิพ้นเรื่องเงินทอง
แต่เขาก็นึกฉงน เหตุใดสถานที่ดุจสวรรค์แห่งนี้ถึงไร้ซึ่งวี่แววผู้คนอยู่อาศัยกัน
ส่วนผู้ที่ร่วมขบวนกันมาอย่างเซี้ยะซีเฟิงนั้นคอยติดตามเงาของฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่ละสายตา นึกคิดไปว่าท่านชายผู้เก่งกาจแห่งราชวงศ์หยูแท้จริงก็มิมีสิ่งใดพิเศษเหนือผู้อื่น
ทั้งเยาว์วัย หล่อเหลา มีชีวิตชีวา แล้วยังโปรดปรานความสวยงามของทิวทัศน์อีกด้วย คราหนึ่งเคยคิดว่าเขาจะมิใยดีกับเรื่องพรรค์นั้น กลับกลายเป็นตัวเขาที่คิดมากไปเสียเอง
ฉินเหวินเจ๋อทอดมองทิวทัศน์แล้วนึกอยากประพันธ์กวีขึ้นมาสักบท แต่ฝืนคิดแล้วฝืนเล่า กลับหาอารมณ์ศิลป์ของตนเองมิเจอ เลยหันไปสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน “ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ จะไร้ซึ่งบทกวีได้เยี่ยงไรท่านพี่ ท่านจะมิประพันธ์ออกมาสักบทหรือ ? ”
เหล่าปัญญาชนในกองทัพต่างหันมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาจำนวนมิน้อยต่างก็เป็นศิษย์ของสมาคมกวีหลานถิงและได้ยินถึงความสามารถในการพรั่งพรูบทกวีได้แค่เพียงอ้าปากของฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
เซี้ยะเฟิงซีผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนแววตาจับประกาย รู้สึกว่ามีสีสันขึ้นมาทันตา
ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดผิดแปลกจากผู้อื่น สำหรับปัญญาชนหามีคำว่า “คัดลอก” คำนี้บรรจุอยู่ไม่ ในตำแหน่งของท่านทูตเผยแพร่วัฒนธรรม เขามีหน้าที่นำบทกวีชั้นสูงเหล่านั้นบันทึกไว้ในโลกใบนี้
และแล้ว… เขาก็นำมือไพล่หลัง และยืดอกตรงด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ข้าขอประพันธ์กวีหนึ่งบทให้แก่พวกท่าน กวีมีนามว่า รวยรื่นคืนวสันตฤดู”
บางคนถึงขนาดควานหาพู่กันและกระดาษใต้แขนเสื้อ แต่กลับมิมีหมึก เลยอมปลายพู่กันไว้ในปาก มิได้สนใจปากที่เต็มไปด้วยหมึกพู่กันเลยแม้แต่น้อย
“ ฝนดีรู้กาละ ยามวสันต์จึงตกพรำ
คล้อยลมลับมายามค่ำ ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียง
เมฆดำปกท้องทุ่ง เพียงแสงไฟเพิงพักเด่นตระหง่าน
รุ่งเช้าดูดอกชุ่ม สะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน ”
ที่แห่งนี้ไร้เรือและแม่น้ำ ทำให้เขาเสียดายยิ่ง เขาเลยเปลี่ยนคำเพียงแค่สองคำเท่านั้น แต่กลับทำให้กวีดูมิสวยงามมากนัก
แต่ในโสตประสาตคนอื่น ๆ นี่คือกวีที่บรรยายสภาพตอนนี้ได้งดงามที่สุด อย่างหาที่เปรียบมิได้
ยิ่งวรรคที่กล่าวว่า รุ่งเช้าดูดอกชุ่ม สะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน ทำให้เซี้ยะซีเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก !
กาลนี้ขบวนเพิ่งย่างกรายเข้ามาสู่ทุ่งฮวาจ้ง อีกทั้งยังเป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้มาเยือนยังที่แห่งนี้ แต่เขากลับนำทิวทัศน์ของของทุ่งฮวาจ้งถักทอเป็นบทกวีที่สวยงามออกมาได้ นั่นหมายความว่าบุรุษผู้นี้สามารถประพันธ์บทกวีออกมาได้เพียงแค่ใช้เวลาครึ่งก้านธูปเท่านั้น
เหล่าปัญญาชนต่างหลงใหลในมโนภาพสุดงดงามของบทกวีจนยากที่จะหยุดเพ้อฝัน
กวีบรรยายทิวทัศน์ ซึ่งงดงามราวกับรูปวาด ทำให้ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความเพ้อฝันอย่างไร้ที่สิ้นสุด
กงซุนเค่อทุ่มเสียงท่องบทกวีขึ้นมาอีกครา “คล้อยลมลับมายามค่ำ…คำว่าลับนี่มันช่างเข้ากันเสียยิ่งกระไร ! ”
อู๋เชวียเห็นพ้องต้องกัน “คำว่า ลับ ในกวีได้บรรยายลักษณะของฝน ดูวรรคต่อไปเถิด ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียงเหตุเพราะลับจึงไร้ซุ่มเสียง แต่กลับทำให้หลากหลายสิ่งชุ่มชื่นหวนคืนชีวา ”
ทันใดนั้นอู๋เชวียก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เพราะคำบทกวีนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาตลอดการเดินทาง เข้าใจว่าแท้จริงบทกวีนี้มีความหมายลึกซึ่งเพียงใด
แท้จริงแล้ว…ฟู่เสี่ยวกวนก็เปรียบดั่งหยาดฝนที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างลับ ๆ ให้ความความคิดความอ่านของเขาค่อย ๆ ชุ่มช่ำขึ้นมาอีกด้วย !
