หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep. 459 – การกลับมาของหวังหงษ์เต๋า
ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย
หลังจากที่กู่ฉิงซานมุ่งหน้าไปยังตำหนักเจียงซี เพื่อพยายามค้นหาความลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวังหงษ์เต๋า
เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยก็ทยอยกันออกจากเวทีตามลำดับ
เซ่าหวูชุ่ยกลับมายังที่พักของเขา
เมื่อมาถึง เจ้าตัวก็ทำการปิดประตูลานหน้าบ้าน พร้อมกับเร่งเปิดค่ายกลทั้งสี่ทิศทันที
สองเท้าย่ำผ่านสวนและทางเดินยาว ก้าวเข้าสู่ห้องฝึกยุทธของตน
เมื่อเข้าไป เขาก็ก้มหน้าลง ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่สักพักหนึ่ง
ช่วงเวลานี้ รอบตัวเขาไม่มีผู้ใดคอยกวนใจอีกแล้ว
ความคิดและเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้น ถูกนำมากองรวมกันไว้ในห้องฝึกยุทธนี้
เซ่าหวูชุ่ยยกสองมือขึ้นมาถูไถใบหน้าของตนเอง
ทำไปสักพัก เขาจึงค่อยๆผ่อนคลายลง
“โลกใบใหม่ … ”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ
ผ่านไปนาน เขาจึงถอนหายใจออกมาด้วยความเสียใจ
“โง่เง่านัก! เหตุใดเจ้าจึงต้องสาบานว่าจะสังหารหวังหงษ์เต๋าด้วย!”
ปัง!
กำปั้นที่ฟุ้งไปด้วยความโกรธหวดเข้าใส่กำแพงจุดหนึ่งห้องฝึก เป่าพวกมันจนหายไปทั้งแถบ
ขณะเดียวกัน เส้นทางลับก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังกำแพงที่ว่า
แม้เส้นทางจะถูกเปิดออกแล้ว แต่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังมิก้าวเข้าไป เขายืนนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเดินลงไปตามทาง
เขาเดินลึกลงไปใต้ดิน จนกระทั่งพบกับค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า
ศิลาวิญญาณหลายสิบชิ้นถูกนำออกมา ขณะเดียวกันสีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยก็แสดงออกถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
ศิลาวิญญาณก้อนแล้ว ก้อนเล่าถูกวางลงไป
ไม่มีทางเลือก .. ตอนนี้ยังไงก็จำเป็นต้องใช้มัน
เซ่าหวูชุ่ยวางศิลาวิญญาณอย่างละ 7 ชิ้นลงในแต่ละจุดที่เชื่อมต่อกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
พอเสร็จสิ้นกระบวนการ ค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งานทันที พร้อมกับเสียงฮึมฮำของสายลมที่ส่งเสียงหอนออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เสียงหอนที่ว่านี้ยังคงดำเนินต่อไปสักพักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ
จนเซ่าหวูชุ่ยเริ่มกระวนกระวาย
“ไม่หรอกน่า … ”
เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสลงบนหน้าอก แตะตรงบริเวณหัวใจของตนเอง
แต่ไม่ต้องรีรอให้เขาจินตนาการเลยเถิดไปไกล เสียงกระแอมไอด้วยความเจ็บปวดจากภายในค่ายกลก็ดังขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงไอนี้ สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยจึงคลายลงในที่สุด
แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเร่งเร้าใดๆ จึงเฝ้ายืนรออย่างเงียบๆ
สักพักเสียงไอก็หายไป
แล้วถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธแทน
“ข้าเคยบอกไปแล้วมิใช่หรือ ว่าหากไม่มีเรื่องวิกฤตอันใด ก็อย่าได้คิดมารบกวน?”
เสียงนี้แม้ดูเหมือนจะเดือดดาล แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงไว้ซึ่งความเจ็บปวดไม่น้อย
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องรายงานจริงๆ”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง
“เรื่องสำคัญ? เหอะ! หากมันสำคัญจริงๆเจ้าก็จงพูดมา”
แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไป
“ว่าไงนะ! เจ้าบอกว่าฉีหยานมีโลกใหม่ถึงสองใบอยู่ในกำมือกระนั้นหรือ?”
