หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.502 – ไพ่ใบสุดท้าย
เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง
ผีร้ายเดินวนไปรอบๆเพื่อค้นหามนุษย์
เมื่อค้นพบเป้าหมาย พวกมันจะปล่อยให้อีกฝ่ายเลือกระหว่างความตาย หรือการเปลี่ยนแปลงเป็นผีร้าย
เมื่อเทียบเปรียบกับผีร้ายแล้ว ดูเหมือนว่าทางฝั่งผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจะดูอึดอัดใจเล็กน้อย
ในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกเขาสูงล้ำกว่าก็จริง
แต่ในแง่ของการจับมนุษย์ไปเป็นทาส แม้พวกเขาจะจับตัวมนุษย์บางส่วนมาฝึกฝน ให้เป็นผู้ใต้บังบัญชาคอยช่วยเหลือในการจัดส่งทาสแล้วก็ตามที ทว่าหากเทียบกับผีร้าย ความเร็วมันดูจะเชื่องช้ากว่ามากนัก
และความขัดแย้งก็ค่อยๆเริ่มสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ท่ามกลางซากปรักหักพังที่เป็นจตุรัสกว้าง
หลายพันผีร้ายกำลังล้อมรอบกลุ่มของผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ
แต่กลับเห็นแค่เพียงประกายแสงสีทองกระพริบไหว
บอลโลหะโคจรเป็นวง พุ่งวนผ่านฝูงผีร้ายก่อนจะบินกลับมา
จากนั้น เหล่าผีร้ายที่ถูกบอลโลหะพุ่งผ่าน ทั้งตนทั้งร่างของพวกมันก็ระเบิดแสงพร่างพราวออกมา
รังสีแสงนับไม่ถ้วนส่องประกายดุร้ายรุนแรง สาดกระจายออกไปทุกทิศทาง ตัดหั่นบรรดาผีร้ายตนแล้วตนเล่า แปรสภาพพวกมันกลายเป็นเนื้อบด
เสียงกรีดร้องและโหยหวนของผีร้ายดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าผีร้ายจะโกรธแค้น แต่ก็ไม่มีตนใดเลย ที่กล้าจะย่างกรายเข้าไปโจมตีพวกเขาอีก
เห็นแค่เพียงบอลโลหะที่ได้สำแดงถึงพลังโจมตีอันคงกระพัน
การโจมตีดังกล่าวนี้ เหล่าผีร้ายไม่เคยได้เห็นได้ยินมาก่อนเลย แถมพวกมันยังไม่มีทางที่จะต่อต้านได้อีก ดังนั้นการที่พวกมันจะรู้สึกหวาดกลัวก็คงจะไม่แปลก
บอลโลหะแขวนเด่นอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
ชายในชุดคลุมสีขาว และสวมทับด้วยชุดเกราะเต็มตัวเอื้อมมือออกไปคว้าบอลโลหะในมือ
เขากวาดสายตามองฝูงผีร้ายฝั่งตรงข้ามและถอนหายใจออกมา “เจ้าผีร้ายพวกนี้นี่มันชักจะทำตัวน่ารำคาญมากเกินไปแล้วนะ”
เบื้องหลังเขา คือบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกว่า 20คน
ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพเหล่านี้ คือกองทัพหลักของโลกสวรรค์
แต่ละคนล้วนครอบครองอย่างน้อยหนึ่งสกิลเทวะ และพวกเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆเลยนับตั้งแต่การเข้าร่วมสงครามโลกมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ ตามร่างกายของบรรดาเหล่าผู้สืบสายโลหิตแห่งทวยเทพ จะมากหรือน้อย ก็ล้วนปรากฏซึ่งรอยบาดแผล
แต่โชคยังดี ที่ไม่มีใครเสียชีวิต
สำหรับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแล้ว ความตายของสหายร่วมเผ่าพันธุ์ทุกคน เปรียบดั่งเหตุการณ์ร้ายแรงชนิดสั่นสะเทือนโลกหล้า
เนื่องเพราะจำนวนของพวกเขา มันนับว่ากำลังขาดแคลนมากจริงๆ
ท่ามกลางความอลหม่านของเหล่าผีร้าย มอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ทว่ากลับฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกปรากฏตัวออกมา
เบื้องล่างฝ่าเท้าของมัน ในทุกๆย่างก้าว น้ำแข็งจะค่อยๆแพร่กระจายออกไปทุกทิศทาง
แต่ก็ช่างน่าแปลก เพราะน้ำแข็งเหล่านั้น มันกลับมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่เหนือพวกมันด้วย
ฉากอันแปลกประหลาดเช่นนี้ ส่งผลให้สีหน้าของบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพดูเคร่งขรึมขึ้นทันตา
ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง – กษัตริย์แห่งโลกผีร้าย
มันมีพลังอำนาจมากพอที่จะท้าทายหนึ่งในผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ หรือกระทั่งต่อกรกับผู้สืบสายโลหิตพร้อมกันถึงสองคนก็ยังไหว!
