ตอนที่ 299 จัวตงหลาย
หนานกงอี้หยู่ถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวนอีกหนึ่งครา เจ้าหนุ่มนี่ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแล้วยังมาทำใสซื่ออีก !
“เจ้าทนองค์หญิงไท่ผิงมิได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนสายตาออกมาแล้วเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ สิ่งที่ท่านได้กล่าวมานั้นมิถูกต้องนัก ข้าน้อยยอมรับว่าฝีมือการประพันธ์นั้นพอใช้ได้ ทว่าข้าน้อยมิเคยคิดเลยว่าความเก่งกาจของชายชาตรีผู้หนึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของบทกวี ข้าน้อยขอเอ่ยต่อท่านตามตรง ข้าน้อยมักจะเอ่ยสิ่งนี้ให้กับปัญญาชนผู้ติดตามของข้าน้อยฟังเสมอว่าบทกวีนั้นมีคุณเพียงแค่ช่วยขัดเกลาจิตใจของตน ทว่าสำหรับการบริหารงานบ้านเมืองหรือต่ออนาคตของตนเองนั้นไร้ซึ่งคุณูปการใด ๆ บนผืนปฐพีนี้นักวรรณกรรมอดตายมีถมไป แต่หาได้มีช่างฝีมืออดตายไม่ เนื่องด้วยเหตุใดน่ะหรือ เพราะบทกวีต่าง ๆ นั้นมิสามารถหาเลี้ยงชีพได้ ความปรารถนาดีที่องค์หญิงทรงมีต่อข้าน้อยนั้นทำให้ตัวข้าน้อยเองซาบซึ้งมากยิ่งนัก แต่ข้าน้อยจำต้องกล่าวอย่างชัดเจนไว้ ณ ที่นี้ว่า ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา หากปอกเปลือกที่ห่อหุ้มด้วยบทกวีอันสวยหรูนี้ออกไป ข้าน้อยผู้นี้มิมีคุณสมบัติจะเป็นอะไรเลยทั้งสิ้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนโน้มตัวเข้าไปหาหนานกงอี้หยู่ แล้วเอ่ยกับเขา “ท่านอัครมหาเสนาบดี เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาแก่เหตุการณ์สำคัญของชีวิตองค์หญิง ขอท่านได้โปรดโน้มน้าวองค์จักรพรรดิให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วยกเลิกพระราชโองการนั้นด้วยเถิด จากนั้นก็ค่อยเลือกสรรชายชาตรีที่สามารถไว้วางใจได้ให้แก่องค์หญิง ! ”
คำกล่าวนี้ได้กล่าวออกมาจากใจจริงอีกทั้งยังมีเหตุผลและตรรกะมากพอสมควร หนานกงอี้หยู่มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาแสนลึกซึ้ง และเกิดความนับถือในตัวฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ขึ้นเป็นทวีคูณ มิมักใหญ่ใฝ่สูง และรู้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดมิบังควร มิเลวนี่ !
เมื่ออู๋หลิงได้ยินเช่นนี้นางก็ตกลงสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด นางก็มิได้ต่างอะไรกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน หลังจากที่นางได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดง นางก็ได้เกิดความสนใจต่อผู้ชายคนนี้ขึ้นมา
เพราะความสนใจนี้เอง ทำให้นางอยากรู้ว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร
จากนั้นนางจึงตามหาตัวหลิ่วเยียนเอ๋อร์ที่ทะเลสาบสิบลี้ เพื่อจะให้นางไปสืบความที่เมืองจินหลิง
จากนั้นนางก็ได้รู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน และหลังจากนั้นนางก็ได้ค้นพบว่านางได้ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้นี้เข้าเสียแล้ว
หลังจากที่ได้เจอฟู่เสี่ยวกวนตัวจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังบทกวี ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง ทำให้นางยิ่งรู้แน่ชัดว่านางได้ตกหลุมรักเขาแล้วอย่างแท้จริง
เพราะความรู้สึกที่นางมีเมื่อพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นช่างแตกต่างกับความรู้สึกเมื่อนางพบเจอศิษย์พี่จัวตงหลายอย่างสิ้นเชิง
เฉกเช่นเมื่อคืนนางนอนไม่หลับ เพราะนางหวังว่าวันนี้จะได้พบเจอกับฟูเสี่ยวกวน ดวงใจของนางปรารถนาที่จะได้เจอเขา
เฉกเช่นเมื่อรุ่งสางที่นางลุกขึ้นประทินโฉม เพราะนางรู้ดีว่าสตรีย่อมรู้สึกดีเมื่อเห็นตนเองดูดีต่อหน้าคนที่ตนหมายปอง
เฉกเช่นที่นางรับสั่งให้สาวใช้ไปซื้ออาหารเช้าที่ซิ่งหลินจี้ให้จนได้ เพราะนางอยากจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ฟู่เสี่ยวกวน
ความรู้สึกเช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นกับจัวตงหลายเลยแม้แต่คราเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้นจึงทำให้นางฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่านางเพียงแค่ลุ่มหลงต่อเปลือกนอกของชายผู้นี้กัน ?
