ใจกลางทะเลสาบ กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ
เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวแจขนาดนี้ มาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เรื่องนี้มันมิอาจตำหนิเขาได้ เพราะทั้งหมดนี้ ในที่สุดตัวเองก็ได้มาถึงขอบเขตพันวิบัติเสียที
เมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่โลกเทวะ เกราะรบเพลิงคำรนเคยอธิบายเกี่ยวกับขอบเขตวรยุทธ์แก่เขา
เจ้าตัวยังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งที่เกราะรบเพลิงคำรนกล่าว
“ขอบเขตสูงสุดของโลกเจ้าคือประทับเทพ เหนือยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพคือร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า สามขอบเขต”
“และในขอบเขตพันวิบัติ ว่ากันว่าเป็นขอบเขตที่แปลกประหลาดมากที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องรับมือกับภัยพิบัตินานับไม่ถ้วนในขอบเขตนี้ ทว่าเมื่อข้ามผ่านสถานการณ์ดังที่กล่าวมาจนสิ้น เจ้าก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้ในที่สุด”
ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ จึงมิต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจากสวรรค์ แต่จะต้องเผชิญกับทุกรูปแบบของภัยพิบัติแทน
หลังจากเสร็จสิ้นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทั้งหมดได้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าไปได้เลยตามธรรมชาติ
ในโลกล่องเวหา มีมุมมองที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ผู้ฝึกยุทธ์จะอยู่ในสภาวะพร้อมข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตลอดเวลาในส่วนนี้ กล่าวได้ว่าพวกเขามีความเข้าใจ และความเห็นเช่นเดียวกันกับโลกเทวะ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเห็นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ของโลกล่องเวหาที่เข้าใจมันได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า
ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าภัยพิบัตินี้เกี่ยวข้องกับกรรมของผู้ฝึกยุทธ์
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยออกล่าสังหารมามากมาย จะต้องถูกกีดกันจากบาปและความชั่วร้ายอันแสนสาหัสที่ตัวเขาเป็นคนก่อในขอบเขตนี้
ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง เคยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมาร ต้องเผชิญกับภัยพิบัติกว่าแปดพันเก้าร้อยหกสิบสามครั้งในขอบเขตพันวิบัติ
และในท้ายที่สุด เขาก็สิ้นใจลงในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยกระดับขึ้นเป็นขีดสุดความว่างเปล่า
โดยภัยพิบัติของโทษทัณฑ์ในครั้งสุดท้ายครั้งนั้น ก็คือศิษย์น้องของเขา
ในครั้งอดีต เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ประตูนิกาย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่โลกถูกโจมตี เขาได้ฉวยโอกาสนั้นหักหลังศิษย์น้องของตนเอง
หลังจากที่ศิษย์น้องของเขาถูกผลักลงสู่ซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับข่าวของชายคนนั้นอีกเลย
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารผู้นี้ หลังจากที่จัดการศิษย์น้องได้แล้ว เขาก็ยังมิคิดหยุดยั้งบาปกรรมของตน กลับยังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทั้งอ่อนแข็ง หว่านล้อมคู่หมั้นของศิษย์น้อง จนตกเป็นของตนได้ในที่สุด
แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นมานานปี จนผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ ว่าศิษย์น้องของเขาจะเปลี่ยนโชคร้ายที่เผชิญเป็นพรอันแรงกล้า เจ้าตัวได้พบกับสถานที่ชั้นเลิศในซากปรักหักพัง และแอบเข้าไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายสิบปี จนในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้
เมื่อศิษย์น้องกลับมา มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารเกือบจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าพอดิบพอดี
ศิษย์น้องจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสุดท้ายในการตัดผ่าน ฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปและตัดหัวอีกฝ่ายจนขาดกระเด็น!