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งสาดสายตามองผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพฝั่งตรงข้าม พยายามยับยั้งความโกรธที่กำลังปะทุอยู่ในใจตน
ยามนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ราชาผีเพลิงน้ำแข็งก็เอ่ยถามเสียงหม่นออกไป “เทพสวรรค์ ทำไมเจ้าต้องสั่งให้คนของเจ้าโจมตีพวกเราด้วย หรืออยากจะฉีกสัญญาข้อตกลงพันธมิตรแล้ว?”
ชายที่คว้าบอลโลหะกล่าวว่า “อันที่จริงต้องบอกว่า เป็นพวกเจ้าต่างหากที่เริ่มลงมือก่อน ในช่วงเวลาที่พวกเรากำลังขนย้ายทาส”
“เรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าไม่ได้โง่เช่นนั้น” ราชาผีเพลิงน้ำแข็งกล่าว
‘ไม่นะ ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้านั่นแหละตัวโง่งมเลย’ เทพสวรรค์ลอบสบถในจิตใจ
แต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป
เพราะเวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่จะฉีกสัญญาพันธมิตร
โลกมนุษย์ ยังมีกองกำลังที่ยากจะเข้าใจและอธิบายได้อยู่อีกมากมาย และพวกมันไม่เคยยอมแพ้ที่จะต่อต้าน
เทคโนโลยีของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
หลังจบการต่อสู้แต่ละครั้ง แม้ว่าบรรดาผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพจะได้รับชัยชนะ แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้พบศพของมนุษย์เลย
นี่มันค่อนข้างจะน่าฉงนจริงๆ
นอกจากนี้ พวกโลกอาชูร่ากับโลกจ้าวอสูรยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด และคอยจับจ้องพวกเขาอยู่อีก
เทพสวรรค์ลอบถอนหายใจยาวอย่างลับๆ และพูดว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง คราวนี้พวกเจ้าจงไปทางทิศใต้ ส่วนพวกเราจะไปทางทิศเหนือ แยกกันแบบนี้จะได้ไม่เกิดการเข้าใจผิดแล้วขัดแย้งกันอีก คิดว่าอย่างไร?”
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งขบคิดก่อนจะกล่าว “งั้นข้าขอไปทางทิศเหนือก็แล้วกัน”
“ตกลง”
เทพสวรรค์ตอบรับอย่างง่ายดาย
“เอาละ สัญญาพันธมิตรจะยังคงอยู่ หากในกรณีที่พวกเราเผชิญหน้ากับตัวตนที่ยากจะต่อต้าน ก็ขอให้ร่วมมือกัน”
“เข้าใจแล้ว เอาแบบนั้นแหละ”
ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน และแยกกันไปในคนละทิศทาง
เมืองที่พึ่งถูกทำลายกลายเป็นซากปรักหักพังค่อยๆจมลงสู่ความเงียบ
อีกด้านหนึ่ง
ณ กองบัญชาการรบ
“บัดซบ!”
ซางหยิงฮ่าวระเบิดกำปั้นทุบลงบนโต๊ะ จนแผงควบคุมเหล็กยุบเป็นหลุม
“ไม่เจ็บมือหรือนั่น”
สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าชำเลืองมองไปยังแผงควบคุมและเอ่ยถาม
“ผลลัพธ์กลับออกมาได้แค่นี้เอง!” ซางหยิงฮ่าวสบถอุบ “ผมอุตส่าห์สร้างความขัดแย้งให้แก่ทั้งสองฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้พวกมันฆ่ากันเองแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ผลเลย!”
ประธานาธิบดีปลอบประโลม “ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพหลายคนได้รับบาดเจ็บ แถมผีร้ายก็ตายลงไปตั้งหลายร้อยตนด้วยมันสมองที่ขบคิดกลยุทธนี้ขึ้นมาของเธอ ทำได้ถึงระดับนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว”
เหลียวฮังกล่าว “นั่นสิ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้นำของทั้งสองฝ่ายมันมีสติ ป่านนี้เละกันทั้งคู่ไปแล้ว”
“แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือ นับตั้งแต่เริ่มสงครามจนมาถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่อาจทำร้ายผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพให้ได้รับบาดเจ็บได้เลย ทว่าผีร้ายนับพันกลับตรงกันข้าม พวกมันสามารถทำให้บรรดาผู้สืบสายโลหิตบาดเจ็บได้”
หลายคนตกอยู่ในความเงียบ
เทพนักสู้ซางหยิงฮ่าวคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด หนุนเสริมด้วยการอาศัยจังหวะของการผสานรวมระหว่างสองโลก ส่งผลให้กำลังของเขาสามารถก้าวขึ้นไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดได้แล้ว!
