ปลายักษ์ที่ทั้งตัวเกือบจะโปร่งใส ว่ายผ่านเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า ข้ามผ่านกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
ปรากฏให้เห็นถึงสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากมายรอบตัวปลายักษ์ ทว่ากลับไม่มีตนใดเลยที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของมัน
หากมีใครคอยสังเกตถึงทิศทางของปลายักษ์ตัวนี้ไปตลอดทาง พวกเขาจะพบว่ามันกำลังเวียนว่ายไปยังทิศทางหนึ่งด้วยการเคลื่อนไหวที่ประหลาดตา
เพียงไม่นาน ปลายักษ์โปร่งใสก็เดินทางมาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ
ในความเป็นจริงแล้ว โลกทั้งสองร้อยล้านชั้นในพื้นที่ชิงอำนาจนั้นมีลักษณะอยู่ในรูปแบบเป็นวงแหวนปิด
หากยังนึกภาพไม่ออก ขอให้จงนึกถึงเป้ายิงธนู นั่นแหละคือลักษณะพื้นที่ของดินแดนชิงอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ใจกลางของดินแดนมันกลับไม่มีอะไรเลย
ปลายักษ์โปร่งใสว่ายเวียนอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง ก่อนจะมีแสงเจ็ดสีผุดออกมาจากร่างกายของมัน โดยเริ่มจาก
แสงสีเขียวที่เป็นตัวแทนของชีวิต
แสงสีฟ้าที่เป็นตัวแทนของมิติและเวลา
แสงสีเทาดั่งหมอกหนาที่เป็นตัวแทนของโชคชะตา
แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวแทนของศรัทธา
แสงสีม่วงที่เป็นตัวแทนของความลึกลับ
แสงสีทองที่เป็นตัวแทนของอารยธรรมอันรุ่งโรจน์
และ…
แสงสุดท้ายอันมืดมิด ที่เป็นตัวแทนของความตาย
เจ็ดแสงสาดสะท้อนเข้าด้วยกันในความว่างเปล่า
ทันใดนั้นเอง ในความว่างเปล่าก็ปรากฏทางเข้าถ้ำขึ้น
ปลายักษ์ดีดตัวสูง เหวี่ยงตัวเข้าไปในถ้ำทันที
ในเสี้ยววินาที แสงเจ็ดสีก็วูบดับลง
พร้อมกันกับปลายักษ์และถ้ำ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า
การแสดงออกของแอนนาดูจะร้ายแรงมากขึ้น
ตลอดทั้งใบหน้าของเธอถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ ทั้งคนทั้งร่างฟุ้งไปด้วยความโกรธ ยืนอยู่ตรงข้ามกับสหายทั้งหก
ก้มลงมองมายังชุดกระโปรงยาวที่ดูหรูหราและงดงามของตัวเองที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แล้วสลับไปมองชุดเกราะเต็มตัวบนร่างของทั้งหก แอนนาก็มิอาจยับยั้งความโกรธในจิตใจของเธอได้อีกต่อไป
“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนก็รู้อยู่แล้วสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีฉันแค่คนเดียวที่โง่ไปเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
อีกหกคนหันมามองหน้ากันและกัน
หญิงสาวในชุดเขียวเอ่ยปาก “ภารกิจนี้ค่อนข้างจะพิเศษ แต่ดูชุดของเธอสิ ในฐานะตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตาย กลับมาทำเป็นเล่นแบบนี้”
หญิงสาวจ้องมองไปยังใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของแอนนา สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดได้ทุกสิ่งมีชีวิต ความริษยาก็สาดประกายขึ้นมาในแววตาของเธอ
ชายอีกคนที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งก็พูดขึ้นด้วยเช่นกัน “นั่นสิ นี่คือช่วงเวลาเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ทางคริสตจักรของฉันถึงขั้นจัดการต่อสู้ขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะคนสุดท้ายที่จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้ามารับภารกิจนี้ แต่ดูเธอที่เป็นตัวแทนของคริสตจักรแห่งความตายสิ เฮ้อ…”
หญิงสาวในชุดเขียวเยาะหยัน “คริสตจักรแห่งชีวิตของทางเราก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ฉันถึงขั้นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับโอกาสนี้มา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคริสตจักรแห่งความตายที่โดดเด่นที่สุดมาเป็นระยะเวลานานกว่าเจ็ดร้อยปี กลับส่งหน้าใหม่ที่โง่เขลา ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรมา”
แอนนาเงียบไป
เธอมัดผมยาวที่ย้อยปรกไหล่ เปล่งร่ายคาถาเสียงกระซิบในหัวใจ
“ความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามติดทุกชีวิตอย่างใกล้ชิด”
ในความว่างเปล่า เคียวยาวที่ตลอดทั้งด้ามของมันเป็นสีดำ ได้ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
แอนนากุมเคียวยาว และจ้องมองไปทางหญิงสาวชุดเขียวด้วยความเย็นชา
หญิงสาวกล่าวอย่างช้าๆ “ถ้าเธอมีปัญหากับฉัน ทำไมไม่ลองเข้ามาลิ้มรสความลับของความตายดูสักหน่อยล่ะ?”
จากนั้นแอนนาก็สลับไปมองชายคนหนึ่งที่ทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง “นายก็เหมือนกัน จะเอาด้วยก็ได้นะ ฉันรับประกันเลยว่าจะช่วยลบล้างความคิดบ้าๆ นั่นออกไปให้เอง”
เพราะมีแค่คนตายเท่านั้น ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้
นี่คือการยั่วยุของแอนนา ที่สื่อกลายๆ ว่าต้องการจะสู้กับทั้งสอง
ทั้งชายหญิงหน้าเปลี่ยนสีไปในเวลาเดียวกัน
เขาและเธอเกือบจะลงมืออยู่แล้ว ทว่าเมื่อมองไปยังใบมีดคบกริบของเคียวยาว ในหัวใจของพวกเขาก็ฟุ้งไปด้วยความลังเล
ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าแอนนาคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนที่ลึกลับมากๆ เธอได้รับการดูแลราวกับอยู่ในฝ่ามือของคริสตจักรแห่งความตายตลอดเวลา และมักจะออกไปดื่มกับผู้รับใช้เทพอยู่เสมอๆ
ไม่มีใครเลยที่สามารถสัมผัสต้อง ตัวเธอได้
อย่างไรก็ตาม นี่มันเป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ ว่าการที่ตลอดทั้งคริสตจักรให้ความสำคัญกับคนคนหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเธอจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างแน่นอน
ควบคู่ไปกับลักษณะพิเศษของคริสตจักรของเธอ ดังนั้นการต่อสู้นี้ ทั้งชายหญิงคิดว่าตนอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้ก็ได้
นี่พวกเขาต้องการที่จะเป็นศัตรูกับ ‘ความตาย’ จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เขาและเธอลังเล มิอาจตัดสินใจได้อยู่พักหนึ่ง
“ใจเย็นก่อน!”
ชายผมบลอนด์ก้าวออกมา และหยุดยืนอยู่ใจกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
เขาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีแล้วทางวิหารของพวกเราก็เป็นพันธมิตรกัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พบหน้ากันก็ตาม แต่ใครจะรู้ บางทีในอนาคตพวกเราอาจจะต้องได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกันก็ได้ ดังนั้นอย่าทำอะไรให้ความสัมพันธ์มันต้องร้าวฉานเลย!”
เฝ้ามองมาที่แอนนา ชายผมบลอนด์กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉันขอเป็นคนอธิบายให้เธอเข้าใจก็แล้วกันนะ พวกเรามาที่นี่ในฐานะตัวแทนแห่งคริสตจักรของตน มาร่วมมือกันทำภารกิจลับในครั้งนี้ เพราะปัจจุบัน หนังสือของเทพทั้งเจ็ดสามารถทำการกระตุ้นได้อีกครั้งแล้ว ”
แอนนาที่งุนงงตลอดมา ในที่สุดก็เผยถึงสีหน้ากระจ่างในฉับพลัน
ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้!
