“เจ้าแน่ใจหรือว่ายังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ?” เต่าน้อยมองลึกเข้าไปในดวงตาของกู่ฉิงซาน
“ใช่ เพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวที่ข้าจะสามารถค้นหาดาบนภา” กู่ฉิงซานกล่าว
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อดาบพิภพ?” เต่าน้อยถามต่อ
“ถูกต้อง”
เต่าน้อยส่ายหัว
“เอาเถิด ตามที่เจ้าต้องการ แต่จงอย่าลืมว่าโอกาสที่เจ้าจักรอดชีวิตไปได้ มีน้อยนิดยิ่ง”
มันมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งสุดท้าย และหายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย
มันได้จากไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ยุคโบราณ มันทำได้เพียงบอกสถานการณ์ให้แก่กู่ฉิงซาน แต่มิอาจบังคับการตัดสินใจของเขา
กู่ฉิงซานเงียบงันไปชั่วขณะ
ฉานนู่กล่าวปลอบประโลม “นายน้อยโปรดวางใจ เพราะอย่างไรท่านก็ยังมีโอกาสอีกเป็นหลายร้อยครั้ง”
กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่คิดเช่นนั้น ฉานนู่ พวกเราไม่ควรประมาท แต่ต้องระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม จำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ที่พบกับร่างแสงทมิฬ ข้าไม่ทราบว่ามันจะมีความสามารถอะไรแปลกๆ อีกหรือไม่ เนื่องจากมันเป็นการดำรงอยู่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฉะนั้นหากมันมีความสามารถในการแอบดูอดีตได้ มันก็อาจจะมีความสามารถในการย้อนจากอนาคต เข้าสู่โลกภาพทับซ้อนยุคโบราณนี้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้อยู่ด้วยก็ได้”
เขาคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปากเอ่ยพึมพำ “หากมีโอกาส…เกรงว่ามันคงไม่คิดสังหารข้า หากแต่เป็นเข้าสิงร่างข้าแทน แล้วอาจเข้าควบคุมจิตวิญญาณข้า หรือใช้วิธีการอื่นๆ ที่เราไม่อาจจินตนาการ…”
ฉานนู่พอได้ฟังก็ขนลุกซู่ “นายน้อย แบบนั้นฟังดูไม่ดีเลย”
“ข้าเพียงคาดเดาเผื่อไว้เท่านั้น สิ่งที่แทรกแซงเข้ามา อาจจะไม่ใช่มันก็ได้ แต่เนื่องจากเจ้าสิ่งนั้นสามารถเข้าสู่ภาพทับซ้อนยุคโบราณได้ และยังมีเป้าหมายคือข้า ฉะนั้น มันย่อมต้องล่วงรู้อย่างแน่นอนว่าข้ากำลังมาทำอะไรที่นี่”
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “มันจะต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานมหาศาลในการเตรียมการล่วงหน้า นี่คือสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ข้าพอจะล่วงรู้ ทว่าขณะเดียวกัน เกรงว่าบางทีมันอาจจะล่วงรู้เช่นกันว่าข้ามีโอกาสสามารถย้อนกลับมาที่นี่ได้อีกหลายร้อยครั้ง”
“ทั้งๆ ที่รู้เรื่องนี้ แต่มันก็ยังเลือกที่จะมา” ฉานนู่พึมพำกับตัวเอง
ในช่วงเวลานั้นเอง เธอก็คล้ายตระหนักได้ถึงวิกฤติของสถานการณ์
“อย่างที่เจ้าคิด ไม่สำคัญว่ามันคือสิ่งใด หากแต่ว่าตั้งแต่ที่มันมาจากอนาคต ฉะนั้นมันย่อมล่วงรู้ในหลายสิ่งที่เราไม่ทราบ ข้าคิดว่ามันคงเตรียมวิธีการที่จะจับตัวข้าเอาไว้แล้วแน่ๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉานนู่เป็นกังวล “นายน้อย เช่นนั้นพวกเราออกไปจากโลกทับซ้อนใบนี้เลยดีหรือไม่?”
กู่ฉิงซานยิ้ม “จะให้จากไป? ตราบใดที่พวกเรายังไม่อาจค้นพบดาบนภา พวกเราจะไม่จากไป”
“นายน้อย…”
“วางใจเถอะ ตัวตนในปัจจุบันของข้าถูกเก็บเป็นความลับโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งทวยเทพก็ไม่ง่ายนักที่จะค้นพบ”
กู่ฉิงซานตริตรอง แล้วกล่าวต่อ “หรือในอีกกรณีหนึ่ง หากพลังของมันแข็งกร้าวกว่าเทพวิญญาณ และสามารถเดินทางข้ามกาลเวลาได้นับครั้งไม่ถ้วน จนกลับมาสู่ยุคโบราณจากในอนาคต และสามารถหาข้าพบได้โดยตรง แบบนั้นไม่ว่าพวกเราจะย้อนเวลากลับมาซ้ำๆ ได้อีกกี่ครั้งก็ตาม สุดท้ายก็สู้มันไม่ได้อยู่ดี”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้เลยมากกว่านะนายน้อย”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ”
…
กระแสห้วงเวลากลับมาเป็นปกติ
กู่ฉิงซานคว้ารับตราประจำตัวจากมือรองนายพล กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมาก”
“อืม ใครก็ได้ มาพาเขาไปพบกับเพื่อนร่วมงานใหม่ของเขาให้แก่ข้าที”
“รับทราบ”
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก้าวออกมา และเดินนำกู่ฉิงซานออกสู่ภายนอก
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานได้รู้จักกับพ่อครัวประจำค่ายทหารอย่างรวดเร็ว และได้เป็นเพื่อนกับพ่อครัวอยู่หลายคน
เมื่อช่วงค่ำ เขาก็ได้เข้าร่วมในการจัดเตรียมอาหารเย็น
ด้วยเทคนิคการปรุงอาหารวิญญาณอันยอดเยี่ยมของเขา และการเคลื่อนไหวอันปราดเปรียว ทำให้งานดำเนินไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น ส่งผลให้เขากลมกลืนเข้ากับกลุ่มของพ่อครัวได้อย่างง่ายดาย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ใด ผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง อย่างไรซะก็ย่อมต้องได้รับการยอมรับจากผู้คน
หลังจบช่วงมื้ออาหารของทางค่ายทหารจบลง ผู้ฝึกยุทธก็หยุดทานอาหารกัน ช่วงเวลาอันน่าเหนื่อยหน่ายของเหล่าพ่อครัวผ่านพ้นไป
กู่ฉิงซานเกิดความคิดริเริ่มที่จะยืนขึ้นอีกครั้งอย่างแข็งขัน ตรงไปที่ห้องครัว หยิบเครื่องเคียงมาหลายส่วน และปรุงอาหารเล็กๆ น้อยๆ แก่กลุ่มพ่อครัว
แต่ละจานล้วนมีรสชาติดียิ่ง มันอร่อยกว่าอาหารที่ทางค่ายทหารทำไว้เสียอีก
เขาจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
“อืม ไอ้หนูจางเสี่ยวหยุน ฝีมือเจ้านี่มันไม่เลวเลยนะ ไปร่ำเรียนการปรุงอาหารวิญญาณมาจากที่ใดกัน?” อาวุโสซางเอ่ยถาม
“สืบทอดมาจากครอบครัวน่ะ” กู่ฉิงซานยิ้ม
“โอ้? งั้นบิดาเจ้าก็เป็นพ่อครัวด้วยใช่หรือไม่? เขาทำงานอยู่ที่ค่ายทหารไหนล่ะ?” อาวุโสซางถามด้วยความสนใจ
“เขาได้ล่วงลับไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่โลกบรรพกาลบุกเข้ามา”
“แล้วครอบครัวคนอื่นๆ เล่า?”
“จากไปจนหมดสิ้น”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ขออภัยจริงๆ ที่เอ่ยถาม”
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” กู่ฉิงซานยิ้ม
อาวุโสซางคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “พวกเราที่นี่ไม่ได้มีกฎเคร่งครัดอะไร ฉะนั้น ตราบใดที่เจ้าเตรียมอาหารวิญญาณจนเสร็จสิ้น เจ้าก็สามารถใช้เวลาอื่นๆ ที่เหลือไปพักผ่อนได้ อย่างในทิศทางตะวันออกเฉียงใต้เองก็มีตลาดอยู่ เจ้าสามารถไปซื้อของที่ต้องการตามสะดวก นี่ไม่นับว่าเป็นอะไร”
กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่าย เขาประสานกำปั้น “ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ หัวหน้าซาง”
ในช่วงเวลานั้นเอง พ่อครัวคนอื่นๆ ก็สะกิดอาวุโสซางอย่างเงียบๆ และกระซิบบอกเขา “หัวหน้า พวกเราน่าจะบอกเรื่องนั้นกับเขาได้แล้วนะ”
อาวุโสซางหันกลับไปมอง และกล่าว “แต่เขายังเด็กเกินไป…”
พ่อครัวอีกคนแม้จะไม่ยินยอม แต่ในเมื่อหัวหน้าได้แสดงทัศนคติออกมาแล้ว เขาก็จำต้องปิดปากเงียบและหัวเราะกลบเกลื่อน
“ลุงลู่ มันคือเรื่องอะไรหรือ สามารถบอกข้ามาตรงๆ เลยก็ได้นะ มันไม่เป็นอะไรหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ
ชายที่ถูกเรียกว่าลุงลู่กล่าว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเนื้อที่พวกเรานำมาทำอาหารวิญญาณ แท้จริงแล้วมาจากที่ใด?”
“ข้าไม่ทราบ”
“มันคือเนื้อของมอนสเตอร์บรรพกาล!”
“อะไรนะ! นี่พวกเรากำลังกินเนื้อของพวกมันอยู่งั้นหรือ?” กู่ฉิงซานอุทาน
ลุงลู่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มไม่หวาดกลัว แต่กลับกลายเป็นรู้สึกสนใจแทน ในหัวใจของเขาก็ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย
เขากล่าวต่อ “ถูกต้อง เนื้อพวกนี้เป็นของดีสำหรับผู้ฝึกยุทธ ดังนั้น ในแต่ละการปะทะกันระหว่างแนวหน้า จึงมักจะมีมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนถูกจับขนส่งมายังแนวหลัง”
“ได้โปรดกล่าวต่อ” กู่ฉิงซานเร่งเร้า
ลุงลู่กล่าวว่า “หากมอนสเตอร์เหล่านี้ตายไปเป็นเวลานานแล้ว เนื้อของมันก็จะไม่สามารถกินได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่มอนสเตอร์เหล่านี้ถูกกำจัดโดยเหล่าผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจะยังให้มันคงลมหายใจรวยรินเอาไว้อยู่ จากนั้นก็ส่งตรงมายังกองพลสำรองที่ยี่สิบสามของพวกเรา ให้ผลัดเปลี่ยนกันไปฆ่ามัน แล้วเอาเนื้อมาทำอาหาร”
“จากนั้นเล่า?” กู่ฉิงซานถามต่อ
“จากนั้น…เดือนนี้เป็นตาของค่ายเราที่จะต้องส่งหลายคนไปยังที่นั่น เจ้าสามารถเลือกที่จะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะออกไปลองทำมันดูก็ได้” ลุงลู่กล่าว
“ไร้สาระ! เขายังเด็กอยู่ หากได้ไปเห็นมอนสเตอร์เหล่านั้นเข้า แล้วเกิดหวาดกลัวจนตายขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น? ลองเป็นเจ้า เจ้ากล้าที่จะไปฆ่าพวกมันหรือไม่?” อาวุโสซางตวาด
พ่อครัวอีกคนหนึ่งก็เริ่มแนะนำว่า “นั่นสิตาแก่ลู่ จางเสี่ยวหยุนยังเด็กอยู่เลย ขนาดพวกเราพอได้เห็นมอนสเตอร์พวกนั้นก็ยังหวาดกลัว นับประสาอะไรกับวัยรุ่นอย่างเขา”
ลุงลู่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนับสนุน เขาก็เอ่ยพึมพำอย่างไม่มีความสุข “อย่างไรซะก็เป็นพ่อครัวเหมือนกัน อายุมันเกี่ยวข้องรึไง?”
“ถูกต้อง เป็นอย่างที่ท่านกล่าว” กู่ฉิงซานปรบมือ
อื๋อ?
สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?
