ภายในโลกสมบัติของทริสเต้
ตรงส่วนของชั้นเปลือกน้ำแข็ง
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาจากทั่วผืนฟ้า
ขณะที่โลกทั้งใบที่เคยครึกครื้น บัดนี้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
หลงเหลือเพียงเด็กสาวชุดดำที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซาน คอยเฝ้าระวังภัยปกป้องเขาอย่างใกล้ชิด
ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของเธอก็กระตุกไหว
“ข้าสัมผัสได้ ว่าวิญญาณของเขากำลังกลับมาแล้ว”
หลี่อันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เธอผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ สองมือประสานกัน เหยียดออกบิดขี้เกียจเบาๆ
“งั้นข้าขอตัวก่อนนะ พอดีว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น” เธอหันไปบอกกับในอากาศที่ว่างเปล่า
ร่างของดาบเช่าหยินปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฮึมฮัม?” มันถาม
“อืม เขากำลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ซึ่งหมายความว่าคงจะไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น เท่านี้ข้าก็วางใจ สามารถแยกตัวไปจัดการอย่างอื่นได้เสียที” หลี่อันตอบ
“ฉวัดเฉวียน?” เช่าหยินถามอีกครั้ง
“หากเขาต้องการ เขาย่อมรู้วิธีที่สามารถใช้พบเจอกับข้าได้ แต่ตอนนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องกระทำจริงๆ และเวลาก็ล่าช้าไปมากแล้ว”
หลี่อันโบกมือให้เช่าหยิน และทั้งคนทั้งร่างของเธอก็ผลุบหายไปในความว่างเปล่า มิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ดาบเช่าหยินจมลงสู่ความเงียบ
มันค่อนข้างที่จะสับสนเล็กน้อย
‘ก็เห็นอยู่ว่านางกำลังเฝ้ารอเขาอยู่ชัดๆ แล้วเหตุใดเมื่อเขากำลังจะตื่นขึ้น นางจึงจากไปเล่า?’
อย่างน้อยก็สมควรที่จะสนทนา บอกลากันสักประโยคสองประโยคแล้วค่อยจากไปมิดีกว่าหรือ?
วินาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
เขาลุกขึ้นจากฟูก
“เช่าหยิน ใครมาที่นี่หรือ?”
กู่ฉิงซานมองเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ตรงข้ามตัวเองและเอ่ยถาม
เช่าหยินส่งเสียงหึ่งๆ เบาๆ
พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลง
“ที่แท้ก็เป็นนาง ที่คอยเฝ้าปกป้องข้าอย่างงั้นสินะ”
“ซูม!”
เช่าหยินผงกด้ามดาบ
แต่แล้วมันก็มองไปยังเบื้องหลังกู่ฉิงซานด้วยความฉงน
เพราะบัดนี้ เบื้องหลังเขา เหลือแค่เพียงดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของดาบพิภพ
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “พอดีว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ข้ากับดาบพิภพจึงทุ่มสุดกำลัง สังหารศัตรูจนผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นนี้”
…
อีกโลกหนึ่ง
จักรพรรดินีหลี่อันหายเข้าไปในความว่างเปล่า และตรงเข้าสู่อีกโลกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
มันคือโลกที่ฟุ้งไปด้วยทะเลดอกไม้หลากชนิด
ท่ามกลางทะเลดอกไม้ มารสวรรค์นับไม่ถ้วนต่างกำลังร้องขับขาน บ้างก็กำลังละเล่นกันอย่างอิสรเสรี
หลี่อันตรงเข้าไปในส่วนลึกของทะเลดอกไม้
บรรดาน้องๆของเธอกำลังเฝ้ารออยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้ว
แม่มารดึกดำบรรพ์เองก็กำลังเฝ้ารออยู่เช่นกัน เวลานี้เธอนั่งอยู่บนแท่นสูง โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” หลี่อันโน้มกายคารวะ