หากเขามิมีเปลือกนอกที่สวยงามเช่นนี้ นางจะยังชอบพอเขาอยู่หรือไม่ ?
อู๋หลิงไม่เข้าใจตนเอง ภายในใจรู้สึกสับสนวกวนไปเสียหมด
หนานกงอี้หยู่ลุกขึ้นยืน “เดิมทีข้าเองก็มิโปรดปรานพระราชโองการของฝ่าบาทนัก เมื่อได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ข้าเลยฉุกคิดขึ้นมาว่าแผนการนี้ก็มิได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว ข้าจะพยายามโน้มน้าวฝ่าบาทให้ โดยการใช้คำกล่าวของเจ้า ในส่วนที่ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินใจเยี่ยงไรก็สุดแล้วแต่ความประสงค์ของพระองค์ท่าน องค์หญิงไท่ผิงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ฝ่าบาทย่อมถืออภิสิทธิ์ในการตัดสินใจเหนือตัวข้า ไว้…เจอกันคราหน้าพ่อหนุ่ม ! ”
“ขอลาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนขึ้นทำความเคารพ หนานกงอี้หยู่โบกมือแล้วก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว แล้วหันหลังกลับมามอง ปรากฏว่านกเหยี่ยวตัวนั้นก็มิได้บินกลับมาที่บ่าของตน !
ซูซูกำลังดึงขนนกเหนี่ยวตัวนี้ออกมาพอดี นางรู้สึกว่าขนของนกเหยี่ยวตัวนี้ช่างดงามมากยิ่งนัก อยากดึงออกมาแล้วปักไว้บนศีรษะของตน จากนั้นจึงเห็นหนานกงอี้หยู่วิ่งตัวสั่นเทิ้มเข้ามาห้าม “ช้าก่อน สาวน้อย ! ”
ซูซูผงะเล็กน้อย “นี่เป็นนกของท่านหรือ ? ”
“ใช่แล้ว”
“อ่า…” ซูซูรู้สึกเสียดายยิ่งนัก หากรู้เช่นนี้นางจะได้รีบถอนขนเสียก่อน “ท่านนำกลับไปเถิด”
หนานกงอี้หยู่ยื่นมือออกมา เพื่อที่จะให้นกเหยี่ยวตัวนั้นเกาะมือของเขา “สาวน้อยเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไรหรือ ? ”
“ข้าน้อยมีนามว่าซูซู”
หนานกงอี้หยู่พยักหน้าแล้วจำชื่อของซูซูเอาไว้ จากนั้นจึงเดินจากไป
ฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งยิ้มให้อู๋หลิงด้วยความรู้สึกผิด “ทุกคำพูดที่กระหม่อมได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้นล้วนมาจากใจจริง หากท่านจะชอบพอผู้ใดก็มิควรมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา บนผืนปฐพีนี้มีมากมายนัก ผู้ที่ภายนอกสวยงามแต่ภายในนั้นต่ำทราม ภายนอกนั้นสามารถเสแสร้งได้ แต่จิตใจภายในนั้นต้องใช้เวลาศึกษาท้ายที่สุดจึงจะสามารถแยกแยะชั่วดีได้ หากองค์หญิงยินยอมก็ขอให้เป็นน้องสาวกระหม่อมจะได้หรือไม่ ? ”
“……”
อู๋หลิงไร้ซึ่งคำกล่าวใด ๆ นางจุดไฟแล้วต้มน้ำชาอีกครา จากนั้นทั้งสี่คนจึงนั่งดื่มชาด้วยความเงียบโดยที่มิมีใครเปิดปากเอ่ยอันใดออกมา
ฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ ได้เดินทางออกจากกวนหยุนถายเมื่อยามที่ทะเลหหมอกได้เหือดหายไป พวกเขามิได้มาบอกลาฟู่เสี่ยวกวนสักคำ เพราะฝานเทียนหนิงคิดว่ามิควรไปรบกวนเวลาฟู่เสี่ยวกวนในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสตรีเหล่านั้น ส่วนเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวนมิอยากจะแสร้งทำเป็นญาติดีกับฟู่เสี่ยวกวน
กวนหยุนถายจึงได้ดำดิ่งลงสู่ความเงียบด้วยสาเหตุนี้
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเองก็มิบังอาจออกความเห็นใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะพวกเขานั้นยังมิได้สมรสกันอย่างเป็นทางการเลยมิสามารถพูดอันใดได้อย่างเต็มปาก
ส่วนซูซูนั้นนั่งกินผลไม้แช่อิ่มอย่างสบายอกสบายใจ นางคิดว่าหากอู๋หลิงจะเป็นเพียงแค่น้องสาวของฟู่เสี่ยวกวน สถานะนี้นั้นนางพอยอมรับได้ แต่อย่าได้ตกหลุมพรางหลวมตัวเป็นหญิงสาวของเขาเชียว !
