ตอนที่ 300 ข้าอยากย้ายที่พัก
ยามสายในวสันตฤดู ดวงอาทิตย์ส่องแสง สดใสสาดเข้ามายังลานกลางจวน
และได้สาดไปบนใบหน้าของจัวตงหลายเช่นกัน
เขานั่งรอที่ลานกลางจวนอยู่ครึ่งค่อนวัน สีหน้านั้นมิได้แสดงความใจร้อนและขาดความอดทนให้ปรากฏ เฉกเช่นที่มักจะพบเห็นในคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่
เขานั่งรออย่างสงบดั่งสายน้ำที่ไหลเอื่อย
ทว่าในภายในของเขานั้นมิได้สงบดั่งภายนอก องค์หญิงไท่ผิงได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปเยือนกวนหยุนถายตั้งแต่ฟ้าสาง
นี่ช่างเป็นข่าวร้ายยิ่งนัก เขาได้นำข่าวคราวทั้งหมดที่เขาได้รับรู้มาประติดประต่อกันเป็นภาพเดียว และบัดนี้เขาได้เข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่าองค์หญิงไท่ผิงกำลังคิดทำการใดอยู่
นางนำกองทัพหญิงไปยังเส้นทางสัญจรภูเขาฉีซาน !
จากนั้นยังนำกองทัพหญิงรุดกลับเมืองกวนหยุนเพื่อจับกุมตัวเป่ยหวังฉวน เพียงเพราะเป่ยหวังฉวนแอบซุ่มโจมตีฟู่เสี่ยวกวนที่แถบชายแดนของอาณาเขตแคว้นหยูด้วยศรธนูเพียงแค่ 2 ดอก ช่างน่าเสียดายที่มิได้ยิงมันให้ตายไปเสีย !
หรือเป็นเพราะว่าเป่ยหวังฉวนได้แก่ตัวลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขามิเพียงแต่สังหารฟู่เสี่ยวกวนมิสำเร็จ แถมยังลือกันอีกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส !
จากนั้นองค์หญิงไท่ผิงได้นำกองทัพหญิงวกกลับไปที่เมืองฝานหนิง แล้วเอ่ยเป็นประจักษ์ต่อสายตาผู้คนว่าประสงค์จะเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยพระองค์เอง !
ประโยคนี้เปรียบดั่งมีดที่กรีดแทงเข้าไปกลางอกของจัวตงหลาย และเขายังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกคราที่หายใจเข้าออก
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนได้เพียง 2 วัน นางก็พาเขาไปชมทะเลหมอกเสียแล้ว
นางจะตามฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในจวนด้วยหรือไม่ ?
จัวตงหลายเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข หากเจอหน้านาง เขาควรจะรับมือเยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปหาเขาแล้วยืนอยู่เบื้องหน้าของจัวตงหลาย และตำแหน่งที่เขายืนได้บดบังลำแสงที่สาดเข้ามายังใบหน้าของจัวตงหลายพอดี
จัวตงหลายตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์แห่งความคิด แล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มเล็กน้อย แล้วใช้สายตาสำรวจชายหนุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาและดูฉลาดหลักแหลม สายตาหยิ่งยโสและเย็นชาเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ สองคิ้วคมกริบเรียวยาว โครงหน้าชัดเจนงดงามดั่งถูกแกะสลักมาอย่างประณีต
หากจะกล่าวถึงเรื่องหน้าตานั้นฟู่เสี่ยวกวนคงต้องพ่ายแพ้ให้ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ไป หากอยู่บนโลกที่เขาได้จากมานั้น บทหลี่สวินฮวน1คือพระเอกในนิยายเรื่องเสี่ยวหลี่เฟย คงต้องตกเป็นของชายหนุ่มผู้นี้อย่างไร้ข้อกังขา
เมื่อเขาได้สบตากับจัวตงหลาย เขาจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่มผู้นั้น
ชุนซิ่วยกชุดน้ำชามาให้ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองจัวตงหลาย นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับซูม่อเสียเหลือเกิน ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็คือเขาดูหยิ่งยโสยิ่งกว่าซูม่อ ช่างยากแท้ที่จะเข้าถึง
ฟู่เสี่ยวกวนจัดแจงชงชา จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามแขกผู้มาเยือน “คุณชายจัวมาเยือนครานี้มีธุระอันใดหรือ ? ”
“ข้าแค่อยากมาพบท่าน”
“พบแล้วรู้สึกเยี่ยงไร ? ”
“มิได้เลวร้ายเสียทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขารู้สึกพึงพอใจต่อคำประเมินค่าที่ว่าไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวนี้