ไอ้หมาดำมันหลอกลวง โยนงานหนักมาให้ตัวเธอเอง!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แอนนาก็เริ่มปวดหัว จนลืมเลือนเรื่องที่คิดจะต่อสู้ไป
หนังสือของเจ็ดเทพ หรือที่เรียกกันว่าหนังสือพยากรณ์ของเหล่าทวยเทพ เป็นหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นโดยเทพวิญญาณทั้งเจ็ด ซึ่งในทุกๆ หลายร้อยหรือหลายพันปี หนังสือพยากรณ์เล่มนี้จะเผยคำทำนายของเทพวิญญาณออกมา
และในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ศรัทธาในเทพทั้งเจ็ดจำเป็นต้องมารวมตัวกัน ช่วยกันค้นหาวิธีผ่านการทดสอบของเทพทั้งเจ็ด เพื่อที่จะได้รับคำพยากรณ์ร่วมกันได้
ส่วนบททดสอบของเทพวิญญาณจะแตกต่างกันออกไป มันเต็มไปด้วยทุกประเภทของความแปลกประหลาด จึงไม่มีใครรู้ได้ว่าการทดสอบที่ตนจะต้องเผชิญคืออะไร
บางครั้ง เทพวิญญาณก็อาจจะขอให้คุณทำการพิชิตโลก ซึ่งมันง่าย แต่ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่จะพบเจอกับการทดสอบอันพิสดารที่ยากเกินกว่าจะบรรลุ
ในตอนแรก ทางคริสตจักรแต่ละแห่งไม่ส่งพวกผู้อาวุโส ก็เป็นผู้นำคริสตจักรมาด้วยตนเอง
แต่เนื่องจากเคยมีผู้อาวุโสที่ได้รับการทดสอบจากเจ็ดเทพ โดนถูกขอให้เขาออกไปเต้นรำกับเจ็ดล้านเผ่าพันธุ์ ให้ครบภายในเวลาห้าปี สุดท้ายทางอาวุโสของวิหารก็ยอมแพ้ และไม่กล้าที่จะมาอีกเลย
พวกผู้ใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงมัน
ในท้ายที่สุด การทดสอบนี้จึงมาตกอยู่ในมือของหน้าใหม่ของคริสตจักรแต่ละแห่ง
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่หน้าใหม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะนำคำพยากรณ์กลับมา
แต่ถ้าล้มเหลว ก็แค่ส่งคนใหม่ไปอีกครั้งเรื่องก็จบ
ขณะเดียวกันหน้าใหม่ที่มารับภารกิจนี้ก็จะได้รับรางวัลที่ตกลงกันไว้จากทางโบสถ์
และมันเป็นรางวัลอย่างงาม
ซึ่งคนอื่นๆ อาจจะรู้สึกสนใจเรื่องอะไรพวกนี้ แต่สำหรับแอนนา เธอค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด
เพราะด้วยสถานะปัจจุบันของเธอ ตราบใดที่เธอยังคงสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ต่อไป
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เรื่องรางวัลอะไรนั่นเธอไม่สนใจเลย
แอนนาก้มหน้าลง และถอนหายใจ “เอาเถอะ จะให้ออกไปเลยมันคงจะทำไม่ได้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นก็มาเริ่มแล้วรีบทำให้มันจบๆ ไปดีกว่า”
สองชายหญิงที่กำลังกังวล หันมามองหน้ากันและกัน และเห็นว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่ายได้สลายหายไปแล้ว
…เธอจะไม่สู้แล้วสินะ?
ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมากัน?
ขณะที่ทั้งสองกำลังลังเล พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ยอมถอยกลับมา
ส่วนแอนนา เธอละความสนใจโดยสิ้นเชิงสำหรับเรื่องของสองคนนั้น เพราะสุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นเพียงตัวตนที่อ่อนแอ ขณะที่สิ่งที่เธอจะต้องเผชิญนั้นดูจะเป็นปัญหามากกว่า หญิงสาวจึงตัดสินใจละทิ้งความปรารถนาที่จะต่อสู้ไป
สุดท้าย จึงไม่มีฝ่ายใดคิดลงมือ
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันจบแล้ว ถ้าเช้นนั้นพวกเราก็มาทำสิ่งต่างๆ ให้มันจบลงโดยเร็วเถอะ” ชายผมบลอนด์หัวเราะ
เขากางมือออกไป
ปรากฏถึงกริชที่ดูประณีตขึ้นในมือของเขา
แสงสีทองระเบิดออกมาจากใบมีดอันแหลมคมของกริช
แอนนาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง และกระแทกด้ามของเคียวยาวลงกับพื้นดิน
ตูม!
