ตอนที่ 298 จักรพรรดิช่างมิได้เรื่อง
คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ทำให้หนานกงอี้หยู่ได้ข้อสรุปขึ้นมา “ในเมื่อตาเฒ่าเหวินนั่นอยากเอาดีเข้าตัว พรุ่งนี้วันประชุมคราใหญ่ของเหล่าขุนนางประจำราชวงศ์ ข้าจะยุแยงให้เหล่าขุนนางทวงความสงบสุขคืนสู่ราชวงศ์อู๋ให้ได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับช่วงต่อ เขายืนตรงขึ้นแล้วโค้งคำนับต่อหนานกงอี้หยู่ “ข้าน้อยมีธุระให้สะสาง จึงขอลาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไว้เพียงเท่านี้ ! ”
หนานกงอี้หยู่ถึงกับผงะ เจ้าหนุ่มผู้นี้คิดจะหนีเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขายื่นมือออกมากวักเรียก “รีบไปไหนเล่า ! เวลานี้ยังเหลืออีก 8 วันกว่าจะถึงงานชุมนุมวรรณกรรม มา ๆ ๆ ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาช้านาน อีกทั้งข้าก็เคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อมินานมานี้ข้าก็ได้ข่าวว่าผลงานของเจ้าล้มบทกวีในงานเทศกาลโคมไฟได้สำเร็จ ยอดเยี่ยมมากนี่ ตาเฒ่าเหวินนับวันยิ่งอาศัยสถานะนักปราชญ์ทำตัวเหิมเกริม มีผู้ใดอีกเล่าที่จะหยุดยั้งอิทธิพลของมันได้ เจ้ามาเยือนครานี้ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดี ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าจงคว้าชัยชนะมาไว้ในมือให้ได้ เหตุผลแรกคือจะได้ตบหน้าตาเฒ่าเหวินนั่น เหตุผลที่สองคือหากองค์หญิงไท่ผิงทรงอภิเษกสมรสกับเจ้านั้นย่อมดีกว่าอภิเษกสมรสกับไอ้ทึ่มจัวตงหลายนั้นเป็นไหน ๆ ”
มิใช่ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความงุนงงมากขึ้นไปอีก
เขานั่งลงอีกครา และมิได้สังเกตเลยว่าบัดนี้อู๋หลิงได้ขัดเขินเสียจนหน้าแดงเรื่อไปหมดแล้ว
“ข้าน้อยขอกราบเรียนทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าวปลาสามารถกินซี้ซั้วได้แต่คำพูดนั้นห้ามกล่าวซี้ซั้วเป็นอันขาด สตรีทั้งสองนางนี้เป็นคู่หมั้นของข้าน้อย ท่านแรกนามว่าหยูเวิ่นหวินเป็นองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยู ส่วนท่านนี้นามว่าต่งชูหลาน เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลัง สถานภาพขององค์หญิงไท่ผิงนั้นสูงส่งยิ่งนัก อีกทั้งพระนางทรงเป็นถึงองค์หญิงแห่งราวงศ์อู๋ ข้าน้อยนั้นเป็นชาวราชวงศ์หยู ข้าน้อยคิดว่ามันมิคู่ควรยิ่ง ! ”
อู๋หลิงเบ้ปากขึ้นมาทันใด ส่วนซูซูนั้นแอบสะใจอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของหนานกงอี้หยู่ได้เผยความสับสนขึ้นมา เขาจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมแต่มิหวังจะคว้าชัยชนะเยี่ยงนั้นหรือ ? ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะมาทำไมกัน ? ”
“ข้าน้อยย่อมมาเพื่อคว้าชัยชนะเป็นแน่อยู่แล้วขอรับ ! ”
หนานกงอี้หยู่เอามือตบโต๊ะเสียงดังอีกครา “นั่นแหละ ในเมื่อเจ้าสามารถคว้าชัยชนะมาได้ เจ้าก็จะได้องค์หญิงไท่ผิงไปครอบครอง ในส่วนของสถานภาพของเจ้าหรือสถานภาพของพระนางนั้นมีความเกี่ยวข้องด้วยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขาจึงรีบบอกปัด “ช้าก่อน ๆ ๆ ๆ เรื่องนี้พวกเราต้องเจรจากันให้ชัดเจน คว้าชัยชนะในการแข่งขันกับการอภิเษกสมรสกับองค์หญิงสามารถนำมาเอ่ยร่วมกันได้เยี่ยงไร ? ”
หนานกงอี้หยู่เข้าใจในทันที เขาเงยหน้าขึ้นไปสบตาอู๋หลิง สาวน้อยผู้นี้มิได้เอ่ยให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังมาก่อนหรอกหรือ ทว่ากวนถงเสนาบดีกรมพิธีการควรจะอธิบายทุกอย่างให้แจ่มชัดให้เขาฟังก่อนแล้ว หรือว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนประการใดเยี่ยงนั้นหรือ
เขาหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน “เอาล่ะ มันเป็นเยี่ยงนี้ เจ้าก็รู้ว่าจักรพรรดิเหวินตี้เป็นจักรพรรดิแบบไหนกัน ฝ่าบาทเป็นคนมิได้เรื่องได้ราวนัก หลังจากที่ราชสาสน์อันเชิญได้ถูกส่งออกไปยังแคว้นต่าง ๆ ฝ่าบาททรงเพิ่มพระราชโองการเสริมเข้าไป ความว่าผู้ที่ได้คว้าชัยชนะครานี้ได้สำเร็จ ก็จะเป็น…” หนานกงอี้หยู่ชี้ไปทางอู่หลิง “เป็นพระสวามีขององค์หญิง มิใช่ว่าจะถูกแต่งตั้งเป็นราชบุตรเขย แต่จะทรงลดฐานันดรศักดิ์ขององค์หญิง เช่นนั้นแล้วในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้นอกเสียจากแขกผู้ที่ถูกเชื้อเชิญมาจากทั้งสี่แคว้นแล้วนั้น เหล่านักวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ต่างดีใจเสียจนเนื้อเต้น ก็เพราะเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่อง ฝ่าบาทเลยมิได้กำหนดอายุของผู้เข้าแข่งขันให้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้…”
หนานกงอี้หยู่เลิกคิ้วแล้วโยกไหล่อย่างเหนื่อยใจ “ด้วยเหตุนี้แม้แต่ตาเฒ่าเหวินสิงโจวหากว่าหนังหน้าหนามากพอก็คงร่วมแข่งขันด้วยกันกับพวกเจ้า”
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าใจแล้วเช่นกัน เขาหันไปมองอู๋หลิงด้วยความประหลาดใจ นึกคิดในใจว่าหากมิได้ชัยชนะครานี้ก็ช่างเถอะ !
สายตาของหนานกงอี้หยู่มองอย่างรู้ทันถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิด เขาจึงเอ่ยออกมาว่า
“ฟู่ต้ากวนท่านพ่อของเจ้าเพิ่งจะมาซื้อตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนเมื่อไม่กี่วันนี้เอง บัดนี้เจ้าสามารถย้ายไปอาศัยที่ตำหนักได้เเล้ว ทว่าการซื้อขายครานี้มีพันธสัญญาอยู่หนึ่งข้อที่ว่าหากเจ้ามิอาจคว้าชัยชนะเหนือผู้อื่นในการแข่งขันครานี้ได้ จักรพรรดิเหวินตี้มีสิทธิ์ที่จะยึดตำหนักเสียนฉิงกลับคืนโดยที่มิต้องคืนเงินเลยสักตำลึงเดียว ”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง ท่านพ่อมาเยือนเมืองกวนหยุนเมื่อใดกัน ?
อีกทั้งยังซื้อตำหนักเสียนฉิงไว้อีก !
อีกทั้งยินยอมเซ็นพันธสัญญาที่มิเป็นธรรมเยี่ยงนี้ !
ท่านพ่อกำลังคิดอันใดอยู่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมิเข้าใจว่าเหตุการณ์มันเป็นเยี่ยงไรกันแน่ เขาเลยตอบกลับไปอย่างทันควัน “หากแม้ว่าท่านพ่อจะซื้อตำหนักเสียนฉิงก็ต้องซื้อกับฝาเทียนหนิงโดยตรงเท่านั้น ! ”
หนานกงอี้หยู่หัวเราะร่า “ที่ผืนนั้นเป็นของฝ่าบาท และพันธสัญญานั้นก็ยังมีตราประทับของฝ่าบาทอีกด้วย ! ”
“เป็นไปมิได้ หรือว่าท่านพ่อจะได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินตี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ตำหนักจิ้งหูที่คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนซื้อเมื่อหลายปีก่อนนั้นเดิมทีเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติของราชสำนัก พันธสัญญาข้อเดียวของการซื้อขายครานั้นก็คือหากต้องการขายทอดตลาดจำต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อนเมื่อพันธสัญญาใหม่ถือกำเนิดขึ้นการซื้อขายจึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ท่านพ่อผู้มองสถานการณ์ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมมาตลอดชีวิตกลับมาทำความผิดพลาดชั้นต่ำเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?
