เฉินหยางหันกลับไปมองศพของทั้งแปดอาวุโส
เขาขมวดคิ้วและกล่าวขอโทษ “ขออภัยจริงๆ หนึ่งในข้อเสียของข้าก็คือเรื่องซากที่หลงเหลือหลังจากการสังหารผู้คนนี่แหละ มันแย่จริงๆ ที่ละเลงเลือดจนทำให้ที่พำนักของผู้อื่นสกปรก”
“นั่นไม่สำคัญหรอก เพราะแท้จริง เป็นท่านต่างหากที่ช่วยจัดการแก้ปัญหาใหญ่ให้แก่พวกเรา”
เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยแสดงความขอบคุณ
“อา ในเมื่อเจ้าไม่ถือสา เช่นนั้นพวกเราก็มาจบเรื่องนี้กันเสียทีเถอะ”
เฉินหยางชูมือขึ้น และค่อยๆ ดึงอากาศที่ว่างเปล่าเหนือศีรษะเขาลงมา
ปรากฏถึงโทรศัพท์สมัยเก่าติดมากับมือของเขา
เขากระแอมเล็กน้อย และเริ่มพูดกับโทรศัพท์ “นี่ข้าเฉินหยาง ไปเรียกตาแก่มารับโทรศัพท์หน่อยสิ”
เกิดเสียงรบกวนแทรกเข้ามาเล็กน้อยจากไมโครโฟนปลายสาย ก่อนที่จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงอันไพเราะดังตามขึ้นมา
ภายในทำนองเพลง เสียงอิเล็กทรอนิกส์จักรกลตอบกลับมา “นี่คือสำนักงานประธานคณะกรรมการตุลาการโลก ท่านประธานอยู่ในระหว่างออกไปดูคอนเสิร์ต ถ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร กรุณาฝากข้อความทิ้งไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องด่วนโคตรๆ งั้นก็กรุณาไปจัดการด้วยตัวเองเสีย ขอบคุณ”
“ติ๊ด!”
เสียงบันทึกการสนทนาดังขึ้น
เฉินหยางพูดผ่านโทรศัพท์ “ข้าเฉินหยาง มีเรื่องรายงานดังนี้”
“แปดอาวุโสของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ได้ยื่นคำร้องขอถึงข้า ว่าต้องการมอบสิทธิ์ขีดจำกัดการผสานโลกทั้งหมดกลับคืนให้แก่ตำแหน่งผู้นำพันธมิตร”
“จากในมุมมองและทัศนคติของพวกเขา ข้าค่อนข้างมั่นใจและเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะส่งไฟล์กับเอกสารที่เกี่ยวข้องแนบไปให้ในภายหลัง”
“ตาแก่ ถ้ากลับมาแล้วก็อย่าลืมรีบตรวจสอบมันเร็วๆ ด้วยล่ะ”
“รายงานเบื้องต้น จบลงแค่นี้”
เฉินหยางผละมือออก
แล้วโทรศัพท์สมัยเก่าก็ถูกสายของมันดึง ลอยกลับขึ้นไปเหนือหัวของเขาโดยอัตโนมัติ และหายวับไป
“เป็นยังไง? วิธีที่พี่ชายเฉินใช้จัดการมันยอดไปเลยใช่ไหม?” เขายิ้มให้กับกู่ฉิงซาน
“ขอบคุณพี่ชายเฉิน เอาไว้ว่างๆ ผมจะขออนุญาตชวนพี่ไปดื่มสุราด้วยกันในภายหลัง” กู่ฉิงซานกล่าว
“ขอเป็นของกินด้วยก็แล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าฝีมือการปรุงอาหารของเจ้าไม่เลวเลย เหมือนว่าจะเคยได้รับคำชมจากปากของผู้จัดการครัวด้วยนี่นา”
“เรื่องนั้นผมพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
“เอาล่ะ ครั้งต่อไปเอาไว้ถ้าข้าไปสมาคมต่อสู้กับแบรี่เมื่อไหร่ ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสฝีมือเจ้า”
“ถ้าพี่เฉินมีเวลาว่างเมื่อไหร่ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อพวกเรา ทางสมาคมยินดีต้อนรับท่านตลอดเวลา” กู่ฉิงซานหัวเราะ
เฉินหยางพยักหน้าให้เขา และหันไปพยักหน้าให้เซี่ยเต๋าหลิงเล็กน้อย “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
เฉินหยางเดินเข้าไปในเสาแสง และค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนเพดานโถง ก่อนจะหายวับไปในที่สุด
ตลอดทั้งห้องโถงบัดนี้เหลือเพียงอาจารย์และศิษย์
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ทุกอย่างจบลง ซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อก็ปรากฏกายขึ้นจากทางด้านหลังโถงใหญ่
ตามด้วยห่านขาวที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“ศิษย์พี่สาม!” ซิวซิวร้องอุทานด้วยความดีใจ
“ฮ่า! ซิวซิว ไม่เจอกันนานเลยนะ มานี่สิ!”