เพลิงสีดำกระชากขึ้นมาจากเคียวอย่างรุนแรง
แสงสีดำที่ลุกไหม้ ปกคลุมตลอดทั้งตัวแอนนาโดยสิ้นเชิง หากจ้องมองมา จะแลคล้ายกำลังเห็นถึงหุบเหวอันมืดมิดที่ไม่รู้จัก
ซึ่งนี่มันเป็นเพียงแค่การปลดปล่อยพลังของเธอเท่านั้น!
ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าตื่นตานี้ ทำให้สีหน้าของทุกคนต้องแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เมื่อนำตนมาเทียบเปรียบกับหญิงสาวตรงหน้า ชายคนหนึ่งก็ยิ้มหยันให้กับตนเอง เขาคว้าจับสามง่ามจากในอากาศที่ว่างเปล่า และเริ่มร่ายมนตราในจิตใจ
ปรากฏถึงแสงสีม่วงจางๆ ปะทุขึ้นมาจากสามง่าม
หญิงในชุดเขียวเรียกคันธนูยาวออกมา
ชายที่ทั้งร่างถูกปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกหยิบถุงมือออกมา แล้วสวมใส่มัน
เด็กสาวอีกคนหนึ่งหลับตาลง มิได้เอ่ยสิ่งใด ที่ทำก็เพียงยกสองมือขึ้นมากุมจี้ที่แขวนไว้ในอ้อมอก
ผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดไม่ได้เอาอะไรออกมา ทว่ากลับมีคู่ปีกศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ กางออกจากบนแผ่นหลังของเขาอย่างช้าๆ
ทุกชนิดของแสงพรั่งพราวออกมาจากร่างของพวกเขาและเธอ
แล้วแสงทั้งเจ็ดก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
ภายในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า ราวกับรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของผู้ศรัทธาในเทพทั้งเจ็ด มันเริ่มส่งเสียงหึ่งๆสั่นสะเทือนไปทั่ว
หนังสือที่แกะสลักขึ้นจากหินค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ตั้งวางอยู่อย่างเงียบๆ ต่อหน้าคนทั้งเจ็ด
หนังสือมีความสูงเทียบเท่ากับคนสามคนยืนเรียงต่อกัน ตามผิวของมันสลักไปด้วยรูปแบบอันศักดิ์สิทธิ์ และส่งกลิ่นอายของทวยเทพออกมาตลอดเวลา และที่สำคัญหน้าหนังสือปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีร่องรอยของการเปิดมาก่อนเลย
“หนังสือศิลาปรากฏขึ้นแล้ว ทีนี้พวกเราก็สามารถเริ่มต้นกันได้สักที” ชายผมบลอนด์กล่าว
เขาก้าวออกมาข้างหน้า คุกเข่าลงข้างหนึ่ง และกดฝ่ามือตนลงบนผิวของหนังสือศิลา
คนอื่นๆ ก็ก้าวออกมาข้างหน้าเช่นกัน ทั้งหมดคุกเข่าลง และยื่นฝ่ามือออกไป
แอนนาถอนหายใจ แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามข้อปฏิบัติ
สักพักหนึ่ง…
ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าของทั้งเจ็ดคนเริ่มเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความประหลาดใจ
นี่มันไม่ถูกต้อง ตามบันทึกโบราณ เมื่อผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดดำเนินการมาจนถึงขั้นตอนนี้ หนังสือศิลาก็จะทำการเลือกหนึ่งในผู้ศรัทธาของทวยเทพ และมอบบททดสอบแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่คนผู้นั้น
และเมื่อผู้ศรัทธาเสร็จสิ้นการทดสอบ พวกเขาก็จะได้รับคำพยากรณ์ที่เกี่ยวข้องไป
อย่างไรก็ตาม คราวนี้ทำไมหนังสือศิลาถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลยล่ะ?
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ก็สะท้อนออกมาจากภายในหนังสือศิลา
“ลางร้าย!”
“ลางร้ายอันลึกล้ำที่มิอาจแก้ไขได้!”
“นอกเหนือไปจากดินแดนชิงอำนาจ การทำลายล้างอันเป็นประวัติการณ์จักปะทุขึ้น!”
“คำพยากรณ์ของเทพทั้งเจ็ดได้มาถึงจุดสิ้นสุด”
“ผู้ศรัทธาทั้งเจ็ดโปรดจงเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการเผชิญต่อบททดสอบของเทพวิญญาณ เพื่อเปิดใช้งานคำพยากรณ์สุดท้าย!”
………………………………….