“เวลานี้ในโลกเทวะได้เกิดการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้น และมารสวรรค์ที่ได้รับตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ก็คือเจ้าใช่หรือไม่?” แม่มารถาม
“เจ้าค่ะ เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ ที่กำลังพยายามก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ”
“ถ้ารู้ถึงขนาดนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงยังมัวชักช้าอยู่อีก เจ้าควรทราบนี่ว่าทัณฑ์สายลมได้เริ่มขึ้นแล้ว”
“ข้า…”
“เจ้าคงจะกลับไปหาเขาอีกครั้งล่ะสิ?” แม่มารถาม
“เจ้าค่ะ” หลี่อัน ตอบด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“หลี่อัน…” แม่มารถอนหายใจ
“ท่านแม่โปรดยกโทษด้วย” หลี่อันลดศีรษะลง
“ไม่หรอก ข้ามิได้คิดจะตำหนิเจ้า”
หลี่อันเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ และมองไปยังแม่ของเธอ
แม่มารพิจารณา ชั่งน้ำหนักถึงเหตุและผล จึงค่อยกล่าวอย่างช้าๆ “ยามนี้ หกวิถีของโลกเทวะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น กระทั่งกฎแห่งฟ้าดินเองก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ”
“ข้ารู้สึกได้ว่าไม่เพียงแต่โลกหกวิถีเท่านั้น แต่กระทั่งบรรดาโลกที่อยู่ชั้นนอกทั้งมวล ทั้งหมดก็กำลังถูกฉุดดึงเข้าสู่หายนะครั้งใหญ่เช่นกัน”
“ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การที่มารสวรรค์อย่างพวกเราจะมีสหายที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้ ก็เป็นการช่วยรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้ระดับหนึ่งเช่นกัน”
“ที่ข้าต้องการจะสื่อก็คือ เจ้าจงทำตามที่ใจตนเองต้องการเถอะ ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าเอง”
จักรพรรดินีหลี่อันตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก “เจ้าค่ะท่านแม่”
ว่าจบ เธอก็น้อมกายคารวะอีกครั้ง แล้วจึงค่อยขยับถอยหลังไปสองสามก้าว และหายไปในความว่างเปล่าอีกที
ณ โลกเทวะ
ทัณฑ์สายฟ้าครั้งใหญ่เพิ่งจะจบลง
เมื่อขอบเขตประทับเทพต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นร่างเทวะ และเมื่อขอบเขตร่างเทวะต้องการจะยกระดับขึ้นเป็นพันวิบัติ พวกเขาจำต้องเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์สายฟ้าและสายลม
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ หากผู้ฝึกยุทธ์คิดจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จะปรากฏขึ้นเพียงแปดตำแหน่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกยุทธ์คิดหมายจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตพันวิบัติ ปีศาจในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์จักปรากฏขึ้นถึง สิบหกตำแหน่ง!
ซึ่ง ณ เวลานี้ ทัณฑ์สายฟ้าได้จบลงแล้ว
ทัณฑ์สายลมได้มาเยือน
ท่ามกลางลมกรรโชก ปรากฏถึงผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางพายุอย่างสงบ
หลี่อันบินออกมาจากในความว่างเปล่า และตกลงกลางอากาศ
“ขอโทษที่มาสาย”
เธอหันไปพยักหน้าให้กับมารสวรรค์ที่อยู่รอบๆ
เหล่ามารสวรรค์หญิงตนแล้วตนเล่าโค้งคำนับลง ทั้งหมดเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอ
หลี่อันกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าในทัณฑ์สายลม มีกลิ่นอายของผีปีศาจตนอื่นๆเพียงหนึ่งถึงห้าชนิดเท่านั้น และบัดนี้ทั้งหมดก็กำลังยืนนิ่งอยู่เฉยๆอย่างน่าฉงน
เธอเอ่ยด้วยความสับสน “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทัณฑ์สายลมได้เริ่มต้นขึ้นมาสักพักแล้วมิใช่หรือ เหตุใดกษัตริย์ปีศาจจึงยังไม่ปรากฏตัวขึ้นกัน?”