ทว่ากระทั่งตัวเขาก็ยังสามารถรับมือกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้เพียงครู่เท่านั้น
จากนั้นก็มิอาจต้านทานอีกฝ่ายได้เลย
เหล่าผู้สืบสายโลหิตน่ะแข็งแกร่งเกินไป
ด้วยความสามารถของผู้ฝึกยุทธมนุษย์ในปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการกับพวกเขา
นี่นับว่าเป็นกำลังรบที่สามารถกดขี่ และกวาดล้างได้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง
ตอนนี้ ผีร้ายกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพแยกทางกันแล้ว ดังนั้นกลยุทธสร้างความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในปัจจุบันนี้ ไม่มีใครสามารถรับมือกับผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพได้อีกแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวังอย่างร้าวลึก
แต่จู่ๆประธานาธิดีบก็เอ่ยถามออกมาว่า “ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพกับผีร้ายไม่ได้ต้องการที่จะทำลายโลกใบนี้สินะ?”
“ใช่แล้วครับ” ซางหยิงฮ่าวตอบกลับลวกๆ
ในสมองของเขายังคงตริตรองถึงมาตรการตอบโต้รับมือ
—มาตรการตอบโต้สุดท้าย
“เมื่อเทียบกับภัยพิบัติเยือกแข็ง ทัศนคติของศัตรูในครั้งนี้ไม่เหมือนกับในครั้งก่อน ตรงจุดนี้นับว่าสำคัญมาก” เหลียวฮังพูดนอกเรื่อง
“เรื่องไม่สังหารหรือทำลายโลกน่ะหรือ แต่สุดท้ายก็จับเป็นทาสอยู่ดี มนุษย์อย่างพวกเราไม่มีใครยอมเป็นทาสหรอก” เวโรน่าถอนหายใจ
เหลียวฮังไม่ได้ตอบโต้ ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด ขณะที่มือยังคงพรมลงบนสมองควอนตัมอยู่ตลอดเวลา
หลังจากจัดเรียงลำดับคำสั่งทั้งหมดแล้ว เหลียวฮังก็ได้พักหายใจในที่สุด
เขาวิ่งไปทางเย่เฟย์หยูและกล่าว “การจัมป์มิติเสร็จสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็ตาแกแล้ว”
เย่เฟย์หยูวางไอศครีมลง และเลียริมฝีปากของเขา
เขาผุดลุกขึ้นและมองไปยังทุกคนที่อยู่รอบๆ
“มนุษย์กำลังจะพินาศ และตอนนี้ฉันจะได้กลายเป็นตัวเอกในภาพยนต์เรื่องนี้!”
เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างภาคภูมิ
“หยุดผายลมสักทีไอ้สหายตัวเหม็น นายจะต้องรีบเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดนะเข้าใจไหม” ซางหยิงฮ่าวจ้องมองเขา
“เออๆ”
เย่เฟย์หยูตอบรับคำหนึ่งแล้วเดินออกไป
เวโรน่าทวนคำของประธานาธิบดี และเอ่ยถามอีกครั้ง “พวกเขาต้องการโลกใบนี้ ถ้านี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ พวกเราจะพอใช้ประโยชน์บางอย่างเกี่ยวกับมันจะได้หรือไม่?”
ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ผมมีอยู่ความคิดหนึ่งแต่มันยังไม่แน่ไม่นอน ฉะนั้นตอนนี้เราต้องรอให้เย่เฟย์หยูแข็งแกร่งพอเสียก่อนถึงค่อยไปใช้วิธีนั้น”
“เจ้าเชื่อใจเขามากขนาดนั้นเชียวหรือ?” เวโรน่าเอ่ยถาม
“ใช่ เพราะเขาเป็นไพ่ใบสุดท้ายของพวกเราที่จะต่อกรกับผีร้ายและเทพได้”
“ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว”
“ไม่มี”
“แล้วตัวเจ้าเล่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ?”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวแบบทำอะไรไม่ถูก “ผมไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างกู่ฉิงซาน หรือกลายพันธุ์เป็นผีดิบนักฆ่านะ ผมเป็นคนมนุษย์ธรรมดา ขอฝ่าบาทช่วยปฏิบัติต่อผมแบบมนุษย์ธรรมดาจะได้ไหม?”