นี่แหละถึงจะเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง !
เขาโค้งคำนับถวายตัวให้ฟู่เสี่ยวกวน “อาจารย์ โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์รับเชิญมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่เขายังวัยเยาว์ จึงมักจะโดนเหล่าปัญญาชนเรียกว่าท่านพี่
ยามนี้ปัญญาชนคนอื่นได้ยินแล้วพลันตระหนักขึ้นมาทันใด ตระหนักได้ว่าความรู้ของตนกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นแตกต่างกันมากยิ่งนัก และพลันรู้ซึ้งว่าเหตุใดอู๋เชวียฟังบทประพันธ์นี้ถึงกับต้องเคารพเขาเป็นอาจารย์ !
เหล่าปัญญาชนต่างตกตะลึง แต่มิใช่เพราะฐานะของตน แต่เป็นความรู้สึกเคารพที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาต่างโค้งคำนับถวายตัว “อาจารย์ โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ! ”
บทกวีบทเดียว เปลี่ยนแปลงสถานะของฟู่เสี่ยวกวนต่อเหล่าปัญญาชนไปโดยสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนมิปฏิเสธ เขายกมือขึ้นคำนับ และพูดกล่าวในฐานะอาจารย์ “พวกเจ้าจงจำไว้เสมอ บทกวีมีไว้บ่มเพาะแค่ความสุขของตัวเจ้าเอง แต่ไร้ซึ่งความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ในฐานะอาจารย์ ข้ามิอาจห้ามความต้องการดื่มด่ำความไพเราะของบทกวีของพวกเจ้าได้ แต่ในฐานะอาจารย์ ข้าขอให้พวกเจ้าจงแบ่งแยกเรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญ จงอย่าลืมจิตใจที่ตั้งมั่นและพากเพียร ”
คำพูดนี้ช่างหนักแน่นและตราตรึงเข้าไปในจิตใจของเหล่าลูกศิษย์ ทำให้พวกเขาตระหนักมากยิ่งกว่าเดิม ย้อนนึกถึงเรื่องราวการค้าขายและภูมิปัญญาที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวในคราก่อน ย้อนนึกถึงเรื่องเล่าหนอนและผีเสื้อ ย้อนนึกถึงปริศนาที่เขาหลงเหลือให้ไขคำตอบ
ครานี้ถึงรู้ซึ้งถึงความมานะอุตสาหะของฟู่เสี่ยวกวนที่มีมาโดยเสมอ เขาพยายามเผยแพร่หลักการการบริหารประเทศมาโดยตลอด !
เขาเปรียบดั่งสายฝนยามฤดูใบไม้ผลิ ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียง แต่กลับขจัดความคิดเหยียดหยามพ่อค้าให้เหือดหายไปได้ ไม่มัวแต่คิดว่าคนเหล่านั้นมีสถานะต้อยต่ำ ถึงขนาดว่าหลายคนเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญของเหล่าพ่อค้าขึ้นมา
แน่นอนว่ารวมไปถึงช่างไม้ด้วย
สำหรับฟู่เสี่ยวกวน ช่างไม้แม้จะดูตื้นเขินแต่เบื้องลึกคือที่มาของภูมิปัญญา
พวกเขาเหล่านั้นฟูมฟักภูมิปัญญา ประดิษฐ์และต่อยอดเครื่องไม้เครื่องมือ ดังเช่นเริ่มจากทอผ้าด้วยมือก่อนถึงจะมีเครื่องทอผ้า คนบันทึกอักษรบรรจงในกระบอกไม้ไผ่ก่อนถึงจะมีกระดาษเยี่ยงในทุกวันนี้
ในทุกวันราวกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เอ่ยผ่าน ๆ ไป แต่กลับเป็นตราตอกฝังลึกเข้าไปในใจของเหล่าลูกศิษย์ ดังหญ้าที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิคืนชีวิต งอกราก แตกหน่อ มีการเจริญเติบโตที่งดงาม
ครานี้เหล่าลูกศิษย์ได้มองเขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่นมากกว่าเดิม !
พวกเขาตรึกตรองในใจว่านี่คงเป็นอาจารย์อย่างแท้จริงของชีวิต มิใช่อาจารย์ในสำนักที่ให้พวกเขาหลับหูหลับตาอ่านเพียงตำรา ทำให้ถวิลหาการหลับใหลยิ่งนัก และมิอาจทำให้เข้าใจสัจธรรมได้มากถึงเพียงนี้
รอถึงรุ่งเช้าดูดอกไม้ชุ่มฉ่ำ แล้วเหล่าผกาจะสะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน !