กู่ฉิงซานมองสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเล็กที่มีเปลวเพลิงบนคิ้วจนอดที่จะกรีดร้องออกมาไม่ได้
นี่มันเทพขนาดย่อส่วนไม่ใช่หรือ
หรือถ้าเอาตามคำพูดของคนคนนี้ นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวที่คงอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนด
จุดแสงวูบไหวนับไม่ถ้วนจัดองค์ประกอบจนเกิดเป็นภาพ เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้มากมายตรงหน้ากู่ฉิงซาน
ชายคนนั้นยังคงพูดต่อไป
“ในส่วนของสิ่งประดิษฐ์วิญญาณ ข้าใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวตลอดเวลาของฝั่งเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนพลังเวทมนตร์ จากนั้นใช้องค์ประกอบโกลาหลอย่างสร้างสรรค์เพื่อสร้างพลังเวทมนตร์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นมา”
“หากอธิบายให้เจาะจงหน่อย มันคือการทำให้สิ่งประดิษฐ์วิญญาณนี้มีพลังที่จะทำลายกฎเกณฑ์ต่างๆ”
ชายคนนั้นเอื้อมมือไปแตะร่างของเทพขนาดเล็ก
“ดูนี่สิ นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครเคยศึกษาจนสำเร็จมาก่อน มันช่างน่าสนใจจริงๆ”
ขณะกล่าวเช่นนี้ เทพขนาดเล็กลืมตาขึ้น
เทพขนาดเล็กมีใบหน้าหมองหม่น น้ำเสียงที่พูดไม่เต็มไปด้วยอารมณ์แม้แต่นิดเดียว
“ข้าคือผู้ให้วิญญาณอัคคี เจ้าต้องการต่อสู้หรือไม่”
ชายคนนั้นกล่าวว่า “การต่อสู้กำลังจะเริ่มแล้ว โปรดมอบพลังวิญญาณอัคคีให้ข้าด้วย”
เทพขนาดเล็กบินไปอยู่หลังชายคนนั้นก่อนยื่นมือไปหาอีกฝ่าย
เปลวเพลิงปะทุออกจากคนคนนั้น
เขาหยิบปืนกลออกมาอย่างไม่ใส่ใจขณะกึ่งอธิบายกึ่งพูดกับตัวเองว่า “ข้ามีพลังวิญญาณวายุ สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวจะมอบพลังจิตอย่างที่สองให้เพื่อเสริมสร้างความสามารถต่อสู้ส่วนตัวของข้า”
เขาทำการเหนี่ยวไก
‘ปังๆ ปังๆ!’
ปืนกลสาดกระสุนที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงออกไป
ไกลหลายสิบเมตรจากคนคนนั้น เป้าจำนวนมากที่ถูกยิงโดยกระสุนถูกฟันเป็นหลายส่วนทันที แต่ละส่วนถูกเปลวเพลิงกลืนกินก่อนกลายเป็นเถ้าถ่านในเวลาอันสั้น
“ปืนทางฝั่งเทคโนโลยีมีพลังฟาดฟันของวิญญาณวายุ ผนึกกับการเผาไหม้และทำลายล้างของวิญญาณอัคคี ส่วนตัวข้าแล้วคิดว่าการสร้างอาวุธในครั้งนี้มันช่างน่าสนใจนัก”
ชายคนนั้นกล่าวอย่างมีชัย
เขาวางปืนกลลงก่อนหยิบกริชแหลมคมอีกเล่มขึ้นมา
ขณะกวัดแกว่งกริชอย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงโค้งพุ่งออกจากกริชก่อนฟาดฟันใส่เป้าที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
‘ฉัวะ!’
เป้าถูกฟันเป็นสองส่วนก่อนถูกเปลวเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว
มันคือการผสานของวายุและอัคคีอย่างสมบูรณ์แบบ
กู่ฉิงซานอดที่จะสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
คนคนนี้ครอบครองพลังจิตสองแบบในเวลาเดียวกัน พลังนี้ย่อมเป็นการทำลายพันธนาการของกฎเกณฑ์ดังที่คนคนนั้นกล่าว
ถ้ามันมีเท่านี้ก็ยังไม่เท่าไหร่
แต่มันยังไม่จบ เขาเห็นว่าคนคนนั้นแตะตัวเทพขนาดเล็ก
เขาเห็นเทพขนาดเล็กเปลี่ยนกลับไปเป็นกลุ่มแสงสว่าง กลุ่มแสงสว่างดังกล่าวไม่ขยับไปไหน
ชายคนนั้นกล่าวต่อว่า
“ความจริง นอกจากพลังของฝั่งเวทมนตร์แล้ว ข้ายังพยายามถ่ายพลังหลายหลากรูปแบบเข้าไปอีกด้วย นั่นรวมถึงฝั่งลี้ลับ ฝั่งบรรพกาล ฝั่งเทคโนโลยี ฝั่งมาร ฝั่งความว่างเปล่าและฝั่งอื่นๆ อีกมากมาย สรุปก็คือ ข้าได้ทำการสร้างและผสานพลังเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ชายคนนั้นกล่าว
เขาเห็นอีกฝ่ายคลิ้กบอลแสงอีกลูก
บอลแสงพลันกระจายตัวเป็นจุดเรืองรองก่อนจมเข้าสู่ร่างของคนคนนั้นอย่างสมบูรณ์
“สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวตัวนี้แตกต่างจากตัวก่อนหน้า มันมีพลังของฝั่งบรรพกาล แต่ข้าก็ไม่สามารถดูดกลืนพลังเข้ามาได้ ดังนั้นจึงมอบพลังของฝั่งลี้ลับไปให้ ท้ายที่สุดจึงประสบผลสำเร็จ”
ชายคนนั้นกล่าวช้าๆ
เขากระโดดเล็กน้อยก่อนทะยานขึ้นสู่อากาศ
ฉับพลันนั้นเอง ทั่วร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนไป
‘ตูม!’
เท้าขนาดใหญ่ตกกระทบกับพื้นจนเกิดแรงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง
ผิวหนาสีเทาเข้มประกอบขึ้นจากหินสดใส จิตสังหารชั่วร้ายปกคลุมทั่วร่าง
ยักษ์หินหมิงกวงตัวนี้สูงหกเมตร
“มา”
เสียงของมันทำให้มิติสั่นสะเทือน
ฉับพลันนั้นเอง ในความว่างเปล่า มีพลังจิตสิบแบบปรากฏขึ้นมา รวมถึงน้ำ ไฟ ไม้ ลม อสนีบาต แสงสว่าง ความมืดและเสียง พวกมันผสานเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นคาถาทรงพลังจำนวนมากที่เกือบทะลวงความว่างเปล่าได้
‘ตูม!’
‘ตูม!’
‘ตูม!’
คาถาหลากสีสันกระแทกใส่ยักษ์หินหมิงกวง
ยักษ์ไม่ขยับไปไหน
เมื่อคาถาทั้งหมดหายไปแล้ว มันจึงเริ่มสั่นไหว
“อย่างที่พวกเรารู้ ยักษ์อมตะเป็นสิ่งมีชีวิตที่โด่งดังและวิเศษมาก ร่างกายยากจะถูกทำลายด้วยการโจมตีทางกายภาพ พลังเวทมนตร์ทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลกับมัน”
“ทีนี้ ข้าจะใช้สิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวเพื่อเพิ่มพลังเข้าไป”
ยักษ์หินกำหมัดก่อนจะเตรียมกระแทกกับพื้น
มันหยุดนิ่งในฉับพลัน
“ฮ่าฮ่า ข้าเกือบลืมตัวไป คลังแห่งนี้ไม่สามารถต้านทานพลังของข้าและยักษ์อมตะที่รวมกันเป็นหนึ่งได้”
ยักษ์หินหมิงกวงค่อยๆ หดตัวลงก่อนกลายเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อครู่
แสงดาราสาดส่องมาจากตัวเขา มันรวมตัวเข้าด้วยกันก่อนกลายเป็นบอลแสงอีกครั้ง
ชายคนนั้นขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “พลังฝั่งความว่างเปล่าเข้าใจไม่ง่ายเลย เพราะอย่างนั้นข้าจึงทำได้เพียงฉวยพลังความว่างเปล่าเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์วิญญาณต่อสู้ประจำตัวขึ้นมา”
เขาถือบอลแสงสีน้ำเงินเข้มที่บิดเบี้ยวไปมาไว้อีกลูกก่อนบดขยี้ในพริบตา
กระแสอากาศที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากตัวเขา
หลังจากนั้นไม่นาน รอบตัวเขา รอยแยกสีดำปรากฏขึ้นก่อนหายไปอย่างต่อเนื่อง
ชายคนนั้นลูบบอลกระดาษขนาดเล็กก่อนโยนเข้าไปในรอยแยกสีดำที่อยู่ด้านข้าง
“สิ่งประดิษฐ์วิญญาณป้องกันแบบเรียบง่าย” ชายคนนั้นอธิบาย “เมื่อมีบางสิ่งสัมผัสกับรอยแยกในความว่างเปล่า มันจะสุ่มโยนไปที่อื่น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันไปที่ใด”
เขาคล้ายกับนึกบางอย่างออก จากนั้นจึงลดเสียงลง “ไม่มีเวลาทดสอบความทนทานระยะยาวแล้ว ดังนั้นผลลัพธ์ครั้งนี้ไม่สามารถรายงานได้ ช่างน่าเสียดาย”
“เอาล่ะ ก็อะไรประมาณนี้แหละ ข้าต้องไปแล้ว ขอทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ที่นี่ละกัน”
“ยังไงก็ตาม มันถูกสร้างขึ้นที่นี่ ไม่เหลืออะไรให้สำรวจอีก”
“พวกเราเตรียมการเสร็จสรรพแล้ว คนธรรมดาที่อยู่ที่นี่จะถูกคุ้มกันโดยมาตรการมากมายที่พวกเราทิ้งเอาไว้ อีกทั้งมันยังเป็นทางเลือกในฐานะฐานหลบหนีของพวกเราอีกด้วย”
“ลาก่อน หวังว่าจะมีใครบางคนค้นพบสิ่งประดิษฐ์อันยอดเยี่ยมของข้า”
แสงและเงาหายไป
กู่ฉิงซานรออยู่หลายอึดใจ
เขาเห็นแสงและเงารวมตัวอีกครั้งก่อนกลายเป็นอีกภาพขึ้นมา
เทพองค์หนึ่งผู้มีเปลวเพลิงร้อนแรงบนศีรษะกำลังหันหน้ามาที่จอก่อนเริ่มพูด
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์เทพองค์ที่เท่าไหร่ แต่มีเพียงเจ้าที่ล่วงรู้ความลับที่ข้ากำลังจะกล่าวนี้ เจ้าต้องห้ามบอกผู้อื่น อย่าให้เผ่าพันธุ์บรรพกาลสังเกตเห็นด้วย”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าประตูของโลกบรรพกาลเพื่อสำรวจความลี้ลับ คนที่แก่ชรา อ่อนแอ ป่วยไข้และไร้ความสามารถจะถูกทิ้งไว้ที่นี่เพื่อพักฟื้น”
“แต่วันหนึ่ง จู่ๆ สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่พวกเขาเลี้ยงดูก่อกบฏขึ้นมา”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดและทรงพลังมาก ข้าเดาว่าสัตว์ประหลาดบรรพกาลไม่กล้าสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์แม้แต่นิดเดียว พูดตามตรง พวกมันกล้าเพียงแต่จะเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์เท่านั้น”
“มันช่างน่าฉงนนักว่าพลังอะไรที่ทำให้เผ่าพันธุ์บรรพกาลเปลี่ยนไป”
“แต่ข้าก็พอรู้ความลับมาคร่าวๆ เช่นกัน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เมื่อหลายปีก่อน ภายในประตูโลก มีเสียงแปลกประหลาดเกิดขึ้น”
“สัตว์ประหลาดบรรพกาลคล้ายกับทราบข่าวบางอย่างถึงได้กล้าทรยศ”
“ข้าเดาว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ตายแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องส่งข่าวคราวบางอย่างกลับมาให้บ้าง”
“ดังนั้นแล้ว เจ้าที่เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์เทพในตอนนี้ ที่เจ้าต้องทำทั้งหมดคือหาทางเข้าประตูโลกแล้วตามหาสิ่งที่หลงเหลือจากความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังเหล่านั้น”
“เพราะพวกเราเผ่าพันธุ์เทพมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่สองข้อ”
“หนึ่ง พละกำลังของพวกเราคงที่ ไม่สามารถพัฒนาได้”
“สอง ทุกครั้งที่พวกเราสององค์ตาย จะมีเทพหนึ่งองค์เกิดขึ้นมาใหม่”
“หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราจะต้องสูญพันธุ์อย่างแน่นอน”
“มีเพียงการสำรวจเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงรากฐานให้ได้”
“พวกเราต้องหาทางเอาทางเข้าโลกจากฝั่งสัตว์ประหลาดบรรพกาลมาให้ได้”
“อนาคตของเผ่าพันธุ์เทพอยู่ในประตูบานนั้น”
……………………………….