เสียงของราชาเทพหายไป
ภาพทั้งหมดกลายเป็นจุดแสงสว่างก่อนหายไปอย่างช้าๆ
มีเพียงเศษกระดาษเรืองรองตกอยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
เศษกระดาษเขียนว่า
เทพสององค์ตาย เทพหนึ่งองค์มีชีวิต ระยะห่างเจ็ดวัน
‘แปะ!’
หลายอึดใจผ่านไป เศษกระดาษกระจายกลายเป็นแสงสว่างเรืองรองก่อนหายไปในความว่างเปล่าเช่นกัน
กู่ฉิงซานจมอยู่ในความคิด
ด้วยความโชคดี หากเทพสององค์ตาย จะมีเทพหนึ่งองค์ใหม่ที่มีเพียงราชาเทพรับรู้ถึงตัวตนเกิดขึ้นมา
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าในป่าหยกเย็นเยือก นอกจากผู้ปกครองโลกบรรพกาลแล้วก็ยังมีเขาที่เป็นผู้สังหารเทพ
แต่ว่า
เทพจินเยี่ยนมาจากอนาคต
เขาอาจจะรู้ความลับนี้
ทันทีที่เทพองค์ใหม่เกิดขึ้นมา เขาจะต้องตอบสนองแน่นอน
ต้องหาทางให้เจอ…
กู่ฉิงซานยืนอยู่นานจนกระทั่งตกใจกับเสียงเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นในคลังอีกครั้ง
เสาหินต้นหนึ่งที่สลักด้วยอักขระซับซ้อนจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้น
เสาหินกระจายเป็นเศษหินจำนวนมากขณะถูกห้อมล้อมด้วยความว่างเปล่า
หินจัตุรัสหมุนอย่างช้าๆ อยู่ตรงกลางเศษหินทั้งหมด
บนคทาราชาเทพ เสียงเย็นเยือกดังขึ้นอีกครั้ง
“ราชาเทพองค์ใหม่เอ๋ย ทีนี้ท่านสามารถเก็บของได้แล้ว”
กู่ฉิงซานมองหินด้วยความสงสัยใคร่รู้
ระบบเทพสงครามได้แปลงสิทธิ์การอนุญาต ทำให้เขาสามารถเก็บสิ่งมีค่าที่สุดจากคลังได้
แสดงว่าหินจัตุรัสนี้คือสิ่งมีค่าที่สุดหรือ
หลังจากคิดไปมา กู่ฉิงซานเอามือวางบนหินจัตุรัสที่กำลังหมุนอยู่
เพียงพริบตา
หินจัตุรัสหายไป
กู่ฉิงซานรู้สึกถึงมันเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
เขาอดที่จะถามไม่ได้ว่า “ระบบ หินจัตุรัสเมื่อครู่ล่ะ”
‘ติ๊ง!’
ระบบเทพสงครามตอบว่า “ต่อให้ท่านต้องการสิ่งนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ นี่คือหินรวมข้อมูลของยุคโบราณ มันบันทึกข้อมูลจำนวนมากจากยุคโบราณเอาไว้ ด้วยสิ่งนี้ บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศจะถูกอัปเกรด”
“ถูกอัปเกรดหรือ” กู่ฉิงซานถาม
“ใช่แล้ว ในไม่ช้า บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศของท่านจะใช้หินก้อนนี้เพื่อโหลดข้อมูลไอเทมและข่าวกรองจากยุคโบราณจำนวนมากเข้าไป ในอนาคต เมื่อท่านพบเจอกับไอเทมบรรพกาลชิ้นไหน ท่านจะสามารถระบุหน้าที่ของไอเทมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ” ระบบกล่าว
ด้วยคำอธิบายของระบบเทพสงคราม ไอค่อน “บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศ” ที่ด้านล่างหน้าต่างจึงพร่าเลือน
ราวกับมันกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ไม่ช้า
ไอค่อนทั้งหมดเปลี่ยนไปก่อนกลายเป็นตำราสีเขียวเล่มหนา
ตัวอักษรขนาดใหญ่ “บันทึกเหตุการณ์วันโลกาวินาศ” หายไป
ตัวอักษรขนาดใหญ่ชุดใหม่ปรากฏขึ้นด้านล่างไอค่อน
“กำลังวิวัฒนาการ”
กู่ฉิงซานไม่ขยับ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถามว่า “ที่จะสื่อก็คือ… ต่อให้เก็บสิ่งนั้นไป ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรใช่หรือไม่”
เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในน้ำเสียงของกู่ฉิงซาน ระบบกล่าวทันทีว่า “ไม่ ข้าจะฝากส่วนหนึ่งไว้ที่ท่าน”
ขณะพูด เศษหินขนาดเล็กปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน
มันดูเหมือนกับเศษหินจัตุรัสขนาดเล็กทั่วไป
กู่ฉิงซานมองเศษหินก่อนอดที่จะกล่าวไม่ได้ว่า “ข้าจะใช้สิ่งนี้ได้อย่างไร”
“ท่านสามารถใช้มันวิวัฒนาการระดับการ์ดได้” ระบบกล่าว
กู่ฉิงซานเรียกหน้าต่างการ์ดขึ้นมาขณะมองดูการ์ดตัวเอง
ใช่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นการ์ดสีเทา ดังนั้นจึงต้องพัฒนาให้ไว
พลังของการ์ดยังทรงพลังอยู่ แถมยังช่วยส่งเสริมการต่อสู้ได้ดีอีกด้วย
เขาวางเศษหินบนหน้าต่างการ์ด
เศษหินค่อยๆ ทะลวงเข้าสู่หน้าต่างการ์ดก่อนหายไป
ทั่วหน้าต่างสั่นไหว
ในการสั่นไหวครั้งนี้ การ์ดสีเทาที่เป็นรูปกู่ฉิงซานถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำนวนมากก่อนหายไปจากหน้าต่าง
จากนั้น การ์ดใบใหม่เข้ามาแทนที่
นี่คือการ์ดมรกต
กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองยังยืนอยู่บนการ์ด ถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างเอาไว้
แค่การ์ดทั้งใบไม่ได้ดูหมองหม่น สุดท้ายก็รู้สึกถึงพื้นผิวอย่างแท้จริง
แถวข้อความขนาดเล็กปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ท่านกลายเป็นการ์ดระดับมรกตแล้ว”
“ท่านสามารถจั่วการ์ดระดับมรกตใบที่สองได้ในทันที”
“นับจากนี้ไป ท่านจะสามารถใช้การ์ดระดับมรกตในการต่อสู้ได้”
ข้อความขนาดเล็กหายไป
หลังจากนั้นไม่นาน การ์ดมรกตสามใบปรากฏขึ้นตรงกลางหน้าต่าง
พวกมันคว่ำอยู่ ทำให้กู่ฉิงซานไม่สามารถมองเห็นได้ว่าลวดลายหน้าการ์ดเป็นอย่างไร
ดังนั้น กู่ฉิงซานไม่สามารถตัดสินการทำงานของการ์ดสามใบได้
ด้านล่างการ์ดสามใบ ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้น
“โปรดจั่วการ์ดระดับมรกตเพื่อเป็นการ์ดต่อสู้ใบที่สองของท่านด้วย”
กู่ฉิงซานมองการ์ดสามใบ
ความจริง ไม่ว่าการ์ดระดับมรกตจะเป็นอะไร มันย่อมมีบทบาทพิเศษที่สามารถเล่นได้หลายหลากหน้าที่ตามแต่สถานการณ์จะอำนวย
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ แค่ใช้ๆ ไปเดี๋ยวก็ได้ผลเอง
กู่ฉิงซานเพียงคลิ้กการ์ดมรกตใบกลาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน การ์ดพลันพลิกขึ้นมา
การ์ดใบนี้แผ่แสงสีชาดเรืองรองออกมา บดบังไม่ให้เห็นภาพการ์ดที่กำลังจั่ว
กู่ฉิงซานถอนหายใจ พึงพอใจกับโชคตัวเองยิ่ง
ใช่แล้ว นี่คืออาวุธที่พิเศษมาก
ข้อความแจ้งเตือนที่ปรากฏบนหน้าต่างระบบเทพสงครามยืนยันการคาดเดาของเขา
“หายาก: หอกปีศาจแดง”
“เมื่อสวมใส่หอกปีศาจนี้ ท่านจะไม่สามารถสวมใส่เกราะในเวลาเดียวกันได้”
“หอกเวทมนตร์นี้มีคุณลักษณะของกฎเกณฑ์: เชือดเฉือนสัมบูรณ์”
“คำอธิบาย: นี่คืออาวุธชิ้นแรกที่ถูกสร้างโดยเทพในยุคโบราณที่ทำร้ายพวกเดียวกันได้”
“ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้!”
