ในถิ่นทุรกันดาร
ไอเยือกแข็งและหมอกยังคงปกคลุมอย่างต่อเนื่อง
หมอกเย็นหายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เป็นนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่ง
เขาไว้เครายาว สวมชุดคลุม ตรงเอวมีมีดเยือกแข็ง รูปร่างดูผึ่งผายเลยทีเดียว
หัวหน้าของสำนักเซียนธารจันทรา จ้าวอู๋จงนั่นเอง
แน่นอนว่าจ้าวอู๋จงตัวจริงตายไปแล้ว นี่คือกู่ฉิงซานผู้หยิบยืมตัวตนและรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายมา
กู่ฉิงซานเดินไปมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารขณะสัมผัสตำแหน่งของโลกบรรพกาล
มีการซ้อนทับระหว่างโลกบรรพกาลและอาณาจักรสวรรค์ดึกดำบรรพ์ แสดงว่าทั้งสองโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
กู่ฉิงซานต้องหาทางไปสถานที่นั่นก่อนจึงสามารถเข้าสู่โลกบรรพกาลได้
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
กู่ฉิงซานหยุดอยู่หน้ากองหิน
เขาย่อตัวขณะหยิบก้อนหินขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
หินเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังโกลาหลอันแก่กล้า มันคือหินวิเศษของโลกบรรพกาล
“ดูท่าคงจะเป็นที่นี่”
กู่ฉิงซานพึมพำ
ตามที่เทพจินเยี่ยนว่า ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคบรรพกาลจากไป โลกทุกใบที่พวกเขาสร้างได้หายไป เหลือแค่เพียงสวรรค์ดึกดำบรรพ์และโลกมารดึกดำบรรพ์เท่านั้น
ส่วนโลกบรรพกาล มันไม่ถูกนับว่าเป็นโลกที่สมบูรณ์
ที่จริงมันคือสถานที่ชั่วคราวที่ถูกสร้างโดยมนุษย์โบราณก่อนที่จะจากไป
เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณใช้พลังเหลือเชื่อนานาชนิดเพื่อสร้างที่นี่ไว้ข้างประตูโลกเพื่อที่พวกเขาจะสามารถสำรวจและศึกษาความลี้ลับของประตูโลกได้
ตอนเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณเข้าสู่ประตูโลก ที่นี่ก็ว่างเปล่าแล้ว
ภายหลังเผ่าพันธุ์บรรพกาลทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้ที่นี่ถูกยึดครอง
ยึดครอง…
กู่ฉิงซานนึกถึงคำพูดของเทพจินเยี่ยนและมนุษย์แสงจนรู้สึกว่าคำว่า “ยึดครอง” มันดูจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
เพราะจนถึงตอนนี้ เผ่าพันธุ์บรรพกาลยังคงสำรวจที่นี่อย่างต่อเนื่อง
พวกเขาไม่ได้เข้าใจสถานที่นี้อย่างถ่องแท้เช่นกัน
กลายเป็นว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่โดยอาศัยพลังที่เหนือกว่าเทพและนักพรต แถมยังไม่ยอมให้ตัวตนไหนเหยียบย่างเข้ามาได้
ขณะยืนอยู่บนหินวิเศษ กู่ฉิงซานเอื้อมมือล้วงไปหยิบเหรียญออกมาก่อนออกแรงบดขยี้
ฉับพลัน พลังมหาศาลกดทับหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศบางก่อนลากเขาเข้าสู่ความว่างเปล่า
…
โลกบรรพกาล
ถิ่นทุรกันดารที่สร้างจากหินวิเศษเต็มไปด้วยพลังโกลาหลแก่กล้า
อสนีบาตอยู่ทุกหนแห่งในท้องฟ้าราตรีอันมืดมิด
สายลมแรงกล้าพัดผ่านหมู่เมฆทมิฬขณะส่งเสียงกรีดร้องชั่วนิรันดร์ภายใต้พลังโกลาหล
กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน
เขาถือมีดเยือกแข็งไว้ในมือขณะทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
ไม่มีเสียงรอบข้าง
กลิ่นเลือดตลบอบอวล
จมูกของกู่ฉิงซานขยับเล็กน้อย
ใช่แล้ว…
เลือดมนุษย์ไม่ได้มีกลิ่นแบบนี้…
เขาปลดปล่อยจิตเทพขณะกวาดไปยังทางที่มีลมหายใจโลหิต
ห่างออกไปหลายร้อยฟุต ร่างของสัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมากกองอยู่กับพื้น
กู่ฉิงซานเหาะไปยังจุดนั้นก่อนตรวจสอบซากศพอย่างละเอียด
“เนื้อเน่าเปื่อย…ตายมานานแล้ว…”
