กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พยายามรับรู้สภาวะของตนเองอย่างเงียบๆ
กระแสพลังวิญญาณที่วิ่งพล่านไปตอนแรก เวลานี้เริ่มสงบลงระดับหนึ่งแล้ว
ตนเองอาจจะต้องใช้เวลาอีกสองสามวัน ถึงจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่นี้โดยสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้ พลังวิญญาณอาจจะเกิดการปั่นป่วนได้ทุกสถานการณ์
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ที่จะตัดผ่านไปยังขั้นต่อไปในทันที
ลืมมันเถอะ จะช้าจะเร็วอย่างไรซะเขาก็ยังมี ‘แต้มพลังวิญญาณ’ คอยช่วยเหลือ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนที่จะตัดผ่านให้มันเร็วเกินไป
แทนที่จะมามัวเสียเวลาคิดเรื่องยกระดับ กู่ฉิงซานเลือกที่จะหยิบถุงกระเป๋าสีดำออกมา
นี่คือกระเป๋าส่วนตัวของชายชุดคลุมดำ ที่ได้ถูกเปิดออกแล้วโดยความช่วยเหลือจากสามีของราชินีแมงป่อง
แต่น่าเสียดาย ที่ครอบครัวของพวกเขาได้หายไปกันหมดแล้วทั้งสามคน
ดังนั้น กู่ฉิงซานเลยได้เป็นคนแรกที่เปิดดูมัน ว่ามีอะไรอยู่ภายในบ้าง
เพราะท้ายที่สุดนี้ อนาคตในปัจจุบันมันไม่แน่ไม่นอน หากมีอะไรบางอย่างที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แต่เขาไม่ทำ ก็นับว่าเป็นคนโง่แล้ว
เขาล้วงลงไปในกระเป๋าดำใบเล็ก และหยิบเอาเหรียญออกมา
มันคือเหรียญสีน้ำเงินเข้ม
หน้าเหรียญสลักไปด้วยมอนสเตอร์มิติขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับปลาหมึกยักษ์ ในเวลาเดียวกัน มันก็กำลังใช้หนวดยาวเหยียดคว้าจับเรือที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระแสมิติอันโกลาหล
กู่ฉิงซานเพียงแค่ถือเหรียญ ชั้นน้ำแข็งก็เริ่มปกคลุมในมือของเขา
โอ พอเทียบมอนสเตอร์มิติตัวนี้ มอนสเตอร์เลขเจ็ด กลายเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักไปเลย
กู่ฉิงซานพลิกเหรียญไปอีกด้าน แล้วก็เห็นถึงเลขที่สลักไปเบื้องหลัง
“หนึ่งศูนย์เก้า”
กลับกลายเป็นว่านี่คือเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมผู้คนถึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในระหว่างการเดินทางข้ามมิติ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันมีเหรียญอยู่ทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยเหรียญ โดยมีมอนสเตอร์สลักไว้จัดลำดับตามความแข็งแกร่งของมัน แต่มอนสเตอร์เลข หนึ่งศูนย์เก้า ยังน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้!
เรื่องราวพวกนี้ มันเกินกว่าความรู้ ความเข้าใจของกู่ฉิงซานไปแล้ว!
ขนาดผู้อัญเชิญปีศาจอย่างวังเฉิง ทำงานหนักมาครึ่งชีวิตของเขา ยังสะสมได้แค่เหรียญเลขเจ็ดเต็มกล่องเท่านั้นเอง
ขณะที่กู่ฉิงซานขายข้อมูลตัวเอง และทางตลาดมืดได้ให้รางวัลเป็นเหรียญเลขสิบเหรียญ พันเหรียญ สิ่งนี้จึงกระตุ้นให้มืออาชีพมากมายอิจฉาตาร้อน และพากันแกะรอย ลอบติดตามเขา
โดยไม่คาดคิด ชายชุดคลุมดำกลับมีเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ไว้ในครอบครอง!