อารมณ์ร้อนรุ่มเมื่อครู่ได้สลายหายไปโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกันเสียงที่ถูกส่งผ่านมาจากค่ายกลก็ฟังดูค่อนข้างที่จะตื่นเต้น
“เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ข้าได้ทำการยืนยันแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
“ดี .. ดีมาก! ข้าจะรีบกลับไปทันที” เสียงชรากล่าวตอบ
“แต่ … อาการบาดเจ็บของท่าน … ”
“หาได้สำคัญไม่” อีกฝ่ายหัวเราะหยัน “บิดามันข้ายังสังหารแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าหนุ่มที่ขนพึ่งจะขึ้นเช่นเขา?”
แต่แล้วเสียงชราก็เปลี่ยนไป “ว่าแต่เรื่องสมบัติมนตราของเย่หยิงเหมยเล่า ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในเงื้อมมือของข้าแล้ว ฉีหยานต้องการที่จะใช้สองสิ่งนั้นกับท่าน แต่มันย่อมไม่บรรลุผลอย่างแน่นอน”
“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ ว่าแต่เด็กหนุ่มที่อยู่กับฉีหยานเล่า?”
“บางทีอาจจะยังคงอยู่ในตำหนักเจียงซี เพื่อตามหาใบหยกเทคนิคฝึกยุทธอยู่”
“‘งั้นหรือ เอาล่ะ เจ้าทำหน้าที่ได้ไม่เลวเลย ทีนี้ก็จงไปหยุดเขาเสีย ไม่ว่ายังไงก็ตาม จงอย่าให้เขาล่วงรู้อะไรไปมากกว่านี้”
แล้วน้ำเสียงชราก็กลับมาเป็นปกติ “และนั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น ส่วนหลังจากนั้นข้าก็จะส่งเขาไปอยู่กับบิดาเอง”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้นทันใด “แต่ข้ายังมิได้เค้นความลับจากเขา … ยังมิได้ล่วงรู้ถึงพิกัดของโลกใหม่เลย”
แต่ขณะที่กล่าวถึงจุดนี้ เสียงชราก็ถูกตัดขาดไปเสียก่อน
เซ่าหวูชุ่ยยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายกล นิ่งงันไปเป็นระยะเวลานาน
ดูเหมือนว่าในสมองของเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
“ข้าก็แค่พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้นเอง พวกเจ้ามิอาจตำหนิข้า … มิอาจตำหนิข้าได้!”
เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
และขณะเดียวกันกับที่เขากำลังบ่น
ณ นิกายกวงหยาง
บริเวณท้องฟ้าเบื้องบน
ภายในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก
ร่างๆหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น
มันคือร่างของชายชราที่ในแววตาฟุ้งไปด้วยความมืดมน
หวังหงษ์เต๋า
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเทา ขณะที่ตรงบริเวณแขนเสื้อของชุดคลุมเปียกชื้นไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้ม
พร้อมกับบาดแผลอันน่าตกใจบนไหล่ของเขา
ภายในบาดแผลสาดแสงไปด้วยประกายสีทองราวกับว่าทั้งแสงและแผลถูกยึดติดกันแน่น ดังนั้นบาดแผลดังกล่าวนี้จึงไม่สามารถรักษาหายได้
ภายในอากาศ บังเกิดชั้นหมอกเลือดจางๆลอยล่องอยู่รอบปากแผล