หนึ่งในมารสวรรค์หญิงตอบ “เมื่อครู่ เจ็ดกษัตริย์ปีศาจปรากฏตัวขึ้น และได้นำพากองทัพของพวกเขาเข้าโจมตีไปแล้ว แต่ทั้งหมดกลับถูกสังหารลงจนสิ้นโดยคนผู้นี้”
“ผู้ที่ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” หลี่อันประหลาดใจ
“ยามเมื่อคนผู้นี้เริ่มลงมือ พลังและอำนาจที่สำแดงออกมาช่างร้ายกาจยิ่งนัก เพียงหนึ่งกระบี่วาดออก ก็สามารถตัดสินชีวิตและความตายของพวกเราได้ในพริบตา ดังนั้นหลังจากรอบแรก ทุกคนจึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าบุกต่อ” หนึ่งในมารสวรรค์ตอบ
“แล้วคนของเราล่ะ ได้ลงมือไปบ้างแล้วหรือยัง?” หลี่อันถาม
“ได้ลองไปหลายครั้งแล้ว แต่จิตแห่งเต๋าของคนผู้นี้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง กระทั่งจิตเทวะก็ยังไม่มีช่องโหว่ใดๆ พวกเราเลยไม่สามารถทำอะไรได้” อีกมารสวรรค์หญิงกล่าว
หลี่อันอดไม่ได้ที่จะมองไปยังผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์
เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมหมวกเกราะบดบังใบหน้า ขณะที่ตามร่างกายถูกสวมทับไปด้วยเกราะเรียวบางที่ดูงดงามและประณีตเอาไว้อย่างแน่นหนา
โดยในมือของผู้ฝึกยุทธ์ กำลังกุมจับกระบี่ยาวที่สาดประกายสดใสดั่งหิมะ ยืนเฝ้ารออยู่ท่ามกลางสายลมอย่างเงียบๆ นิ่งงันไม่ไหวติง
ทันใดนั้นเอง ทหารปีศาจของกษัตริย์ผู้กุมตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์เมื่อครู่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากในสายลม กระโจนเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์จากกลางอากาศ
ร่างของผู้ฝึกยุทธ์วูบไหว
คมกระบี่อันดุร้ายเสียบแทงขึ้นไปบนฟากฟ้า
ทหารปีศาจนับพันไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน ทั้งหมดถูกสับหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยคมกระบี่ที่สาดแสงเย็นเยียบ
ติ๊งๆๆ!
ปัง! อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะถูกรุมล้อมโจมตีโดยปีศาจมากมาย แต่ชุดเกราะของเธอกลับไร้ซึ่งการสัมผัสต้อง ไม่มีสิ่งใดสามารถอาจเอื้อมเข้ามาถึง ไร้ซึ่งเสียงกระทบกระทั่งใดๆ
ทว่าช่วงจังหวะนั้นเอง กษัตริย์ปีศาจตนสุดท้าย ก็ได้ฉวยโอกาสผุดออกมาจากในความว่างเปล่า เหวี่ยงกำปั้นหนักหน่วงทุบเข้าใส่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างกะทันหัน ซัดเปรี้ยง! ส่งคนผู้นั้นกระแทกลงกับพื้นดินจนเกิดหลุมลึก
กษัตริย์ปีศาจที่ฉวยโอกาสคำรามอย่างภาคภูมิ “ฮี่ฮี่ เจ้าโง่ที่เอาแต่โจมตีเป็นอย่างเดียว สมควรแล้วที่จะชิมรสกำปั้นนี้ของข้า…”
แต่แล้วเสียงของมันก็หยุดลง
เพราะจู่ๆก็ปรากฏถึงรอยเส้นเลือดนับสิบเส้น ผุดออกมาตามตัวของมัน ตัดแยกร่างกายของมันออกเป็นชิ้นๆ!
กษัตริย์ปีศาจตัวสุดท้าย ตายลงแล้ว!
ท่ามกลางเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ผุดลุกขึ้นอีกครั้ง ทะยานตัวขึ้นมาเบื้องบนเป็นเส้นตรงดั่งหอกแหลม
ผู้ฝึกยุทธ์โบกกระบี่ยาว สะบัดเลือดออกจากใบมีดอันคมกล้าของมัน
นั่นคือเลือดของกษัตริย์ปีศาจตัวเมื่อครู่
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ ผีปีศาจที่มาจากทั่วทุกสารทิศต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะก้าวบุกไปข้างหน้าอีกต่อไป
“อาจารย์ พวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”
มารสวรรค์หญิงเอ่ยถาม
หลี่อันมิได้ตอบกลับไป เธอขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเผยตัวออกจากทัณฑ์สายลม
ผู้ฝึกยุทธ์เองก็ตระหนักถึงเธอทันที
อีกฝ่ายยกกระบี่ยาวของตนขึ้น แต่หลังจากที่เห็นถึงรูปลักษ์ของหลี่อัน เจ้าตัวก็ลดมันลงอย่างช้าๆ
มองไปยังปฏิกิริยาของอีกฝ่าย หลี่อันก็ค่อยๆ ลดระดับลงจากเบื้องบน
เธอลงมาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับผู้ฝึกยุทธ์ โค้งกายลงอย่างนุ่มนวลและกล่าว “ในเมื่อเจ้าเห็นข้าแล้วแสดงท่าทีแบบนั้นออกมา แสดงว่าเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสงครามโลกเทวะอย่างงั้นสินะ?”