เมื่อคราค้างแรมที่เมืองฝานหนิงเคยได้ยินอู๋หลิงเอ่ยว่าสมัยนั้นหนิงฝาเทียนใช้เงินซื้อเรือนประทับของสำนักพระราชวังเป็นเงินกว่าหกแสนตำลึง หลังจากที่ผ่านการซ่อมบำรุงขนานใหญ่มาแล้วนั้น เช่นนั้นแล้วบัดนี้…
“ท่านพ่อของข้าน้อยซื้อไปในราคาเท่าใดกัน ? ”
หนานกงอี้หยู่ยื่นนิ้วโป่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ท่านพ่อของเจ้ากระเป๋าหนักใช้ได้ รวยกว่าขุนนางใต้อารักขาของข้าตั้งมากมาย หนึ่งล้านตำลึง ท่านพ่อของเจ้าตกลงซื้อโดยมิคิดเลยสักนิด มิแม้แต่จะต่อราคาเลยสักแดงเดียว ข้าที่เห็นเหตุการณ์กับตา ซื้อขายของชิ้นใหญ่โตถึงเพียงนี้แต่กลับใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนร้อนรนเสียจนแทบจะนั่งไม่ติดที่ “ตอนนี้ท่านพ่อของข้าน้อยอยู่ที่ใดกัน ? ”
“อ่า…กลับแล้ว กลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้สองนิ้วบีบจมูกอย่างขบคิด แล้วทอดสายตามองไปยังทะเลหมอกเบื้องหน้า
บัดนี้ปัญหาได้ง่ายลงอย่างทันตา หากมิสามารถคว้าชัยชนะแล้วมิสมรสกับอู๋หลิงเสียก็จำต้องยอมเสียล้านตำลึงให้ราชวงศ์อู๋ไป
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของฟู่เสี่ยวกวน อู๋หลิงจึงเกิดความรู้สึกน้อยใจขึ้นมา บัดนี้หนานกงอี้หยู่ก็มิได้รู้สึกอภิรมย์อีกต่อไป
พระนางทรงเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของราชวงศ์อู๋ เป็นพระราชธิดาที่จักรพรรดิทรงรักและทรงหวงมากที่สุด เหตุใดเจ้าจึงกล้าแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ถึงเพียงนี้ ?
และก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินตี้ถึงทรงออกพระราชโองการที่แสนจะไร้สาระเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้อุทิศทั้งหัวใจให้ราชวงศ์ดังเช่นเขา เขามิมีทางคาดหวังให้องค์หญิงต้องสมรสกับคนแห่งราชวงศ์หยูเป็นแน่ ต่อให้เป็นผู้มีนามกระเดืองเลื่องลือเช่นฟู่เสี่ยวกวนก็เถิด เขาคิดว่าเยี่ยงไรเสียราชวงศ์ก็ขาดทุนเสียย่อยยับ เพราะองค์หญิงผู้เลอค่าเช่นนี้กลับต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของชายผู้เลวทราม
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะต่อว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้ว่าเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่อง !
ในราชวงศ์ไร้ซึ่งชายชาตรีผู้เก่งกาจถึงเพียงนั้นแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ?
แม้จักรพรรดิเหวินตี้มิอยากให้องค์หญิงไท่ผิงทรงอภิเษกสมรสกับจัวตงหลายเพื่อที่จะทำให้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาสามารถมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น พระองค์ก็ทรงปฏิเสธตาเฒ่าจัวอีสิงได้นี่ เลือกพระสวามีที่เพียบพร้อมให้กับองค์หญิงนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โตมากนักมิใช่หรือ
ที่พระองค์ทรงคิดการใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา ในสายตาของราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋นั้นย่อมหมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้องค์หญิงไท่ผิงอภิเษกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวน เพราะเขาคือชายผู้มีนามกระเดืองแผ่นดินอย่างแท้จริง !
นั่นมิใช่ชื่อเสียงจอมปลอม !
บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในราชวงศ์อู๋ เขาเป็นบุคคลที่ชาวราชวงศ์อู๋รู้จักกันทุกคน
ทำให้เหล่าเยาวชนแห่งราชวงศ์อู๋ที่มิใส่ใจด้านการประพันธ์นักเกิดความรู้สึกกดดันเกินกว่าที่จะต้านไหว หรือแม้แต่หกคนที่เหลือจากนักปราชญ์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีเอง แม้ปากจะบอกว่ามิเกรงกลัวต่อชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวน แต่ภายในใจนั้นกลับไขว้เขวยิ่งนัก
ทว่าพระราชโองการขององค์จักรพรรดิได้แพร่หลายไปทั่วแผ่นดินแล้ว พวกเขาจะทำเยี่ยงไรได้เล่า ?
พวกเขาต่างก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินที่องค์จักรพรรดิทรงลำเอียงเช่นนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็รู้สึกว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้นั้นมิได้เรื่อง นี่มันเป็นการวางแผนแบบส่ง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
บัดนี้เขาจะทำเยี่ยงไรดี ?