“เมื่อได้ชมทะเลหมอกแล้วท่านมีความรู้สึกเยี่ยงไร ? ” จัวตงหลายเอ่ยถาม
“ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ ช่างงดงามยิ่งนัก ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างเป็นกันเอง และบิดใบชาใส่เข้าไปในกาน้ำชา จากนั้นเขาจึงพบว่าชานี้รสชาติมิสู้ดีนัก
“ข้ามิได้มาเพื่อดื่มชา” จัวตงหลายลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนต่อ “ข้าใคร่อยากเตือนท่านไว้เสียหน่อย ประเดี๋ยวจะมีบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋จำนวนมากมาท้าประลองฝีมือกับท่านถึงประตูจวน เกรงว่ามิใช่การท้าประลองฝีมือด้านการประพันธ์ แต่จะเป็นด้านหมัดหรือกระบี่กระบองเสียมากกว่า แต่ขอท่านโปรดอย่าได้เข้าใจผิด เพราะการกระทำนี้ปราศจากการยุยงสนับสนุนจากข้า ข้าขอเอ่ยกับท่านตามตรงว่าข้าชอบพอองค์หญิงไท่ผิง แต่ข้ามิปรารถนาที่จะใช่วิธีสกปรกเช่นนี้มาโจมตีท่าน เพราะมันไร้สาระสิ้นดี”
“พวกที่ต้องการมาประลองฝีมือกับท่านย่อมมีเหตุผลและตรรกะของพวกเขา ข้าก็มิสามารถห้ามปรามได้ เช่นนั้นขอท่านได้โปรดเตรียมการรับมือไว้ให้ดี อย่าให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนมิอาจมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมได้ หากเป็นเยี่ยงนี้ก็คงจะมิดีเท่าใดนัก”
“อีกอย่าง เมืองกวนหยุนนั้นมีทิวทัศน์สวยตระการตามากมาย หากมีเวลาว่างขอจงสละเวลาไปชื่นชมเสียหน่อยเถิด”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก แต่ก็ได้ชะงักฝีเก้าแล้วหันมาเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนอีกครา “อาหารของเมืองกวนหยุนที่ขึ้นชื่อลือชา ท่านสามารถซื้อมาลิ้มลองได้ หรือจะให้ข้าจัดเตรียมมาให้ก็ย่อมได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเผลอยิ้มออกมา “ดื่มชาสักถ้วยก่อนแล้วค่อยไปมิดีกว่าหรือ ? ”
“ขอบใจท่านมาก ข้าจะโจมตีท่านให้ราบคาบในด้านที่ท่านถนัดที่สุด ท่านอย่าได้ชะล่าใจเสียก็แล้วกัน ! ”
เมื่อจัวตงหลายเดินออกจากจวนของอัครราชทูตแห่งแคว้นหยูไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเลิกคิ้วแล้วรินชาใส่ถ้วยของตน สิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นพล่ามมาเสียมากมาย สำหรับสายตาของฟู่เสี่ยวกวนนั้นทำให้เขาดูมิเป็นผู้ใหญ่เท่าใดนัก
เขามิมีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องมาสั่งเสียเรื่องเหล่านี้ และยิ่งมิจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมาบอกความรู้สึกที่มีต่ออู๋หลิงให้เขารับทราบ ภายนอกเหมือนว่าอยากป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน แต่ลึก ๆ ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้มองออกว่าเขากำลังหวั่นกลัวอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เคืองโกรธเขาแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาทั้งสองนั้นมิได้มีเหตุเกี่ยวข้องอันใดกัน เพราะอู๋หลิงเองได้เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาเอง เขาถือว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลัดกลุ้มใจมิน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ข่าวคราวว่าท่านพ่อได้ควักเงินกว่าล้านตำลึงเพื่อซื้อตำหนักเสียนฉิง ความรู้สึกของเขานั้นราวกับว่าเรื่องนี้ได้ทำให้หัวใจของเขาเลือดไหลมิหยุดจนมาถึงตอนนี้
ท่านพ่อช่างมิได้เรื่องเลยจริง ๆ มิรู้ว่าท่านพ่อคิดการใดอยู่กันแน่ ?
เขายังจำได้ดิบดีเมือคราที่ไปเยือนเมืองจินหลิงด้วยกันกับท่านพ่อ เงินทองที่เก็บออมไว้สำหรับวงศ์ตระกูลมีด้วยกันทั้งสิ้น 1,200,000 ตำลึง แต่ก่อนเขาคิดว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่ทว่าตอนนี้กลับหายไปในพริบตา
และที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็คือพันธสัญญานั้นดันมีความเกี่ยวข้องการการแข่งขันครานี้อีกด้วย ฟู่ต้ากวนมั่นใจหรือว่าการแข่งขันครานี้เขาจะสามารถคว้าชัยมาได้ ?