“ … ฉีรั่วหยา เจ้าไม่จำเป็นต้องทนรอคอยนานเกินควร เพราะอีกประเดี๋ยวหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าผู้ชราก็จักเรียกเจ้ากลับมาอีกครั้งเอง”
หวังหงษ์เต๋าเปล่งเสียงกระซิบแห่งความเกลียดชัง ขณะที่มือยื่นออกเพื่อจีบวิชาลับ
บังเกิดเฉดเงาสีเทานับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นจากทุกขอบมุมของเกาะลอยฟ้า บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังหงษ์เต๋า
เงาสีเทาค่อยๆก่อรูปขึ้นเป็นร่างศพของผู้ฝึกยุทธที่ภายในแววตาไร้ซึ่งชีวิตชีวา
มือของหวังหงษ์เต๋าขยับไหวเล็กน้อย
พร้อมกันกับที่มือขยับไหว ปากของศพก็ค่อยๆอ้าออก
ตามด้วยละอองสีเทาหม่นที่ค่อยๆลอยออกมาจากปากศพ พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนหมอกขนาดใหญ่
หมอกสีเทาขนาดใหญ่นี้ค่อยๆแทรกซึมเข้าไปภายในร่างของหวังหงษ์เต๋า
“ยอดเยี่ยม … ”
แม้หวังหงษ์เต๋าจะส่งเสียงครวญออกมา ทว่าบาดแผลบนไหล่ของเขากลับถูกฟื้นฟูจนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากกระทำการทั้งหมดนี้ หวังหงษ์เต่าก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา
“เจ้าสินะคือหวูซาน?” เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง
ร่างศพที่คอบิดเป็นเกลียว ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
สองตาของหวังหงษ์เต๋าหรี่แคบลง เพ่งตรวจสอบร่างกายของหวูซานอย่างรอบคอบ
“หืม? ขอบเขตประทับเทพ? แต่กลับไม่แม้กระทั่งจะดิ้นรนต่อต้าน ถูกบิดคอสังหารตกตายลงโดยที่ไม่คิดจะป้องกันตัวใดๆ”
“ขยะแบบนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็สิ้นเปลืองพลังงานวิญญาณ”
หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ
แล้วเขาก็คว้าแมลงสีม่วงซึ่งไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ไหนออกมา และโยนมันออกไป
แมลงสีม่วงตกลงบนหน้าของหวูซาน และคืบคลานเข้าไปภายในหูของเขาอย่างรวดเร็ว
หลายลมหายใจผ่านไปอย่างเงียบๆ
แต่แล้วจู่ๆหวูซานก็ค่อยๆเคลื่อนไหว
กร๊อบ!
เขาบิดคออย่างแรง จนบังเกิดเสียงดังฟังชัด
“ไม่จำเป็นต้องพยายามหรอก กระดูกคอของร่างนี้หักไปแล้วอย่างสมบูรณ์ มันไม่สามารถกลับมาเชื่อมต่อกันได้อีกต่อไป” หวังหงษ์เต๋ากล่าว
แล้วหวูซานก็หยุดตามที่เขาบอก
พร้อมกับลืมตาขึ้น
ทว่าดวงตาที่ลืมขึ้น มันกลับไร้ซึ่งรูม่านตา ตลอดทั้งดวงตาล้วนเป็นสีขาวขุ่นทั้งหมด
มารแมลงได้เข้ายึดครองร่างศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“นายท่านต้องการจะทราบสิ่งใด?” หวูซานเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ช้ากว่าปกติ
“ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“เป็นเรื่องจริง”
“แล้วเหตุใดมันจึงมิได้นำพาเจ้ามนุษย์ผู้นี้ไปด้วย”
“เพราะเขากลัว”
“แล้วเหตุใดฉีหยานจึงได้สังหารชายผู้นี้?”