บังเกิดความเงียบไปชั่วขณะ
แต่ไม่นานนัก เสียงที่คมชัดและน่ารื่นรมย์ก็ดังออกมาจากเบื้องหลังเกราะหมวก “ในวันที่ต้องรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขีดสุดความว่างเปล่าจากโลกอื่น ข้าเห็นเจ้าปรากฏกายขึ้นในอากาศ ร่วมมือกับกู่ฉิงซานกำราบศัตรู”
“ถูกต้อง” หลี่อันพยักหน้ากล่าว
เจ้าตัวดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แล้วเขา…เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขายังสบายดี และเพิ่งประสบความสำเร็จในขอบเขตร่างเทวะ ข้าคาดว่าเขาน่าจะกลับมาในเร็วๆนี้” หลี่อันตอบ
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงแม้จะไม่ตอบและยังคงนิ่ง แต่หลี่อันสามารถสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเธอผ่อนคลายลง
แต่หลี่อันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตระหนักถึงเบื้องลึกของท่าทีที่ผ่อนคลายลงของอีกฝ่าย
เพราะท้ายที่สุดนี้ ต้องไม่ลืมนะว่ากู่ฉิงซานมียศเป็นถึงนายพล และได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งใบเอาไว้ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ของกู่ฉิงซานยังอยู่ดี อีกฝ่ายจะรู้สึกยินดีก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา
“เจ้ามาที่นี่เพื่อขัดขวางข้ามิให้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงถามต่อ
หลี่อันส่ายหัวและกล่าว “ข้ากับกู่ฉิงซานมีสถานะเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นพวกเรามารสวรรค์จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”
“เจ้าสามารถปล่อยข้าไปได้อย่างงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอุทาน
“เป็นเช่นนั้น ทว่าด้วยฐานะที่ข้าได้รับให้เป็นหนึ่งในตำแหน่งผู้ลงทัณฑ์ ดังนั้นข้าจำต้องจู่โจมเจ้าครั้งหนึ่งเสียก่อน จงยกกระบี่ของเจ้าขึ้นมาซะ” หลี่นอันเตือน
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงยกกระบี่ขึ้นตามคำขอ
ด้ามจับของกระบี่เล่มนี้ ยาวกว่ากระบี่ทั่วๆ ไปกว่าสองชุ่น บริเวณใบกระบี่เล็กแคบ ตั้งแต่ต้นจรดปลดเหยียดยาวเป็นเส้นตรง
นี่คือกระบี่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หญิง เมื่อเทียบเปรียบกับดาบยาวโค้งงอที่ผู้ฝึกยุทธ์ชายทั่วๆไปใช้กันแล้ว มันคล่องแคล่วยิ่งกว่ากันมากนัก
อย่างไรก็ตาม ยามเมื่อกระบี่ยาวที่เที่ยงตรง ไร้ซึ่งส่วนโค้งงอนี้ตกอยู่ในมือของเธอ มันกลับเปล่งประกายถึงความเที่ยงธรรมอย่างหาที่ใดเปรียบออกมาอย่างน่าฉงน หลี่อันก้าวออกมา เหยียดมือไปสะบัดลงบนใบกระบี่อย่างแผ่วเบา
“เรียบร้อยแล้ว” เธอกล่าว
“มัน…แค่นี้เองงั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงตะลึง
“อืม ในตอนที่กู่ฉิงซานข้ามผ่านทัณฑ์สายลม ก็เป็นแบบนี้นี่แหละ” หลี่อันกล่าว
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงอึ้งจนเงียบไปพักหนึ่ง ในหัวของตนเองคล้ายกับโดนกระแทกด้วยอะไรบางอย่างอย่างแรง
“ช่างยากนักที่จะพบเจอ” หลี่อันถอนหายใจ “ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าเจ้ามีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ทว่ากลับสามารถบรรลุทักษะกระบี่ได้ถึงเพียงนี้ ช่างเป็นพรที่สวรรค์ประทานมอบให้โดยแท้”
เมื่อถูกยกย่องแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์หญิงที่อยู่ตรงข้ามก็เขินอายเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงชักกระบี่ยาวกลับคืน โค้งกายลงเล็กน้อย “จะยกย่องเกินไปแล้ว ข้าเพียงปฏิบัติตามความคิดของตัวเองก็เท่านั้น”
“ความคิดอันใด?” หลี่อันเอ่ยถาม
“ความคิดที่ว่า ‘กระบี่นั้นเที่ยงแท้ ซื่อตรงไม่มีวันทรยศ หากกุมมันก็จะเป็นดั่งเช่นมัน ที่เพียงมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
ผู้ฝึกยุทธ์หญิงกล่าวอย่างนุ่มนวล
……………………………………………………