กู่ฉิงซานมองเข้าไปในกระเป๋าดำเล็กๆ และพบว่าไม่มีเหรียญแบบนี้อยู่อีกแล้ว
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ชายชุดคลุมดำพกเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ติดตัวเพียงเหรียญเดียว
กู่ฉิงซานตรวจสอบเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือ ทันใดนั้นบรรทัดตัวอักษรเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
“เหรียญเลขหนึ่งศูนย์เก้า”
“ด้วยเหรียญนี้ คุณสามารถเรียกตู้เย็นส่วนตัวได้”
“วิธีการใช้ ให้ถือเหรียญเอาไว้ และทำสมาธิ นึกถึงเครื่องดื่มเย็นๆ ในหัวใจของคุณ”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะยกคิ้วขึ้น
การที่ตัวเหรียญสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ด้วยนี่ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ
แบบนี้ใช่หมายความว่า เหรียญยิ่งมีตัวเลขสูง ก็ยิ่งมีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้นใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานส่ายหัว เขารู้สึกว่า ความรู้ความเข้าใจของตนเกี่ยวกับโลกใบนี้มันช่างตื้นเขินเหลือเกิน
วังเฉิงเป็นคนที่เกือบจะรู้หนังสือ แต่ยังมีตัวอักษรบางตัวที่เขาอ่านไม่ออก และความรู้ของเขานั้นยังตื้นเขินเกินไป กระทั่งสกิลอัญเชิญภูตผี ก็ยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น
วังเฉิงใช้เวลาทั้งชีวิต จวบจนวาระสุดท้าย เขาก็ทำได้แค่เก็บเหรียญเลขเจ็ดดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า ในมือของกู่ฉิงซาน เกรงว่าเลขห้าสิบเขาก็ยังไม่เคยจะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ
แม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้รับความทรงจำจากวังเฉิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยความทรงจำนี้เอง ที่ทำให้กู่ฉิงซานกลายเป็นคนโง่ไป
เหมือนตัวอย่างเช่นในเวลานี้
ดังนั้น เขาคงต้องหาคนที่มีความรู้มากกว่านี้ แล้วทำการค้นจิตวิญญาณอีกฝ่าย เพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานเริ่มพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
ขณะที่เขากำลังทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เจ้าตัวก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเงียบๆ ในใจว่า “ขอเครื่องดื่มเย็นๆ”
โครม!
บนหน้าเหรียญ ปลาหมึกยักษ์พลันพ่นกล่องไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีความสูงเทียบเท่ากับคนคนหนึ่งออกมา
กู่ฉิงซานเร่งพรวดตัวไปข้างกล่องไม้ ใช้สองมือประคองมัน ให้มันหยั่งรากมั่นคงกับผืนทราย
เขาเปิดกล่องไม้ดู และพบว่าภายในของมันถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้น มันเต็มไปด้วยขวดไวน์
กู่ฉิงซานกลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็หยิบมาสองสามขวด และลิ้มรสมันดู
ไม่นาน กู่ฉิงซานกก็ค้นพบว่าอุณหภูมิชั้นแรกของกล่องไม้อยู่ที่ประมาณสิบถึงสิบหกองศา เป็นส่วนที่มีไว้ใช้เก็บไวน์ผลไม้ที่มีรสชาติบางเบา
ในชั้นสอง อุณหภูมิอยู่ประมาณเจ็ดถึงเก้าองศา บางเครื่องดื่มก็ยังมีรสเบาอยู่
แต่ชั้นสามนี่แหละคือแก่นแท้ เพราะมันมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก และมีไวน์ฤทธิ์แรงมากมายอยู่ภายใน
‘หา? เจ้าหมอนี่มันนักดื่มตัวยงเลยนี่นา’
แต่น่าเสียดาย ที่เขากับมันเป็นศัตรูกัน มิฉะนั้นอาจจะดื่มกันถูกคอก็ได้
กู่ฉิงซานเก็บตู้เย็นด้วยความพึงพอใจ และเก็บเหรียญ หนึ่งศูนย์เก้า ไว้กับตัวเองอย่างระมัดระวัง
หลังจากทั้งหมดนี้ เขาก็เริ่มสำรวจดูกระเป๋าดำอีกครั้ง
นอกเหนือไปจากเหรียญเลข หนึ่งศูนย์เก้า แล้วภายในกระเป๋าดำ ยังเต็มไปด้วยกองเหรียญ ทั้งหมดล้วนเป็นเลขสิบ
โชคหล่นทับโดยแท้!