กู่ฉิงซานเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนี้ การ์ดอีกสองใบหายไปในความว่างเปล่าทันที
วินาทีต่อมา
หอกที่ถูกห้อมล้อมโดยแสงสีชาดไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าก่อนมาอยู่ในมือกู่ฉิงซาน
ขณะมองหอกที่มีคุณลักษณะ ‘เชือดเฉือนสัมบูรณ์’ กู่ฉิงซานพลันเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมา
ไม่สงสัยเลยว่าเหล่าเทพถึงสามารถสร้างหลายสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าตัวเองขึ้นมาได้
พวกเขามักสร้างสิ่งของขึ้นมาด้วยการเลียนแบบของจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณเสมอ
เผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคโบราณทรงพลังยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่ถูกสร้างด้วยการเลียนแบบจากกลุ่มนี้ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าเหล่าเทพด้วยกันเอง
ตัวอย่างเรียบง่ายที่สุดคือหอกปีศาจแดงนี่แหละ
กู่ฉิงซานสะบัดหอกไปมาอย่างพอใจ
‘ฟิ่วๆ!’
เสียงอากาศฉีกกระชากดังก้องชัดเจน
กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเองว่า “น่าเสียดายที่เป็นหอกยาว อย่างไรเสียดาบบินก็ดีกว่า”
เมื่อกล่าวจบ เขาเห็นแถวตัวอักษรสีเขียวขนาดเล็กที่พลันปรากฏขึ้นในตำราเขียวกำลังวิวัฒนาการบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ไอเทมชิ้นนี้เป็นของเลียนแบบ แต่ก็มีองค์ประกอบสำคัญอยู่แล้ว หากท่านต้องการดาบยาว ท่านสามารถรวบรวมองค์ประกอบประเภทนี้ในการ์ดให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้างดาบยาวได้”
ดวงตาของกู่ฉิงซานทอประกาย
หอกปีศาจแดงสามารถสังหารได้แม้กระทั่งเทพ
ถ้ามีดาบบินที่มีความคมทัดเทียมกัน การต่อสู้หลายต่อหลายครั้งจะง่ายดายยิ่งขึ้น
ทว่า เรื่องนี้อาจจะไม่สำเร็จได้ในทันที ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กู่ฉิงซานเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจอย่างเงียบงัน
เขาคลายมือก่อนยอมให้หอกปีศาจแดงกลายเป็นการ์ดมรกตแล้วบินกลับเข้าหน้าต่างการ์ด
ถึงตรงนี้ เขากลายเป็นการ์ดระดับมรกตและมีการ์ดระดับมรกตถึงสองใบ ใบหนึ่งเป็นทักษะติดตัว “หลั่งโลหิต” อีกใบเป็นอาวุธหายาก “หอกปีศาจแดง”
คทาราชาเทพลอยขึ้นจากพื้นอย่างแผ่วเบาก่อนหายไปในความว่างเปล่า
มันทำภารกิจในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้ว
กู่ฉิงซานรู้สึกถึงแรงหนักอึ้งกำลังผลักตัวเขา วินาทีต่อมา เขากลับมาอยู่นอกคลังแล้ว
เมื่อสิบหกอารักขาเทพเห็นเขาอีกครั้ง พวกเขาล้วนทำความเคารพด้วยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
พิธีขึ้นครองราชย์ถูกจัดขึ้นแล้ว เขาเข้าคลังมรดกล้ำค่าเรียบร้อย นับจากนี้ไป กู่ฉิงซานกลายเป็นราชาเทพอย่างแท้จริง
เขามองเหล่าอารักขาเทพ แต่ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าจะมองผลงานของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้อย่างไรดี