ที่ซูซูยอมบรรเลงฉินนั้นมิได้มีสาเหตุอื่นใด นางเพียงแค่อยากให้อู๋หลิงรู้ไว้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีด้านบรรเลงฉินที่อู๋หลิงมิมีทางเอาชนะนางได้
นี่เป็นความรู้สึกของเด็กสาวที่ดูเหมือนไร้สาระ แต่มิอาจยอมแพ้ได้เด็ดขาด !
ผ่านไปแสนนาน ในที่สุดอู๋หลิงก็ยอมเอ่ยปากพูดเสียที
“ตอนนี้ข้ารู้สึกสับสนยิ่งนัก มิรู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เยี่ยงไรดี แต่ข้ารู้แจ้งแจ่มชัดว่ารู้สึกชอบท่านด้วยใจจริง ข้าเข้าใจในทุกความหมายที่ท่านพยายามเอ่ยบอกและมิได้เคืองโกรธแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกผิดหวังเหลือเกิน ถ้าเป็นเยี่ยงนี้จะได้หรือไม่ ข้าขอใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน หากพระราชโองการของเสด็จพ่อจะแก้ไขมิได้ เช่นนั้นก็จงสมรสกับข้า หากว่าสามารถแก้ไขได้ ข้าก็จะยอมเป็นน้องสาวขอท่าน แบบนี้จะได้หรือไม่ ? ”
แล้วข้าจะทำอันใดได้อีกเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับปาก และเขาได้เอ่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่องค์หญิงจะประสบในชีวิต กระหม่อมหวังว่าองค์หญิงจะไตร่ตรองด้วยความใจเย็น องค์หญิงทรงมีเรื่องอีกมากมายให้ใคร่ครวญ อย่างเช่นเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม เรื่องการใช้ชีวิตหรือเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เพราะราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่เมืองกวนหยุนท่านทรงมีพระญาติและมิตรสหาย แต่เมื่อไปอาศัยอยู่ที่เมืองจินหลิงแล้วก็จะเหลือตัวคนเดียว ไร้ซึ่งทุกสรรพสิ่งที่ท่านได้เคยได้ครอบรอง และอีกอย่างชีวิตของกระหม่อมที่แคว้นหยูนั้นมิสงบสุขนัก ท่านอาจจะพบเจอภยันตรายที่ยากจะคาดการณ์ก็เป็นได้ ทุกอย่างที่ข้าได้เอ่ยไปล้วนแต่จะเป็นปัญหา พวกเรามิอาจจะใช้ชีวิตเยี่ยงในความฝันเมื่อคราที่ยังเยาว์วัยได้ ขอองค์หญิงโปรดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ ! ”
อู๋หลิงจดจำคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนไว้อย่างตราตรึง จากนั้นทุกคนจึงได้ออกเดินทางจากกวนหยุนถาย แล้วอำลากันหน้าสถานทูตแห่งแคว้นหยู อู๋หลิงเดินทางกลับพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็เดินเข้าไปในสถานทูต
เติ้งซิวให้การต้อนรับแก่พวกเขา จากนั้นจึงคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวน แล้วชี้ไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ลานกลางจวน จากนั้นจึงกระซิบที่ข้างหูของฟู่เสี่ยวกวน
“จัวตงหลาย หลานชายของจัวอีสิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ และเป็นบุตรชายของจัวเปี๋ยหลีแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าแห่งราชวงศ์อู๋ได้รอท่านอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว เขาบอกว่าเยี่ยงไรเสียก็จะเข้าพบท่านให้จงได้”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงมองไปยังแผ่นหลังนั้น แผ่นหลังที่ตั้งตรงสง่างามมากยิ่งนัก !
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จัวตงหลายหนึ่งในนักปราชญ์ทั้งเจ็ดแห่งหนานซีมาหาเขาด้วยเหตุอันใดกัน ?