หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.485 – รูปปั้นทองคำ
“นายน้อย ตื่นได้แล้ว”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
กู่ฉิงซานลืมตาของเขา
และพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาก็ยังคงเป็นที่พักอันต่ำต้อยในสลัมช่วงวัยเด็กดังเดิม
ฉานนู่นั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษที นี่ข้าเผลอหลับไปงั้นหรือ ว่าแต่ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน”
“นั่นมันนานมาก!”
กู่ฉิงซานตกใจ
“เจ้าคงเหนื่อยมากเกินไปน่ะ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉานนู่เอ่ยถาม
กู่ฉิงซานเริ่มตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างรอบคอบ
แล้วก็พบว่า บัดนี้ร่างกายตนเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ความเหนื่อยล้ามลายสูญไปสิ้นแล้ว
หลังจากที่ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ สภาพร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม
เวลานี้ ตัวกู่ฉิงซานได้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง
“ก็คงจะอย่างนั้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะสบายจนข้าเผลอตัวไปหน่อย แต่ตอนนี้ท้องข้าชักจะร้องซะแล้วสิ”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“ว่าแต่เจ้าอยากจะกินอะไรดีล่ะ?” เขาหันไปถามฉานนู่
ฉานนู่ได้ลิ้มชิมรสฝีมือของกู่ฉิงซานมาแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาถาม เธอจึงยิ้มออกมาทันที
“ยิ้มทำไมงั้นหรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่าโครงสร้างสังคมของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่รับผิดชอบในด้านการปรุงอาหารก็คือฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายชายรับผิดชอบในด้านการงาน”
“กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้ผู้ชายก็ต้องรู้จักดูแลตัวเองเหมือนกัน”
“ถ้านายน้อยว่าแบบนั้นก็ดี เช่นนั้นข้าอยากจะดื่มซุปแบบเมื่อวานอีก รสชาติมันยังติดลิ้นอยู่เลย”
“งั้นเราจะทำซุปแบบเมื่อวาน แล้วก็กลับแกล้มอีกสักสองสามอย่าง”
ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบอาหารวิญญาณมาวางเบื้องหน้าฉานนู่
หลังจากที่ฉานนู่ได้ลองกินอาหารวิญญาณแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “มันอร่อยจริงๆ”
-นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะนี่คืออาหารวิญญาณที่ฉินเซี่ยวโหลวเตรียมไว้อย่างดี
อาหารวิญญาณของฉินเซี่ยวโหลวนับว่ามีรสชาตยอดเยี่ยม หากได้ทานมันควบคู่ไปกับการสุราที่กู่ฉิงซานผสม มันก็นับว่าเลิศเลอเหนือคำบรรยาย
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉินเซี่ยวโหลว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แน่นอน เพราะนี่คืออาหารวิญญาณ มันมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถปรุงได้”
ฉานนู่เอ่ยถาม “นี่มิใช่นายน้อยปรุงหรอกหรือ?”
“ไม่หรอก เป็นศิษย์พี่ข้าที่ปรุงมัน”
“ไม่น่าแปลกใจเลย” ฉานนู่เอ่ยขึ้นทันใด “ฉะนั้นคงจะกล่าวได้ว่าจริงๆแล้วท่านมาจากสำนักสอนทำอาหารอย่างงั้นสินะ”
“ … ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“เจ้ากินไปก่อนแล้วกัน ข้าขอตัวไปล้างมือทำซุปก่อน”
กู่ฉิงซานกล่าวและเริ่มวุ่น
“อีกนานแค่ไหนกัน กว่าพวกเราจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม?” ฉานนู่เอ่ยถามขณะเคี้ยวอาหาร
อาหารวิญญาณนี่ รสชาติดีจริงๆ
ฉานนู่รู้สึกว่าการที่เธอตัดสินใจเลือกติดตามนายน้อย … มันช่างคุ้มค่าเสียจริงๆ
กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบ แต่กลับมีเสียงๆหนึ่งตอบขึ้นมาแทนเขา “การเดินทางนี้จะยาวนานกว่าห้าวัน และหลังจากห้าวัน เจ้าก็จะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม”
กู่ฉิงซานพอได้ยินก็ตกใจ
ตั้งห้าวันเชียวหรือ
มันไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆเลยสำหรับเขา
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ-
ตั้งแต่ที่ตนได้เดินทางมายังโลกมิติอนันต์ กระแสการไหลของมิติและเวลาก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกัน
ความหมายก็คือ เขาใช้เวลาที่นี่นานเท่าใด ระยะเวลาในโลกจริงก็จะผ่านไปนานเท่านั้น
แต่ … จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกในปัจจุบัน โลกที่กู่ฉิงซานถือกำเนิดมันคงจะไม่สมควรที่จะเรียกว่าโลกจริงอีกต่อไป
เนื่องจากมีโลกกว่าตั้ง 900 ล้านชั้น และภายในมันก็มีโลกอยู่อีกนับไม่ถ้วนนับล้านๆโลก และทั้งหมดล้วนเป็นโลกจริง
ระบบเรียกโลกเดิมของเขาว่าสุสานแห่งโลก แต่มันมิได้อธิบายแก่กู่ฉิงซานว่าเหตุใดมันจึงเรียกเช่นนั้น
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มรำพึงออกมา “คราวนี้ดูเหมือนฉันจะจากไปนานกว่าปกติซะแล้ว หวังว่าโลกเดิมของฉันจะยังไม่มีปัญหาอะไรนะ”
มันต้องใช้เวลากว่า 5 วัน เขาจึงจะไปถึงสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรม และหลังจากนั้นเขาก็ต้องหาวิธีการที่จะอยู่ต่อในสมาคมแห่งนั้นอีก
ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่
ฉานนู่กล่าวปลอบใจ “นายน้อย วางใจเถอะ สองโลกได้ผสานรวมกันแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลสมควรจะเพิ่มพูนขึ้น ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ถูกที่ควร”
กู่ฉิงซานพอคิดตาม ก็เริ่มจะคลายใจลง
“นั่นสินะ บางทีตอนกลับไป พวกเราบางคน อาจจะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดแล้วก็ได้”
…..
ห้าวันผ่านพ้นไปราวกับพริบตา
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ขออภัยที่รบกวน แต่ที่หมายของเจ้ากำลังจะเทียบท่าแล้ว” เสียงชราดังเข้ามาจากภายนอก
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับ
ฉานนู่กลายเป็นดาบขุนเขาเทวะ ถูกคว้าจับโดยกู่ฉิงซาน และเก็บกลับคืนสู่ทะเลแห่งห้วงสติ
เขาผุดลุกขึ้น เดินไปเปิดประตู
แล้วก็พบกับชายชราที่ยืนอยู่ภายนอก
“เจ้าพึงพอใจกับห้องพักของพวกเราหรือไม่?” ชายชราเอ่ยถาม
“ข้าพอใจยิ่งนัก บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง
ได้ยินเขาพูดแบบนั้น ชายชราก็ยิ้มออกมา “งั้นก็ดีแล้ว”
ชายชรานำทางกู่ฉิงซานไปที่ดาดฟ้าเรือ
ระหว่างทาง กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าประตูห้องอื่นๆทั้งหมดเปิดอยู่ และภายในก็ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
“ผู้โดยสารอีกสามคนถึงที่หมายแล้วอย่างงั้นหรือ?”
“ใช่ จุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก มีเพียงเฉพาะในส่วนสถานที่ของขาเป๋แบรี่เท่านั้น ที่พวกเราต้องใช้เวลายาวนานจึงจะมาถึง”
“อ่า จริงๆแล้วข้าก็จะมาหาเขานั่นแหละ”
“กลับกลายเป็นว่าเจ้าต้องการจะพบเขานี่เอง” ชายชราหันหน้าไปมองกู่ฉิงซาน เผยสีหน้าคาดไม่ถึง
กู่ฉิงซานพยักหน้าบอกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ผู้พิทักษ์หอสูงมีความสัมพันธ์อันดีกับตนเอง ดังนั้นหากจะกล่าวเรื่องนี้ออกไปก็คงจะไม่มีอะไร
เพราะจริงๆแล้วตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแบรี่เป็นใคร
บางที ชายชราตรงหน้าอาจจะให้คำแนะนำดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ก็ได้
พอแน่ใจว่าใช่จริงๆ ชายชราก็ใคร่ครวญก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเคยรู้จักแบรี่มาก่อนหรือไม่?”