กู่ฉิงซานเองก็ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย
เขาย่อตัวลงโอบซิวซิว และยกเด็กสาวขึ้นมาวางบนไหล่ข้างประจำของตน
ซิวซิวตอนแรกอึ้งไปเล็กน้อย แต่สักพักเด็กสาวก็เผยสีหน้าที่แลดูมีความสุขออกมา
เธอเป็นคนที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ถูกทารุณอย่างโหดร้ายตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ต้องอยู่ในนิกายที่แทบจะไม่มีใครเลย ทำให้ตลอดทั้งนิกาย เด็กสาวจึงมีเพื่อนเล่นแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ช่วงเวลาต่อมา สงครามก็อุบัติขึ้น ส่งผลให้ทั้งฉิงซานและเสี่ยวโหลวจำต้องถูกส่งไปอยู่ในแนวหน้า
ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านั้น ไม่มีใครมาเล่นกับเธอเลย
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานที่เด็กสาวให้การยอมรับว่าเป็นศิษย์พี่ ในเวลานี้ได้กลับมาแล้ว แถมยังช่วยจบปัญหาร้ายแรงที่นิกายต้องเผชิญลงได้อีกด้วย
และแม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันเป็นเวลานาน แต่ศิษย์พี่ของเธอก็ยังคงปฏิบัติต่อตนเองเหมือนเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ในนิกายเวลานี้ก็มีศิษย์น้องหญิงเพิ่มมาอีกตั้งสองคน!
ทำให้นิกายเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น
ซิวซิวกล่าวด้วยความสุข “ว้าว ไหล่ของศิษย์พี่นั่งสบายดีจริงๆ”
“แน่นอน เพราะข้าได้ผ่านการฝึกพิเศษจนเชี่ยวชาญ…อ้าวศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสบายดีหรือไม่?”
“อืม แต่เจ้าสิ ดูเติบโตขึ้นมากทีเดียว” ห่านขาวกล่าว
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นตัวฉินเซี่ยวโหลว
“เอ๊ะ? แล้วศิษย์พี่สองเล่า เขาหายไปไหนกัน?” เจ้าตัวเองถาม
“ศิษย์พี่สองเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่”
“เก็บตัวฝึกยุทธ์…หมายถึงปิดด่านฝึกตนน่ะหรือ?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
เพราะฉินเซี่ยวโหลดน่ะเป็นคนฉลาด และมีความเชี่ยวชาญในหกศิลป์ แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนที่เกลียดการฝึกยุทธ์
ดังนั้น ทุกครั้งเลยที่เขาว่างเว้น ซึ่งก็เกือบตลอดเวลา เซี่ยวโหลวมักจะออกไปเกี้ยวผู้ฝึกยุทธ์หญิงจากนิกายอื่นโดยเลือกที่จะเปิดเผยสถานะของตน เพื่อให้ได้รับการต้อนรับอย่างดี
แน่นอนว่าการที่เขาบอกสถานะของตนแก่สาวๆ ออกไป มันจะส่งผลดีอย่างมหาศาล
เพราะท้ายที่สุดนี้ นางเซียนไป่ฮั่วน่ะเปรียบดั่งผู้ปกครองโลกทั้งใบ และยังเป็นกู่ฉิงซานที่ช่วยเหลือทุกชีวิตเอาไว้ในโลกเทวะอีกด้วย
ดังนั้นชื่อเสียงของนิกายร้อยบุปผาจึงทรงพลัง และมีศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก
“ที่เขาเลือกเก็บตัวอย่างจริงจัง นั่นเพราะก่อนหน้านี้คนที่แสร้งเป็นเจ้าเกือบจะสามารถนำตัวซิวซิวออกไปได้แล้ว ขณะที่พื้นฐานวรยุทธ์ของเขาต่ำต้อยเกินไป จึงไม่ทันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ จนฉินรั่วกับว่านเอ๋อยื่นมือเข้ามา เขาถึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”
นางเซียนไป่ฮั่วแสดงออกถึงความพอใจ “นับแต่นั้นมาเขาก็เริ่มเก็บตัวฝึกยุทธ์ ซึ่งนี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ยาวนานและจริงจัง ข้าละอดไม่ได้เลยที่จะคาดหวังกับเขา”
“แล้วศิษย์พี่สอง ตอนนี้ฝึกไปถึงขอบเขตไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก่อกำเนิด”
“…”
“เพราะก่อนหน้านี้เขาอยู่ในระดับแก่นทองคำ มิใช่ขั้นสูงอะไร ดังนั้นด้วยการฝึกยุทธ์เพียงสองวัน เขาก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิดได้ในที่สุด”
“ใช้เวลาแค่สองวัน?”