“ไม่อาจสรุปให้กระจ่างได้ ทว่าสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ก็คือเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยได้ทำการค้นวิญญาณของชายผู้นี้”
“หากเป็นในกรณีนั้น นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการฆ่าปิดปาก”
หวังหงษ์เต๋าหัวเราะอย่างหนักหน่วง ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่น่าเสียดาย ที่เจ้าเด็กนั่นมันไม่รู้ว่าแม้จะตายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังมีวิธีที่จะทำให้คนตายเปิดปากออกมาได้อยู่ดี”
“นายท่าน พอแล้วหรือยัง?” หวูซานเอ่ยถาม
“ยังมีอีกเรื่อง เจ้าจะต้องบอกพิกัดของโลกใหม่ที่มันปิดบังไว้ให้แก่ข้า” หวังหงษ์เต๋ากล่าว
แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวคำตอบ หวูซานกลับหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มจมลงสู่สภาวะซบเซา
“ดูเหมือนว่าแมลงมารระดับนี้จะทำงานล้วงลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หวังหงษ์เต๋าบ่นพึมพำ
ว่าจบ หวังหงษ์เต๋าก็พ่นละอองเลือดออกมา
ละอองเลือดลอยรวมกันในอากาศ กลายเป็นก้อนเม็ดเลือดเล็กๆ
ขณะที่หน้าอกของหวังหงษ์เต๋าจู่ๆก็บังเกิดรอยแยกเล็กออก พร้อมกับแมลงมารสีขาวที่บินออกมาจากมัน บินตรงไปยังเม็ดเลือดเพื่อหมายจะกลืนกิน
หวังหงษ์เต๋าคว้าจับแมลงขาวเอาไว้ และยัดมันเข้าไปในปากหวูซาน
แมลงขาวคืบคลานเข้าไป
ชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาของหวูซานก็ลืมขึ้นอีกครั้ง
เขาเอ่ยปากอีกคราด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ตามความทรงจำของร่างกายนี้ ฉีหยานมิรู้สึกวางใจที่จะบอกกล่าวคนอื่นๆถึงพิกัดของโลกใหม่ ฉะนั้นจึงมีเพียงฉีหยานเท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงพิกัดของมัน”
หวังหงษ์เต๋าตะลึงงัน
“มีเพียงฉีหยานที่ล่วงรู้? เช่นนั้นสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว – ไม่สิ นี่มันไม่ถูกต้อง”
หวังหงษ์เต๋าย้อนนึกถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง
ฉีหยานได้สาบานต่อฟ้าดิน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาหาได้ทราบถึงพิกัดของโลกใบใหม่ไม่
เขาบอกว่าตนได้ซ่อนพิกัดของโลกใหม่ และหากใครก็ตามที่กล้าจะแตะต้องเขา จะไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงพิกัดดังกล่าวได้อีกเลย
อย่างไรก็ตาม หวูซานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของฉีหยานกลับกล่าวออกมาว่าพิกัดของโลกใหม่นั้นอยู่ในมือของฉีหยานแน่ๆ
หวังหงษ์เต๋าขบคิดสักครู่ แล้วในที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมา
สิ่งที่แฝงอยู่ภายในเรื่องราวนี้ แท้จริงแล้วมันง่ายดายยิ่ง
สำหรับพิกัดของโลกใหม่ทั้งสอง เรื่องนี้แน่นอนยว่าย่อมอยู่ในมือของฉีหยาน
ทว่าคำมั่นสาบานย่อมไม่มีทางโกหก
ดังนั้น ความจริงจึงสมควรจะเป็น : ‘เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง ฉีหยานจึงได้ฝากฝังพิกัดนี้ให้แก่ผู้อื่นไป’
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉีหยานทำนี้ หวูซานแท้จริงแล้วหาได้ทราบไม่
หวูซานเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นมันจึงคิดว่าพิกัดของโลกใหม่อยู่ในมือของเจ้านาย
ดูเหมือนว่า เรื่องทั้งหมดสมควรจะเป็นเช่นนี้
หวังหงษ์เต๋าพยักหน้า
ตลอดทั้งนิกายกวงหยาง ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ตราบใดที่เขาอยากรู้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถปิดบังเขาได้
หวูซานจ้องมองไปทางหวังหงษ์เต๋า
หวูซานเอ่ยถาม “จบแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าสามารถกลืนกินศพขอบเขตประทับเทพนี้ได้หรือยัง?”
“รออีกประเดี๋ยว”
หวังหงษ์เต๋าเอ่ยคำหนึ่ง และใช้มันสมองขบคิดต่อไป
เจ้าเด็กฉีหยานผู้นี้ หลักแหลมมีไหวพริบไม่เลวเลยทีเดียว
แต่ว่าผู้ใดกัน? ผู้ใดที่เจ้าเด็กหนุมคนนี้มอบความไว้วางใจและฝากฝังพิกัดของโลกใหม่เอาไว้กับตัว?