“ไม่รู้จัก”
กู่ฉิงซานอธิบายเพิ่มเติมว่า “แบรี่ได้เคยช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ แต่คนผู้นั้นไม่สามารถมาหาเขาได้ด้วยตนเอง จึงฝากฝังให้ข้านำของมามอบให้แก่แบรี่ เพื่อแสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อเขา”
ชายชราพยักหน้าว่าเข้าใจ และกล่าวต่อว่า “แบรี่ผู้นี้ แม้ว่าจะเป็นคนโง่ อ่า .. ข้าหมายถึงมันบ้า แต่เขาก็เคยได้ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย แต่ก็มีผู้คนไม่มากนักหรอก ที่ยินดีจะติดต่อกับเขา”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้กระทำการบางอย่างเพื่อต้องการที่จะแสดงให้ผู้คนต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง”
“อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง?”
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ
คำๆนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายมักจะทำสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดอยู่เสมอ
หากเป็นในกรณีเช่นนี้ การจะตามตัวแบรี่ มันคงจะเป็นเรื่องยากกว่าปกติสักเล็กน้อย
“เขาทำอะไรลงไปงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
ชายชรากล่าว “ครั้งหนึ่ง เขาเคยจับตัวอสูรกายระดับสูงเอาไว้ แล้วก็ใช้เวลากว่า 200 ปี โน้มน้าวให้อสูรกายตนนั้นเปลี่ยนใจ หันมาช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสุขแทน”
“200ปี!? เขาสามารถใช้เวลานั้นโน้มน้าวอสูรกายชั้นสูงได้อย่างงั้นหรือ?”
“เปล่า อสูรกายทนไม่ไหว เลยยอมฆ่าตัวตายไป”
ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็มาถึงดาดฟ้าเรือในที่สุด
กู่ฉิงซานมองออกไปภายนอกเรือ
เห็นแค่เพียงรอบตัวเต็มไปด้วยปฐมบทแห่งความโกลาหลอันสับสนวุ่นวาย และบ่อยครั้งมักจะมีภาพอันแปลกประหลาดวาบผ่านเข้ามา
ทุกแห่งล้วนเป็นโลกจริง และเนื่องจากเรือได้แล่นผ่านโลกเหล่านั้น มันจึงพอที่จะสามารถเหลือบมองถึงสถานที่ๆอยู่ภายในได้
กู่ฉิงซานมองเห็นถึงรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
แล้วฉากนี้ก็วาบผ่านสายตาเขาไป
หลังจากนั้น
ความเร็วของเรือก็ค่อยๆแล่นช้าลง
ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นบนหัวเรือ
ซึ่งนั่นหมายความว่าเรือได้แล่นผ่านเข้ามายังโลกแห่งความจริงอีกแห่งหนึ่งแล้ว
กู่ฉิงซานได้พบเห็นถึงรูปปั้นทองคำที่สูงตระหง่านอีกครั้ง
เขากำลังเพ่งสำรวจดูรูปปั้นทองคำที่ว่า แต่เรือก็แล่นออกจากโลกใบนั้นไปเสียก่อน
แม้ว่าความเร็วของเรือจะเชื่องช้ามาก แต่มันกลับสามารถข้ามผ่านตลอดทั้งโลกนับล้านล้านในที่ดำรงอยู่ได้
กู่ฉิงซานเพียงแค่คิด สายตาของเขาก็หันไปเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมในอีกโลกหนึ่งอีกแล้ว
เขาเริ่มที่จะตะหงิดๆว่ารูปปั้นทองคำที่เห็นนี้มันน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ
“พิกลนัก … ”
กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ
ขณะคิด ความเร็วเรือก็ลดลงอีกครั้ง และอีกระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นก็ปะทะกับหัวเรือ
อีกโลกหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน
เขาก็ยังเห็นรูปปั้นทองคำรูปเดิมอีกอยู่ดี
นี่มันชักจะไม่ปกติแล้ว ที่เขาเห็นรูปปั้นทองคำตัวเดิมจากในหลายๆโลกต่อเนื่องที่ผ่านมา
กู่ฉิงซานจ้องสังเกตไปที่รูปปั้นอีกครั้ง
และคราวนี้ เรือก็มิได้แล่นออกไปในทันที กู่ฉิงซานจึงสามารถเพ่งมองรูปปั้นอย่างละเอียดได้ในที่สุด
มันคือรูปปั้นที่ดูเหมือนจริงมาก เหมือนจริงจนราวกับมันมีชีวิต ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เดินผ่านไปมาแล้วแหงนมอง ก็ย่อมต้องบังเกิดความคิดเช่นเดียวกัน
มันคือรูปปั้นของผู้ชายเผ่ามนุษย์