กู่ฉิงซานคาดเดาทุกสิ่งเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
เผ่าพันธุ์เทพทุกวันนี้มีความตระหนักเป็นของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้อาจจะเป็นเพราะอายุการเก็บรักษา
เพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ ความหวังเดียวของพวกเขาคือเข้าประตูโลกบรรพกาล
เพื่อเข้าประตูบานนั้น เผ่าพันธุ์เทพและสัตว์ประหลาดบรรพกาลจึงทำข้อตกลงกัน
เผ่าพันธุ์เทพจะช่วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์สับสน เปลี่ยนเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้กลายเป็นอาหารสัตว์ประหลาด ช่วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่เผ่าพันธุ์มนุษย์หลงเหลือเอาไว้
ถ้าเผ่าพันธุ์เทพทำเรื่องนี้สำเร็จ เช่นนั้นสิ่งที่สัตว์ประหลาดบรรพกาลจะต้องจ่ายคือช่วยเผ่าพันธุ์เทพเข้าสู่ประตูบานนั้น
นี่คือข้อตกลงระหว่างสองเผ่าพันธุ์
มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกอาคมจนหลงใหลในเผ่าพันธุ์เทพจนหันมาสู้กับสัตว์ประหลาดบรรพกาลจนกระทั่งถูกสัตว์ประหลาดกิน
ช่างเป็นโชคชะตาที่น่าเวทนาอะไรอย่างนี้!
กู่ฉิงซานส่ายหน้าอย่างเงียบงันขณะเดินกลับไปโถงด้านหน้าอย่างช้าๆ
เขานั่งลงบนบัลลังก์ของราชาเทพขณะครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
เทพจินเยี่ยนปรากฏตัวต่อหน้าเขา
“พบคนคนนั้นหรือยัง” กู่ฉิงซานถามเสียงต่ำ
“ยังเลย จู่ๆ เขาก็หายตัวไป ไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน” เทพจินเยี่ยนกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ข้าเดาว่าคนคนนั้นคงรู้ตัวเช่นกันว่าโอ้อวดที่แนวหน้ามากเกินไปจึงซ่อนตัว ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถตามหาเจอได้สักพัก คงดีกว่าที่จะไม่ค้นหาแล้วออกล่าอีก เมื่อคนคนนั้นรู้สึกว่าสายลมพัดผ่านไปแล้ว เขาจะต้องออกมาอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
“อืม มีเหตุผล พวกเราอาจจะรุกหนักมากเกินไปจนทำให้มันกลัว”
เทพจินเยี่ยนพยักหน้าช้าๆ
ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงดังขึ้นนอกวิหารจนดึงดูดความสนใจจากทั้งสองคน
“มีอะไร นี่คือตำหนักราชาเทพนะ ทำไมถึงส่งเสียงดังนัก”
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วขณะถาม
เขาเห็นเทพกำลังบินมาจากนอกวิหารก่อนคุกเข่าตรงหน้ากู่ฉิงซานอยู่ไกลพอประมาณแล้วกล่าวว่า “รายงานท่านราชาเทพ พวกเราจับคนคนนั้นได้แล้ว”
“จับได้อย่างนั้นหรือ”
กู่ฉิงซานและเทพจินเยี่ยนแทบจะถามพร้อมกัน
เทพองค์นั้นยังคงรายงานต่อว่า “ขอรับ นางซ่อนอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เตร็ดเตร่ไปทั่ว สอบถามข่าวคราว สุดท้ายก็เผยตัวออกมา พวกข้าวางกับดักเอาไว้ก่อนเข้าจู่โจมในคราวเดียว”
ขณะกล่าวเช่นนั้น มีเทพอีกสององค์บินมาที่วิหารพร้อมผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นฟกช้ำและเต็มไปด้วยโลหิต เป็นลั่วปิงหลีนั่นเอง
………………………………….