นับแต่นั้นมา ในโลกล่องเวหา เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายจึงหาได้เกรงกลัวต่อภัยธรรมชาติไม่ แต่หวาดกลัวในกรรมของภัยพิบัติ ของขอบเขตพันวิบัติแทน
เพราะท้ายที่สุด กรรมของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหา นั้นมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นภัยพิบัติที่พวกเขาต้องพานพบจึงเปรียบดั่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ตามติดดั่งเงาตามตัว
‘ขอบเขตพันวิบัติ…’
คือขอบเขตที่ต้องทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ตลอดเวลา…
กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัว และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดๆ ตรงหว่างคิ้ว
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา
นี่คือเทคนิคลับจากในถุงสัมภาระของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า เป็นสิ่งที่เขานำมันมาจากโลกล่องเวหา
ในวันนั้น ที่กู่ฉิงซานสังหารหวังหงษ์เต๋า ฉานนู่ได้ฉกเอาถุงสัมภาระของอีกฝ่ายมาได้อย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตลมปราณจิต ถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าจึงเต็มไปด้วยของดี
แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลายเป็นของกู่ฉิงซานไปแล้ว
ระหว่างที่เขาถือใบหยก เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นทันทีบนหน้าต่างเทพสงคราม
“ชื่อไอเท็ม เทคนิคลับ การเหนี่ยวนำกรรมแห่งพันวิบัติ”
“ประเภท เทคนิคฝึกยุทธ์”
“วิชายุทธ์เทพสงคราม การเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงภัยพิบัติจำนวนมากที่คุณจะต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ”
“โปรดทราบ นี่คือเทคนิคลับที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหาทำการศึกษาเกี่ยวกับขอบเขตพันวิบัติมาโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะสามารถช่วยให้คุณรับรู้คร่าวๆ ถึงจำนวนของภัยพิบัติได้ แต่มันไม่อาจช่วยคาดการณ์ระยะเวลาล่วงหน้าของภัยพิบัติได้”
“คำอธิบาย การศึกษาเทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จำเป็นต้องจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณ”
“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเกี่ยวกับมัน”
ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่มีมากกว่าแปดหมื่นแต้ม กู่ฉิงซานทำการจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณไปทันที
เขากุมใบหยกในมือ สองตาปิดสนิท
กระแสความร้อนไหลบ่าออกจากใบหยก ผลุบเข้าไปตามมือของเขา วิ่งไปตามกระดูกและแขน ไหลลงสู่ทะเลแห่งห้วงสติ
เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการเหนี่ยวนำของเทคนิคลับนี้ได้สำเร็จ
เขายื่นมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นเทคนิค
ทันใดนั้นสวรรค์และโลกราวกับเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับเขา ภาพของบาป (กรรม) ที่เคยกระทำในอดีตผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา
ภัยพิบัติแล้ว ภัยพิบัติเล่าเริ่มจะปรากฏขึ้นมาทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง
โดยสิ้นเชิงแล้ว รวมทั้งหมดเป็น…
สามครั้ง!
ครั้งแรกคือขอบเขตพันวิบัติขั้นต้น อีกครั้งคือขั้นกลาง และครั้งสุดท้ายคือขั้นปลาย
จากนั้น เขาก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ในหัวใจค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย
เพราะสามครั้งคือจำนวนภัยพิบัติขั้นต่ำที่สุด ที่ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ
…นี่หมายความว่าตัวเขาไม่มีบาปเลยกระนั้นหรือ?
หรือว่าพวกเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ การดิ้นรนในโลกเทวะ การต่อสู้ในโลกปรภพ และการเรียกขานของวิหคหนาม
สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา แท้จริงแล้วมันมิได้ก่อให้เกิดบาป แต่ก่อให้เกิดคุณงามความดีแทนหรือ?
บางที อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญมันมีแค่สามครั้งเท่านั้น
ในกรณีนี้ ตราบใดที่เขาให้ความสนใจกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์แห่งเภทภัยไปได้อย่างง่ายดาย
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง
กู่ฉิงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว งั้นต่อไปตอนนี้ เขาก็จะได้ติดต่อกับอาจารย์สักที
เขาไม่ลังเลเลยที่จะตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาตราสัญลักษณ์นายพลออกมา
หากระยะทางไม่ไกลเกินไป แต่ละฝ่ายที่ครอบครอง จะสามารถส่ง หรือนำสิ่งของผ่านทางตราสัญลักษณ์ให้แก่กันและกันได้ทันที
กู่ฉิงซานหยิบยันต์สื่อสารของนางเซียนไป่ฮั่วออกมา กล่าววาจาลงไปหลายคำ ก่อนจะยัดมันลงไปในตราสัญลักษณ์นายพล
และแทบจะในทันที เขาก็สัมผัสได้ว่ายันต์สื่อสารได้หายไป
นี่หมายความว่านางเซียนไป่ฮั่วได้รับยันต์สื่อสารของเขา และหยิบมันออกไปจากตรานายพลแล้ว!
กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย
นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอท่านอาจารย์
ช่วงก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งตนเคยลองพยายามใช้งานตราสัญลักษณ์นายพลในโลกล่องเวหาอยู่เหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไป ตราสัญลักษณ์นี้จึงไม่สามารถใช้งานได้
และเมื่อได้กลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง ซึ่งแม้ขณะนี้อาณาเขตของโลกจะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอย่างมหาศาล แต่เมื่อเป็นโลกเดียวกัน ตราสัญลักษณ์นายพลจึงยังใช้งานได้เป็นอย่างดี
เฝ้ารอสักพักหนึ่ง ยันต์สื่อสารจากอีกฝั่งก็ถูกยัดเข้ามาในตรานายพล
กู่ฉิงซานเร่งนำมันออกมา และกระตุ้นพลังวิญญาณใส่มันทันที
ได้ยินถึงเสียงที่แฝงไว้ซึ่งร่องรอยจางๆ ของความกังวลของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากยันต์ “ฉิงซาน เมื่อไม่นานมานี้มีบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า แม้ว่าสุดท้ายจะถูกข้าจับตัวไว้แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เจ้าไม่สมควรเถลไถลไปในที่ใด เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหาใหม่ตามมา จงรออยู่ที่นั่น ศิษย์น้องหญิงทั้งสองกำลังไปรับตัวเจ้ากลับมา”
แสร้ง…ปลอมตัวเป็นฉันงั้นหรือ?
กู่ฉิงซานตกใจ
แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือไปจากผู้ฝึกดาบในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังจะมีใครอีกที่สามารถปลอมเป็นเขาได้?
ในโลกใบนี้ ไม่น่าจะปรากฏเรื่องเช่นนี้ขึ้น
บางทีเกรงว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ มันอาจจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์จากต่างโลกก็ได้
ดูเหมือนว่าคนที่ทำเรื่องนี้ ชัดเจนว่าได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่ฉีหยานได้บุกเข้ามายังโลกเทวะแล้ว
ในวันนั้น นางเซียนไป่ฮั่วกับนักพรตเป่ยหยวนได้ร่วมมือกันทุ่มสุดกำลังเพื่อรับมือกับฉีหยาน ซึ่งในท้ายที่สุด กู่ฉิงซานก็ได้เรียกมารสวรรค์มา และส่งฉีหยานไปยังโลกของพวกเธอ
ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานเองก็ถูกส่งไปยังโลกล่องเวหา
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่เห็นต่างก็เป็นพยานในเรื่องนี้
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนปลอมตัวเป็นกู่ฉิงซาน เหมือนจะล่วงรู้ว่าตัวเขาเองเคยทำอะไรมาก่อน
อีกฝ่ายยังรู้กระทั่งว่ากู่ฉิงซานได้หายตัวไปจากโลกใบนี้
ดังนั้น หากแสร้งปลอมตัวเป็นตน แล้วเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน ย่อมแน่นอนว่าจะต้องสามารถได้รับข้อมูลของโลกใบนี้ไปได้มากมาย
อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีอาจารย์อยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้า
ไม่สิ!
เพราะท่านอาจารย์จำเป็นต้องใช้สักส่วนที่จำกัดในการผสานรวมโลก ท่านถึงได้เลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์
ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงมักจะต้องออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ เพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้ต่างๆ ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์
ดังนั้น หากเป็นในช่วงที่ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ คนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเขา ก็อาจเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายจนสำเร็จ!
ตนผู้สามารถช่วยโลกเทวะเอาไว้ได้ และสามารถกลับมาจากโลกอันห่างไกล
ด้วยเหตุผลตามประโยคข้างบนที่กล่าวมา ส่งผลให้คนที่ปลอมเป็นเขา จะต้องได้รับคำขอบคุณจากทุกคนอย่างแน่นอน
บางที คนที่ปลอมตัวเป็นตน อาจจะได้ทำการตรวจสอบพื้นเพของโลกใบนี้มาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้
ท่านอาจารย์บอกว่าอย่าเถลไถลไปรอบๆ เพราะเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์จะลงมือกับเขาซึ่งเป็นตัวจริง
กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ากลยุทธ์ที่ตนใช้ปลอมตัวเป็นฉีหยานเข้าไปในโลกล่องเวหา จะถูกคนอื่นใช้โดยการปลอมตัวเป็นตนเข้ามายังโลกเทวะเช่นกัน
นี่สินะที่เรียกกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
แต่นับว่าโชคยังดีที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ และออกไปจัดการกับมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม…
ประโยคสุดท้ายที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ‘ศิษย์น้องหญิงทั้งสอง’ นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่นะ?
………………………………….