เวโรน่ามองเขาด้วยแววตาแปลกๆ และอดไม่ได้ที่ลูบไล้เขาเบาๆด้วยมือของเธอแทนคำขอโทษ
การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทีเช่นนี้ของจักรพรรดินี มันช่างน่าลุ่มหลงเสียจริงๆ
ต้องไม่ลืมนะว่า เวโรน่าเป็นผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่ง ในช่วงเวลาวัยเด็ก ชื่อเสียงในเรื่องความงามของเธอนับว่าเป็นที่เลื่องลือออกไปทั่วทั้งโลก
บรรยากาศในห้องเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่เหมาะสมขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ผมขอไปห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน”
ซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้น และเดินจากไปอย่างเชื่องช้า
เขายืนอยู่ในห้องน้ำชาย กวักน้ำเย็นสาดหน้า และในที่สุดก็ผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย
แสงจากสมองควอนตัมของเขาส่องสว่างขึ้นทันใด
ซางหยิงฮ่าวหยิบมันขึ้นมาดู
ปรากฏว่าเป็นประธานาธิบดีที่ส่งข้อความเสียงมาหาเขา
“ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังคุยอยู่กับลูกสาวของฉันใช่ไหม?”
ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจลึก และตอบกลับไปอย่างระมัดระวัง “พวกเราเข้ากันได้ดี และตอนนี้เธอกับผมก็ตกลงเป็นเพื่อนกันแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน ประธานาธิดีบก็ตอบกลับมา “เวโรน่า … เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”
ซางหยิงฮ่าวมองไปที่ข้อความนี้ พร้อมด้วยเม็ดเหงื่อเย็นที่ผุดออกมาบนหน้าผากของเขา
…
ตลอดทั้งร่างของเย่เฟย์หยูถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสังหาร
ขณะที่หลังมือซ้ายของเขา มีตะขอยาวแปลกๆงอกออกมา
ตะขอยาวนี้ดูเหมือนกับว่ามันจะยึดติดอยู่บนแขนของเขา
มันคือ ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน
“เอาไปกินซะ!”
เย่เฟย์หยูระเบิดเสียงคำราม
ตามด้วยเลือดสีดำที่สาดกระเซ็น
ผีร้ายที่กำลังใกล้ตาย ถูกตัดหัวแยกจากลำตัวใครคราวเดียวทันที
แล้วจุดแสงกลุ่มหนึ่งก็ผุดออกมาจากร่างของผีร้าย ผลุบเข้าไปในตะขอเกี่ยววิญญาณ
ตะขอเกี่ยววิญญาณสาดแสงเรืองรอง
แล้วพลังที่มองไม่เห็นก็ถูกส่งผ่านจากตะขอเกี่ยววิญญาณ เข้าไปในกายของเย่เฟย์หยู
“ฟู่ว ฟู่ว …”
ตลอดทั้งร่างของเย่เฟย์หยู โคจรไปด้วยสายลมที่มองไม่เห็น
เขาอดไม่ไหวต้องลอยขึ้นไป และหยุดอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
“ฉันรู้สึกได้ถึง … พลังอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนนนน อั๊ก!”
แต่แล้วเย่เฟย์หยูก็พ่นหมอกเลือดออกมาจากปากคำหนึ่ง และก้มลงมือสองมือของตนโดยไม่รู้ตัว
เหนือมือซ้ายของเขา … ตะขอเกี่ยววิญญาณถูกหมอกเลือดพ่นใส่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
“เมื่อครู่ข้ามอบแต้มพลังวิญญาณให้เจ้าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เฉพาะเวลานี้ ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะไม่สามารถทานรับมันได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว
“ขอบคุณนะ โชคดีจริงๆที่มีคุณคอยช่วย”
เย่เฟย์หยูบ่นงึมงำ “ระบบแปลงแต้มพลังวิญญาณที่พี่สะใภ้มอบให้มันโหดร้ายเกินไป ถ้าฉันไม่ใช่ผีดิบนักฆ่าแล้วล่ะก็ ที่ได้รับแต้มพลังวิญญาณมาจากผีร้ายมาเมื่อกี้ คงทำให้ตัวระเบิดแตกไปแล้ว”
“ยังไงก็ตาม การที่เจ้าสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้ นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ดี” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้ จะสามารถรับมือกับผีร้ายธรรมดาๆได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว”
“มันยังไม่เพียงพอหรอก สถานการณ์แย่ลงทุกนาที เจ้าจะต้องแข็งแกร่งให้เร็วยิ่งขึ้น และทรงพลังยิ่งกว่านี้อีกถึงจะเพียงพอ”
“เข้าใจแล้วน่า”
…..