กู่ฉิงซานพึมพำ
ตัดสินจากร่องรอยของซากศพแล้ว สัตว์ประหลาดเหล่านี้ถูกสังหารโดยวิชาและอาวุธมีคมหลากชนิดอย่างเห็นได้ชัด
หรือก็คือ ยอดนักพรตที่หายตัวไปเคยมุ่งหน้าผ่านมาทางนี้
เซี่ยกูหงคือหนึ่งในนั้น
หากตามเซี่ยกูหงไป เขาจะต้องพบสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน
โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง กู่ฉิงซานตัดสินใจตามไปทันที
พลังโกลาหลในท้องนภาราวกับของจริง หากเหาะล่ะก็จะต้องเป็นที่สะดุดตามากแน่ๆ กู่ฉิงซานจึงไม่กล้าที่จะเหาะอีก
เขาวิ่งอย่างรวดเร็วผ่านพื้นหินรกร้างที่เกิดจากการสั่งสมของหินวิเศษ
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
กู่ฉิงซานกลั้นหายใจก่อนนอนอยู่ในหลุมหิน
ด้านหน้าถิ่นทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมาก
พวกมันเข้ายึดครองทั่วถิ่นทุรกันดาร ดวงตาทุกคู่หลับหมดราวกับกำลังพักผ่อนอยู่
หากมองเลยสัตว์ประหลาดบรรพกาลไปยังส่วนลึกของถิ่นทุรกันดารก็จะมองเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในเงามืดอย่างเลือนราง
นั่นอาจจะเป็นบางสิ่งที่ถูกสร้างโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณก็ได้
น่าเสียดายที่ทั่วถิ่นทุรกันดารเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินผ่านได้อย่างปลอดภัย
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนหยิบหินวิเศษจากพื้นขึ้นมา เขาโยนออกไปในถิ่นทุรกันดาร
หินวิเศษลอยอยู่สักพักก่อนแตกสลายเพราะภาพติดตา
มีภาพติดตาอยู่กลางอากาศ
มันเป็นลิ้นยาวจากสัตว์ประหลาดบรรพกาลที่อยู่บนพื้น
เจ้านี่คือกบยักษ์สามตา
‘อ๊บ!’
มันส่งเสียงร้องดังไปทั่วทุกหนแห่ง
เพียงพริบตา สัตว์ประหลาดบรรพกาลจำนวนมากตื่นขึ้นขณะมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง
‘ฟรึ่บๆ!’
สัตว์ประหลาดบรรพกาลหลายร้อยตัวทะยานขึ้นจากพื้นขณะตรวจจับการเคลื่อนไหวทุกทิศทางอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้ กู่ฉิงซานกระตุ้นค่ายกลลับแล้ว ในเวลาเดียวกัน เขาเข้าใจกลยุทธในการยับยั้งลมหายใจด้วย
อาจจะเพราะสัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่แข็งแกร่ง พวกมันก็เลยหาอะไรไม่พบ
สัตว์ประหลาดที่บินอยู่กลางอากาศหุบปีกลงก่อนกลับมาประจำที่เดิม
พวกมันหลับตาลง หลังจากนั้นก็หลับไปอีกครั้ง
กู่ฉิงซานรออยู่สักพักจนกระทั่งทุกอย่างเงียบสงัดลงแล้วเขาจึงหายใจออกมา
ทั่วถิ่นทุรกันดารนี้มีสัตว์ประหลาดอยู่นับไม่ถ้วน
มันไม่จากไปไหนเลย
แต่ถ้าอยากให้เกิดการนองเลือดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ด้วยการใช้พลังของเทพแห่งความเย็นยะเยือกหรือด้วยการปลดปล่อยดาบบินเจ็ดร้อยเล่มควบคู่กับวิชาดาบของตัวเองอันเต็มเปี่ยม เป็นไปได้ว่าจะทำให้สัตว์ประหลาดระดับสูงจากโลกบรรพกาลหรือแม้กระทั่งผู้ปกครองโลกบรรพกาลตื่นตัว
เมื่อคิดได้ดังนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกนับถือผู้ปกครองโลกบรรพกาลขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ไม่มีการวางการตรวจตราและการป้องกัน แต่สัตว์ประหลาดทุกตัวอยู่ทั่วถิ่นทุรกันดาร ใครล่ะจะสามารถไปที่นั่นได้
สุดท้ายแล้วจะหาทางผ่านไปได้ยังไงล่ะ
ผู้ปกครองโลกบรรพกาลครุ่นคิดอย่างหนัก
ฉับพลันนั้นเอง ด้านข้างที่อยู่ไม่ไกลจากเขามากนัก มีคลื่นพลังวิญญาณกระเพื่อมออกมา
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
มีเพียงมนุษย์ที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้
หรือก็คือ มีคนอื่นอยู่ที่นี่!