กู่ฉิงซานตัดสินใจว่า ถ้าราชินีแมงป่องปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาจะแบ่งปันกองเหรียญนี้ให้แก่เธอ
ในเรื่องการแบ่งเงิน เขาจะแบ่งปันอย่างยุติธรรมแน่นอน
แน่นอนว่าจะขาดทุนเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา เหรียญเลขสิบเหล่านี้ เขาจะยอมให้อีกฝั่งหยิบไปเท่าไหร่ก็ได้ แล้วค่อยรับที่เหลือเอาไว้เอง
แต่ในส่วนของ…
อืม… ในส่วนของตู้เย็นคงไม่จำเป็นต้องให้เธอได้เห็นมันหรอกมั้ง
ในถุงกระเป๋าใบเล็กๆ นอกเหนือไปจากเหรียญเหล่านี้แล้ว
มันก็ไม่มีอะไรอีกเลย แม้กระทั่งหนังสือไพ่ของชายชุดคลุมดำ
ตรงส่วนนี้ทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกเสียดายไม่น้อย
เขาเก็บทุกอย่างไว้ และเบนสายตามองไปทางตลาดมืด
ช่วงเวลาปัจจุบัน เสียงอึกทึกบนท้องฟ้าค่อยเริ่มสงบลง
ยานอวกาศที่ร่วงตกลงมา ล้วนได้รับการจัดการต่อโดยทางตลาดมืด
เกือบทุกคนที่ขึ้นยานอวกาศไป ล้วนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นหากกล่าวถึงในแง่ความแข็งแกร่งรายบุคคล มันย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตายลงในอุบัติเหตุนี้
ถ้าไม่ใช่เพื่อประหยัดพลังงานและหลีกเลี่ยงมอนสเตอร์มิติล่ะก็ ทุกคนย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ยานเลย ที่พวกเขาใช้มัน ก็เพื่อแค่ต้องการใช้ยานเป็นที่หลบซ่อนตัวจากมอนสเตอร์มิติก็เท่านั้นเอง
แม้กำแพงเนื้ออันน่าสะพรึงจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
แม้ว่ายานอวกาศจะร่วงตกลงลำแล้วลำเล่า
แม้จะมีการจลาจล และการต่อสู้เกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกัน
แต่ผู้คนที่จ่ายค่าเดินทางไปล้วนไม่สนใจ ทั้งหมดต่างตรงไปยังท่าเรือและตะโกนขอเงินคืน
กระทั่งบางคนที่เป็นถึงตัวตนทรงอำนาจ ก็ยังมีจำนวนหนึ่งที่ลดตัวลงมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
กู่ฉิงซานเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
โลกทั้งใบถูกกลืนเข้ามาในท้องของแมลงปีศาจเขมือบโลกาจากยุคบรรพกาล
แต่คนเหล่านี้กลับเมินเฉย และยังต้องการทวงถามกับทางตลาดมืดเพื่อขอเงินคืน
เงินมันสำคัญกว่าชีวิตขนาดนั้นเลยหรือ?
กู่ฉิงซานส่ายหัว
อย่างไรก็ตาม พอพูดถึงปัญหาเรื่องเงินแล้ว …
นั่นสินะ การเดินทางในมิติของดินแดนชิงอำนาจ เป็นอะไรที่ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดแล้ว
อย่างเรืออวกาศของกู่ฉิงซาน เขาใช้เงินไปทั้งหมดยี่สิบเจ็ดเหรียญ
ยี่สิบเจ็ดเหรียญเชียวนะ!
เหรียญเลขสิบด้วย!