เขาขมวดคิ้วด้วยความปวดหัวขึ้นมาทันใด ท่านพ่อคิดหรือว่าแผนการของตนนั้นแสนบรรเจิด หรือว่าเขาตั้งใจจะให้พันธสัญญานั้นเป็นตัวบังคับให้ตนต้องเอาชนะทุกคนเหนือการแข่งขันครานี้
เมื่อคว้าชัยชนะได้ก็ย่อมได้ครอบครองอู๋หลิง ดูความคิดของท่านพ่อสิ
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ ท่านพ่อหวังจะให้เขาสมรสกับอู๋หลิงเยี่ยงนั้นหรือ !
เพราะท่านพ่อนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเมื่อเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงได้ดิ่งลงไปใต้ฝืนน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะชายหนุ่มผู้คลั่งสมบัติจะต้องยอมกระโจนลงน้ำเพื่อไปเอากลับมาอย่างมิคิดชีวิต !
เช่นนี้แล้ว บัดนี้ท่านพ่อนั้นคงต้องแอบเริงร่าด้วยความสะใจอยู่เป็นแน่ เขามิเคยแยแสว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีหญิงสาวในความดูแลสักกี่คน เพราะในความเข้าใจของเขานั้นการมีภรรยายิ่งเยอะยิ่งเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีนางนั้นคือองค์หญิงไท่ผิงผู้ทรงเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์อู๋ !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปจนเต็มปวด ท่านพ่อร้ายกาจยิ่งนัก กล้าจะกดดันให้ข้าไร้ทางเลือกได้ถึงเพียงนี้
ในเมื่อตำหนักเสียนฉิงได้ตกเป็นชื่อของตนแล้ว เยี่ยงนั้นก็ต้องไปเยือนให้เห็นกับตาเสียหน่อย ดูสิว่าตำหนักที่ใช้เงินหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อมาได้นั้นจะเป็นเช่นไร
หรือว่าจะพาสตรีทั้งสองนางไปพำนักที่นั้นดี ?
พำนักอยู่แปดวันจากนั้นก็ต้องคืนให้เขาไป ราคาเข้าพักต่อคืนอยู่ที่ 125,000 ตำลึง !
คงจะเป็นโรงเตี๊ยมที่แพงที่สุดบนผืนปฐพี !
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดอาการนั่งไม่ติดที่ ย้ายที่พัก ต้องย้ายที่พักโดยด่วน ข้าอยากไปพักที่ตำหนักเสียนฉิงเต็มทน !
เมื่อเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วเขาจึงตะโกนสั่งเติ้งซิว “เรียกสวี่หวยซู่มาพบข้าทีเถิด”
สวี่หวยซู่นึกว่าเขาจักเรียกตนมาดื่มชาเพื่อสั่งธุระอะไรเสียอีก แต่กลับคาดมิถึงว่าจะได้ยินเจ้าหนุ่มนี่เอ่ยมาเช่นนี้
“ข้าลองตรึกตรองดูแล้ว ให้องค์หญิงเก้าพำนักที่แห่งนี้มิสมพระเกียรติของพระองค์นัก ข้าได้เตรียมที่จะพาพวกเขาไปพำนักที่ตำหนักเสียนฉิง อย่ามองช้าเช่นนี้สิ บัดนี้ตำหนักเสียนฉิงได้ตกเป็นทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลข้าแล้ว หากมีธุระหรือเหตุอันใดก็มาแจ้งให้ข้าทราบที่ตำนักเสียนฉิง และหากข้ามีธุระอันใดก็จะมาหาพวกเจ้าที่นี่เช่นกัน ตกลงตามนี้ ! ”
สวี่หวยซู่ตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง เขาคิดในใจว่าเจ้าหนุ่มนี่มาสร้างทรัพย์สมบัติในอาณาเขตของแคว้นอู๋ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
“ท่านจะย้ายออกไปเมื่อใด ? ”
“ตอนนี้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบยืนขึ้นด้วยท่าทีเร่งรีบ ขณะที่เขากำลังจะไปบอกเรื่องนี้ให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินทราบนั้นเอง เขาก็ได้หันหน้าไปเห็นสถานการณ์ด้านนอกอย่างมิได้ตั้งใจ
เสียงฝีเท้าดังอึกทึกและเสียงโวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอกของสถานเอกอัครราชทูต
“ฟู่เสี่ยวกวน ออกมาประลองกับข้าสักตาสิ ! ”
ประลองกับผีสิ !
ข้าจะย้ายจวน จะย้ายไปพำนักที่โรงเตี๊ยมคืนละ 125,000 ตำลึง !
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าแต่ละนาทีสามารถตีตราเป็นเงินจำนวนตั้งกี่ตำลึงกัน !
บทหลี่สวินฮวน คือพระเอกในนิยายเรื่องเสี่ยวหลี่เฟย