กู่ฉิงซานปิดค่ายกลทันทีก่อนหมอบเพื่อซ่อนตัว
เขาปลดปล่อยวิชาที่เรียบง่ายที่สุดออกไป
ควบคุมวัตถุ
นี่แตกต่างจากการควบคุมดาบบินด้วยจิต การควบคุมวัตถุไม่สามารถทำได้อย่างแม่นยำเหมือนกับการส่งพลังวิญญาณไปที่อาวุธจากอากาศเบาบาง อีกทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังอย่างต่อเนื่องได้
เมื่อใช้การควบคุมวัตถุ นักพรตจะต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อย้ายวัตถุเท่านั้น
ด้วยการควบคุมจากมือของกู่ฉิงซาน หินวิเศษบนพื้นขยับ
กู่ฉิงซานปล่อยมือทันที
กฎเกณฑ์หายไป
ความผันผวนของพลังวิญญาณอันละเอียดอ่อนคงอยู่สักพัก จากนั้นจึงหายไป
สัตว์ประหลาดบรรพกาลที่อยู่ไกลออกไปไม่สังเกตเห็น
แต่กู่ฉิงซานสัมผัสความผันผวนนั่นได้มากเกินพอ
ถ้าเป็นมนุษย์ระดับยอดนักพรต พวกเขาต้องรับรู้ถึงความผันผวนในพลังวิญญาณจากเคล็ดวิเศษนี้อย่างแน่นอน
นี่มากเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าตัวตนของเขาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในยุคนี้ ยามเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดบรรพกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมต้องร่วมเป็นหนึ่ง ดังนั้นขอแค่พิสูจน์ตัวเองได้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
กู่ฉิงซานยืนขึ้นจากหลุมหินขณะรออย่างเงียบๆ หลายอึดใจ
ผ่านไปสักพัก
เสียงหนึ่งพลันดังมาจากจิตของเขา “เป็นหัวหน้าจ้าวนี่เอง โปรดรอสักครู่”
เสียงนั้นหายไป
ไม่ช้า ใต้หลุมหินที่กู่ฉิงซานอยู่สั่นไหวเล็กน้อยก่อนเผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา
ยันต์ใบหนึ่งส่องแสงสีแดงเรืองรองขณะลอยออกจากหลุม เสียงนักพรตคนหนึ่งดังขึ้น
“พี่จ้าว ที่นี่ไม่ปลอดภัย ทันทีที่คลื่นความโกลาหลสงบลง ท่านจะถูกสัตว์ประหลาดพบได้โดยง่าย โปรดมาอยู่รวมกับพวกข้า”
กู่ฉิงซานประสานมือก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณ”
เขาไม่ลังเลที่จะกระโจนลงไปในหลุมใหญ่ จากนั้นเหาะตามยันต์ลงไปข้างล่างจนกระทั่งมาถึงหลุมบนพื้น
ที่ทางเข้าถ้ำ นักพรตผมขาวกำลังรออยู่ก่อนแล้ว
เขาเห็นกู่ฉิงซานอยู่ตรงหน้า เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนในร่างของกู่ฉิงซานถึงได้วางใจ
“เข้ามาก่อน”
เมื่อกู่ฉิงซานเปิดทางให้แล้ว ชายชราผมขาวหยิบยันต์นำทางออกมาทันที ร่ายวิชาลับด้วยมือทั้งสองข้างก่อนแปะลงกับหลุมบนพื้น
หลุมหายไปทันทีราวกับไม่เคยมีหลุมอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ในเวลาเดียวกัน อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หัวหน้าจ้าว ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
กู่ฉิงซานหันศีรษะไปมอง
เขาเห็นดาบยาวเจ็ดเล่มปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าด้านหลังคนที่ส่งเสียง
จ้าวตำหนักสวรรค์เมฆาวิเวก เซี่ยกูหงนั่นเอง
…………………………….