ด้วยเงินจำนวนนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะครอบคลุมทุกการใช้จ่ายของกู่ฉิงซานในตลาดมืดนานนับสิบปี!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มเคลื่อนกายตรงไปยังทิศทางของท่าเรือ
ผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็ปลอมกลับไปเป็นวังเฉิงอีกครั้ง
…
อีกด้านหนึ่ง
คนคุ้มกันของวิหารแห่งความตาย และวิหารแห่งโชคชะตาก็ได้มาถึงใจกลางของดินแดนชิงอำนาจ
พวกเขามาที่นี่เพื่อรับซูเค่อเอ๋อกับแอนนา
หญิงสาวทั้งสองบอกลากัน
“หมายความว่า เธอคือน้องสาวของซูเซี่ยเอ๋ออย่างงั้นเหรอ?” แอนนาถาม
ซูเค่อเอ๋อมองเธอและกล่าว “ใช่ พี่สาวของหนูยังบอกอีกด้วยนะว่าคุณน่ะไม่ใช่คนดี และต้องการจะฆ่าคุณอยู่เสมอ แต่เธอก็เคยบอกเหมือนกันว่าคุณเคยช่วยชีวิตเธอไว้ นี่มันฟังดูน่าสับสนจริงๆ”
“ดังนั้น ซูเซี่ยเอ๋อเลยบอกให้เธอหาโอกาสฆ่าฉันใช่ไหม?” แอนนากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ เดิมทีหนูเตรียมการที่จะลงมือกับคุณเอาไว้แล้ว” สีหน้าของซูเค่อเอ๋อแลดูซับซ้อน “แต่ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ พอหนูส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไป ขณะที่ทุกคนตัดสินใจจะหลบหนี คุณกลับตัดสินใจมาช่วยหนูอย่างห้าวหาญ”
ซูเค่อเอ๋อกล่าวต่อ “ฉะนั้น ไม่ว่าพี่สาวของหนูจะต้องการแบบไหน แต่หนูก็ไม่มีทางเนรคุณคน”
แอนนาเอ่ยด้วยความสงสัย “ก็แล้วถ้าพี่สาวของเธอคิดว่าฉันเป็นตัวปัญหา งั้นทำไมเจ้าตัวถึงไม่ยอมมาจัดการด้วยตัวเองกันล่ะ?”
“นั่นเพราะเธอกำลังเข้าร่วมการทดสอบของผู้ใช้ไพ่ และไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานแล้ว” ซูเค่อเอ๋อกล่าว
ซูเค่อเอ๋อคิดสักพัก เอ่ยต่อ “พี่สาวแอนนา คุณรู้ไหมว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน?”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงถามถึงเขา?” แอนนาเผยท่าทีตื่นตัว
เธอกวาดสายตามองซูเค่อเอ๋อขึ้นๆ ลงๆ
และพบว่าภาพลักษณ์ของซูเค่อเอ๋อกับพี่สาวตัวเองนั้นแตกต่างกันทั้งหมด
แต่ว่าในเรื่องของนม…
แอนนาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงตอนที่เธอไปช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋อในมหาวิทยาลัย
ซูเค่อเอ๋อกล่าว “เพราะหนูอยากจะรู้ ว่าคนแบบไหนกันนะที่สามารถทำให้หญิงสาวที่แสนเลิศเลอทั้งสองเกลียดชังกันได้ หนูอยากจะเจอเขา”
แอนนากำลังจะกล่าว แต่ในจังหวะนั้นเอง คนจากวิหารแห่งความตายก็ได้แทรกเข้ามา และยื่นหนังสือปกดำให้แก่เธอ
นี่คือหนังสือเวียน ที่ใช้แจ้งเตือนเกี่ยวกับเรื่องความลับของวิหารแห่งความตาย ซึ่งโดยปกติแล้วมันมักจะแสดงต่อบุคคลภายในที่มีสถานะเท่านั้น
แอนนาก้มลงอ่าน
มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายในวิหารเมื่อเร็วๆ นี้
ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย สักพักเลยถึงยื่นข้อมูลนี้กลับไปให้อีกฝ่าย
“ฉันรับทราบแล้ว มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องเอามารบกวนฉันในตอนนี้” แอนนากล่าว
อีกฝ่ายโค้งกายรับคำ และถอยจากไป
แอนนาหันกลับมา มองไปทางซูเค่อเอ๋อ “ฉันไม่ได้เกลียดพี่สาวของเธอ”
“คุณไม่ได้เกลียดเธอหรอกเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอคือคู่แข่งความรักของคุณ?” ซูเค่อเอ๋ออุทาน
แอนนากล่าวเสียงอ่อน “เรื่องของความรู้สึกน่ะเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไม่ยอมให้พี่สาวของเธอมาทำลายความงดงามในจิตใจของฉันหรอก นอกจากนี้ แม้พี่สาวของเธอจะเป็นคนซื่อๆ และคลั่งไคล้ไปกับสิ่งเล็กน้อยมากเกินความจำเป็น แต่ก็ยังเป็นคนดี”
ซูเค่อเอ๋อจ้องมองแอนนา กล่าวเสียงกระซิบ “นี่คุณมองเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ?”