“ถูกต้อง ใช้เวลาฝึกยุทธ์แค่สองวันเท่านั้น”
“แต่หากอ้างอิงจากวันเวลา สองวันมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนี่นา เช่นนั้นเวลานี้ศิษย์พี่สองก็สมควรที่จะยกระดับไปยังขอบเขตต่อไปแล้วสิ เหตุใดจึงยังติดอยู่แค่ก่อกำเนิด?”
“เพราะเขารู้สึกว่าขั้นก่อกำเนิดก็เพียงพอแล้ว และการฝึกยุทธ์มากไปมันจะทำให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และยังส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขา ซึ่งมันจะทำให้เขานอนหลับได้ไม่ดีในเวลากลางคืน”
“หลังจากนั้นมา แม้จะยังเก็บตัวอยู่ แต่เจ้าตัวก็หาได้จริงจังไม่ ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า”
“…”
เป็นอีกครั้งในวันนี้ ที่กู่ฉิงซานพูดอะไรไม่ออก
ดูเหมือนว่าหลังจากกลับมานิกายแล้ว จะมีเรื่องให้เขาทึ่งจนพูดไม่ออกมากขึ้นเยอะทีเดียว
กู่ฉิงซานคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “อย่างน้อยเรื่องของซิวซิว ก็ช่วยปลุกให้เขาตื่นตัว และด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิด ผสานไปกับสติปัญญาที่มี ตราบใดที่เซี่ยวโหลวมุ่งมั่นฝึกยุทธ์อย่างจริงจัง การตัดผ่านพื้นฐานวรยุทธ์ไปยังขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ฉินเซี่ยวโหลวมีความคิดที่พิสดารมากเกินไป เขามักจะทำในสิ่งที่แปลกประหลาด โดยไม่สนใจว่าคนทั้งโลกจะมองเขาเป็นตัวอะไร
จากนั้น ก้อนเปลวไฟที่ลุกไหม้ก็ลอยเข้ามาในโถงใหญ่
นางเซียนไป่ฮั่วรับยันต์สื่อสารมา และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ
เนื้อหาที่ส่งผ่านความคิดดังออกจากยันต์สื่อสาร เข้าไปในจิตสัมผัสเทวะของเธอ
นางเซียนไป่ฮั่วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันมากล่าวกับบรรดาลูกศิษย์ “นักพรตเป่ยหยวนมีบางอย่างจะหารือกับข้า เอาไว้สักพักข้าจะกลับมาฟังเจ้าเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดในภายหลัง”
“ไป่หยิงเทียน”
“ข้าอยู่นี่”
“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าจงรับหน้าที่ดูแลทุกคนให้ดี!”
“น้อมรับคำสั่ง!” ห่านขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพลึก
แล้วนางเซียนก็เคลื่อนกายหายตัวไปจากโถงใหญ่
บรรยากาศในโถงใหญ่ผ่อนคลายลงทันที
เนื่องจากท่านอาจารย์มีฐานวรยุทธ์ที่สูงล้ำ แถมยังเป็นผู้นำของโลกด้านฝึกยุทธ์นับพัน ดังนั้นแรงกดดันที่นางมีจึงหนักหนาเกินไป
ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์จะดีกับทุกคน แต่อย่างไรเสียท่านก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ดี
กระทั่งฉินรั่วและว่านเอ๋อ หลังจากที่เข้ามาอยู่ในนิกายได้ไม่กี่วัน ท่าทีการแสดงออกของพวกเธอก็ค่อยๆ กลายเป็นเหมือนกับซิวซิว นั่นคือหงอทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้านางเซียนไป่ฮั่ว
และต้องไม่ลืมนะว่าพวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดในขอบเขตพันวิบัติ!
นี่มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย คาดว่าคงจะเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะอธิบายของผู้คนล่ะมั้ง
ในขณะนั้นเอง ทันทีที่นางเซียนจากไป ท่าทีของทุกคนก็แลดูผ่อนคลายมากขึ้น
ห่านขาวสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว “ท่านอาจารย์จะจริงจังเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราก็มาตั้งวงสนทนากันดีกว่า”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของห่านขาว…ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าพร้อมกัน
พวกเธอในเวลานี้โล่งใจแล้ว
ทว่ามีเพียงกู่ฉิงซานที่มิได้พยักหน้าหรือโล่งใจใดๆ
เขาก้มหน้าลงกับพื้น ในหัวใจราวกับมีม้านับสิบหมื่นกำลังควบวิ่ง
‘ท่านอาจารย์ ทำแบบนี้มันสนุกนักหรือไง?’
สายตาของกู่ฉิงซานเบนไปยังห่านขาว ในหัวใจของเขาผุดคำนี้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ห่านขาวหันไปมองรอบๆ และกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองหายนะที่ผ่านพ้นไปของนิกาย และการกลับมาของกู่ฉิงซาน ข้าขอแนะนำให้พวกเราไปนำขนมวิญญาณมา และจัดงานเลี้ยงน้ำชากัน”
“ว้าว! มีขนมให้กินด้วย!”ซิวซิวชูสองมือขึ้นไชโย
สีหน้าของฉินรั่วและว่านเอ๋อเองก็แสดงออกถึงความสุข
ห่านขาวเน้นย้ำ “แต่จงอย่ากินมันให้มากจนเกินไป แต่ละคนสามารถกินได้แค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ!” สามสาวตอบพร้อมกัน
“ช้าก่อน…เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มีความสุขนักที่ได้ทานขนม?” กู่ฉิงซานงง
ซิวซิวตอบเขา “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้สินะ ว่าตั้งแต่ที่ศิษย์พี่สองให้คำมั่นว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ อาหารของพวกเราก็หมดลง”
“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง
ห่านขาว “เนื่องจากฉินเซี่ยวโหลวเป็นผู้รับผิดชอบด้านอาหารวิญญาณทุกวัน ดังนั้นเมื่อเขาเก็บตัว และแยกจากไป พวกเราเลยไม่มีอะไรกินเป็นธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้า…”
“พวกเราเลยต้องกินเม็ดยา และดื่มน้ำค้างแทนทุกวัน” ซิวซิวกล่าวด้วยความขมขื่น
“แล้วทำไมถึงไม่ออกไปซื้ออาหารวิญญาณจากภายนอก?”
ห่านขาวส่ายหัวและถอนหายใจ “มันจะมีอยู่ด้วยหรือ คนที่ได้ลิ้มรสอาหารฝีมือฉินเซี่ยวโหลว แล้วยังออกไปกินอาหารข้างนอกได้อีก”
กู่ฉิงซานพูดไม่ออกอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังหิวโซ แต่ก็ยังเลือกที่จะยึดมั่นในศักดิ์ศรี หากไม่ได้กินอาหารอร่อยก็ยอมอดเสียดีกว่า หากเป็นกันถึงขนาดนี้ก็คงจะโทษใครไม่ได้อีกแล้ว
กู่ฉิงซานหันไปมองฉินรั่วและว่านเอ๋อ
ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราในตอนนี้มีความสุขมากก็จริง แต่ว่า…”
ว่านเอ๋อกล่าว “แต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้กินอาหารวิญญาณร้อนๆ มาตั้งนานแล้ว”
เกือบทั้งหมดเอ่ยปาก ขณะเดียวกันทุกสายตาก็จ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเริ่มที่จะปวดหัว
อันที่จริงแล้ว เขากำลังหาเวลาว่างเพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเซี่ยเต๋าหลิง
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน จึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงมันไปก่อนในตอนนี้
ส่วนเหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ…
กู่ฉิงซานหันไปมองห่านขาว
เห็นแค่เพียงการแสดงออกทางสีหน้าของห่านขาวที่คอยส่งกำลังใจและหันไปพยักหน้าให้ซิวซิวอย่างเงียบๆ
ซิวซิวรวบรวมความกล้าและกล่าวด้วยความเหนียมอาย “ศิษย์พี่กู่ เมื่อครู่ในช่วงที่พวกเราซ่อนตัวอยู่หลังฉาก พวกเราได้ยินคนที่ดูเก่งกาจผู้นั้นกล่าวว่าท่านมีฝีมือในการปรุงอาหารใช่หรือไม่”
ห่านขาวอุทานด้วยความประหลาดใจทันที “เอ๊!? คนอย่างฉิงซานเองก็ทำอาหารเป็นเหมือนกันหรือ? แต่จะอร่อยจริงหรือเปล่านะ? ดีล่ะ! งั้นวันนี้พวกเราจะเป็นคนลองชิมมันเอง!!”
กู่ฉิงซาน “…”
…………………………………………….