พ่อครัวหลายคนมองไปทางกู่ฉิงซาน
พวกเขาค้นพบว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานไม่เพียงไร้ซึ่งความหวาดกลัว ทว่ากระทั่งดวงตาของเขาก็ยังเปล่งประกาย
กู่ฉิงซานประสานกำปั้นไปทางอาวุโสซาง กล่าวเฉียบขาด “หัวหน้าซาง ได้โปรดให้ข้าได้ทดลองดูเถอะ”
อาวุโสซางกวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ และกล่าว “ในโรงเชือด มันเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและเนื้อ ช่วงก่อนที่มอนสเตอร์จะตาย มันจักส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนา มันจะดิ้นจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว และเลือดเหล่านั้นย่อมสาดโดนเจ้าจนเปรอะเปื้อน”
“และการสังหารมอนสเตอร์เหล่านั้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นในรูปแบบของการทำงานช่วงห้าวันเต็มๆ ในห้าวัน เจ้าจะต้องสังหารมอนสเตอร์ตลอดเวลา แม้ว่าเจ้าจะกลัวตาย แต่เจ้าก็มิอาจหลบหนีได้ จางเสี่ยวหยุนเจ้าลองคิดดูให้มันดีๆ ก่อนเถอะ”
กู่ฉิงซานยิ้มกว้างด้วยความสุข “ท่านโปรดวางใจ อันที่จริงแล้ว อาชีพที่แท้จริงของข้าคือคนแล่เนื้อส่วนอาชีพอาหารหาเลี้ยงชีพคือคนปรุงอาหารวิญญาณ”
“คนแล่เนื้อ? งั้นหมายความว่าเจ้าก็เคยสังหารมารอสูรมาเยอะแล้วสิ?” ลุงลู่ถามด้วยความสนใจ
กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “สังหารไปมากทีเดียว และอย่างอื่นข้าก็ยังพอจะสังหารมันได้ กล่าวโดยสังเขป เอาเป็นว่าข้าเชี่ยวชาญมันมากกว่าการปรุงอาหารวิญญาณก็แล้วกัน”
เขายิ้มให้กับพ่อครัวคนอื่นๆ “ทุกท่านโปรดมั่นใจ ในส่วนของเดือนนี้ข้าจะไปเอง และขอให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้ค่ายของเราต้องอับอาย”
ทุกคนมองรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แล้วพากันพยักหน้าอย่างลึกลับ
อย่างไรก็ตาม แผ่นหลังของทุกคนกลับรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย
…
ยังคงอยู่ในโลกสมัยโบราณ
ณ ดินแดนอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกไปจากกู่ฉิงซาน
ที่นี่คือดินแดนรกร้าง
ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามา
มอนสเตอร์บรรพกาลเองก็มิได้โจมตีที่นี่ เพราะดินแดนแถบนี้มีขนาดกว้างเกินไป และมันไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเลย ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ
ตามสามัญสำนึก สถานที่เช่นนี้สมควรจะถูกทิ้งร้าง และหายไปตามกาลเวลา
แต่ในวันนี้ ก่อนที่กู่ฉิงซานกับเต่าน้อยจะมาพบเจอกัน ได้บังเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นที่นี่
เหรียญหนึ่งได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
มันเป็นเหรียญที่ดูพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นสีแดงเลือด แตกต่างจากเหรียญทั้งหมดในดินแดนชิงอำนาจ
มันยังคงโคจรอยู่บนท้องฟ้า และในที่สุดก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ทันทีที่เหรียญแตกออก ท้องฟ้าตลอดทั้งผืนก็พลันถูกบดบังด้วยทะเลแสง
ทะเลแสงส่องลงมากระทบกับทุ่งรกร้าง ถาโถมเป็นคลื่นอันเชี่ยวกราดลงบนทุ่ง
หนึ่งลมหายใจ
สองลมหายใจ
สามลงหายใจ
ในไม่ช้า ท่ามกลางทะเลแสง ร่างหนึ่งก็พลันยืนหยัดขึ้น
พร้อมกันกับทะเลแสงอันกว้างใหญ่ที่กระจายหายไปในทันที
บนพื้นที่ว่างเปล่า หลงเหลือเพียงร่างหนึ่งที่ยืนอยู่
ท่ามกลางสายลม
ร่างนั้นเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ
“ในที่สุดก็มาถึงที่นี่”
“ตั้งแต่ที่ข้ามาถึง ในอนาคตก็ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ อีกต่อไป…”
เสียงของเขาฟุ้งไปด้วยความเคียดแค้นและเจตนาฆ่า แต่ยังคงพยายามที่จะรักษากระแสเสียงให้มั่นคง สักพักเอ่ยเย้ยหยันออกมา
“ช่างน่าสมเพชนัก ที่ในเวลานี้เจ้ายังคงไล่ตามหาดาบอยู่”
“ตราบใดที่ข้าหาเจ้าพบในเวลานี้ และจับตัวเจ้าได้ ข้าจักกักขังดวงวิญญาณเจ้า! กักขังมิให้เล็ดลอดออกไปที่ใด เพื่อที่ในอนาคตจะมิเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก”
“และข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อทัณฑ์ทรมานจิตวิญญาณของเจ้า”
“จอมเชือดเทพเจ้า กู่ฉิงซาน!”
………………………………….
Related