แอนนา “อืม สุดท้ายแล้วฉันจะบอกเธอนะ ว่ากู่ฉิงซานน่ะอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ส่วนพิกัดของสถานที่ฉันในตอนนี้ฉันยังไม่รู้ แต่ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูน่าจะรู้ ฉะนั้นเธอสามารถกลับไปโลกเดิมของพี่สาวเธอ แล้วถามไถ่จากสองคนนี้ได้”
“แต่เธอควรที่จะต้องใส่ใจ เพราะเมื่อเธอไปหากู่ฉิงซาน เธอจะไม่สามารถกลับมาที่ดินแดนชิงอำนาจได้ชั่วคราว”
ว่าจบ เจ้าตัวก็หันหลังเดินจากไป
ซูเค่อเอ๋อนิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม เฝ้ามองแอนนาออกเดินทาง
จนกระทั่งยานอวกาศของวิหารแห่งความตายจากไป ซูเค่อเอ๋อก็ยังไม่คิดเคลื่อนไหว
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าฉันจะได้เป็นเทพรึเปล่า ตราบใดที่ฉันสามารถหาเขาจนเจอได้…”
ซูเค่อเอ๋อเอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
“แต่ คุณดันบอกว่า… ไม่ได้รังเกียจซูเซี่ยเอ๋อ”
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”
เธอคิดอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก แล้วก็เริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นเอง เธอก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน “หนังสือปกดำที่แอนนาอ่านเมื่อครู่นี้มีเนื้อหาว่าอย่างไร?”
คนคุ้มกันวิหารที่ยืนอยู่เบื้องหลังมองหน้ากันและกัน
คนคุ้มกันชราเอ่ยรายงาน “หนังสือเล่มนั้นคล้ายกับว่าจะเป็นหนังสือเวียน ที่คอยสรุปข่าวสารภายในที่ใช้กันในวิหารแห่งความตาย”
“แล้วพวกเราสามารถได้รับข้อมูลที่ว่านั่นมาได้ไหม?”
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางวิหารอื่น พวกเรามักจะรวบรวมข่าวสารเอาไว้เสมอ ดังนั้นตราบใดที่มันไม่ใช่ความลับจนเกินไป ย่อมสามารถล่วงรู้ได้”
“ดีมาก หนูอยากจะดูมันตอนนี้เลย”
“รับทราบ โปรดรอสักครู่”
หลังจากนั้นไม่นาน
หนังสือปกขาวก็ถูกนำออกมา
ซูเค่อเอ๋อกวาดตาอ่านมันอย่างรวดเร็ว
คิ้วของเธอยกสูงขึ้น ปากเปล่งเสียงกระซิบ “เห็นได้ชัดว่าเขาถูกออกหมายจับโดยทางวิหารของแก แต่แกกลับหลอกลวงฉันให้ออกจากดินแดนชิงอำนาจไป…”
หมอกสีเทาเริ่มเล็ดลอดออกมาจากตัวเธออย่างมิอาจควบคุมได้
พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านของเธอ ทำให้ยานอวกาศของวิหารแห่งโชคชะตาเกิดการสั่นไหว
“เกิดอะไรขึ้น?”
หนึ่งในผู้ส่งสารรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงออกมาจากยาน
เขามองไปยังใบหน้าเย็นฉ่ำของหญิงสาวตรงหน้า อดเอ่ยถามไม่ได้ “มีใครในวิหารแห่งความตายล่วงเกินท่านหรือเปล่า? ‘ท่านหญิงซูเซี่ยเอ๋อ’”
………………………..