เมืองเชิงหยาง ภายในอาณาเขตหลายพันลี้โดยรอบเปี่ยมไปด้วยผู้คน และมีเผ่าพันธุ์มนุษย์รวมตัวกันถึงหลายแสนคน
ฉินมู่พรางกระแสพลังของเขาแต่ไม่ได้ซ่อนร่างกาย และเดินอย่างสบายๆ ไปที่ประตูเมืองเชิงหยาง
ตอนนี้ แม้ว่าเมืองเชิงหยางจะกลายเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในแดนร้างตะวันออก แต่ประตูเมืองก็เปิดกว้างและไร้ซึ่งทหารยามใดๆ เฝ้าประตูอยู่แม้แต่คนเดียว
ประตูเมืองถูกเปิดทิ้งไว้ ปล่อยให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ไปมาอย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เข้าใจกันดีว่ามหาอานาจเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งแดนร้างตะวันออกจากหลายฝ่ายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
แล้วจะมีใครกันที่ไม่ลืมหูลืมตากระโจนออกมาสร้างปัญหาในช่วงเวลาเช่นนี้ ?
เกรงว่าคนๆ นั้นจะถูกสังหารทันทีที่ปรากฏตัว
ดังนั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทําไมถึงไม่มีทหารยามอยู่หน้าประตูเมืองเชิงหยาง
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้า เขากําลังจะผ่านประตูเข้าสู่ในเมืองแต่ก็หยุดลงในทันใด
เขามองไปด้านข้างด้วยความสนใจ ดูเหมือนว่าจะพบบางสิ่งที่น่าสนใจ
สิ่งที่เห็นคือนักพรตเฒ่าในชุดพรตกําลังดึงมือผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่กําลังจะเข้าไปในเมือง เหมือนกําลังชักชวนอะไรบางอย่าง
ในมือของนักพรตเฒ่ามีม้วนคัมภีร์โบราณอยู่ ระหว่างที่เขาพูดก็ชี้ไปที่มัวนคัมภีร์โบราณ
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มก็โอนเอนไปภายใต้การโน้มน้าวของนักพรตเฒ่า
ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มหยิบหินต้นกําเนิดขั้นสูงออกมาสองสามชิ้นออกมา พร้อมด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดในดวงตาของเขา
แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันแลกเอาม้วนคัมภีร์โบราณจากมือของนักพรตเฒ่าและรีบจากไป
ฉินมู่ดูพลางขบขันอยู่ในใจ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณเข้าตรวจสอบสิ่งที่ทั้งสองพูด
แต่สัญชาตญาณของเขาก่าลังบอกว่านักพรตเฒ่าผู้นี้คงไม่ใช่นกที่ดี
และเมื่อฉินมู่เปิดเนตรอมตะและมองไปที่นักพรตเฒ่า สิ่งที่เห็นกลับยิ่งทําให้เขาประหลาดใจมากขึ้น
นักพรตอะไรกัน ? เห็นได้ชัดว่าต้มตัน !
ภายใต้เนตรอมตะ ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนได้
ภาพของนักพรตเฒ่าร่างผอมได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยนักพรตวัยกลางคนที่มีร่างใหญ่เอวกลม
สีหน้าของเขาสะท้อนรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ออกมา
นักพรตเฒ่าผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นนักพรตวัยกลางคนที่ปลอมตัวด้วยวิชาเปลี่ยนฟ้าแปลงดิน
ถ้าฉินมู่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเนตรอมตะ เกรงว่าเขาก็คงถูกอีกฝ่ายหลอกลวงเป็นแน่ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าวิชาเปลี่ยนฟ้าแปลงดินของนักพรตวัยกลางคนนั้นช่างน่าอัศจรรย์เพียงใด
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่กงการอะไรของเขา ฉินมู่จึงไม่สนใจ เขาจึงหันกลับไปและเตรียมที่จะเข้าเมือง
คาดไม่ถึงว่าเขาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวแล้วก็ต้องหยุดลง
เพราะนักพรตเฒ่าผู้ใจดียืนอยู่ตรงหน้าเขา มองดูฉินมู่ด้วยสายตาอันสงบสุข
“สวรรค์ทรงโปรด ! พ่อหนุ่ม ช้าก่อน”
นักพรตเฒ่าร้องออกมา จากนั้นเขาก็พูดอย่างลึกลับ
“นักพรตต้วนหยุนเซิงผู้นี้ พเนจรร่อนเร่ไร้ราก
นักพรตผู้นี้ค้นหาทั่วหล้า แสวงหาผู้มีวาสนา ไม่คิดว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
นักพรตผู้นี้ได้อ่านดวงชะตาเมื่อคืนนี้ วันนี้เขาจะพบกับผู้มีวาสนา
เมื่อเห็นสหายน้อยในวันนี้ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าสหายน้อยนี่แหละคือผู้มีวาสนา”
เสียงของนักพรตเฒ่านั้นทั้งน่าพิศวงและลึกลับ ราวกับมีพลังวิเศษบางอย่าง
ฉินมู่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ชายผู้นี้คิดจะหลอกลวงเขาจริงงั้น ?
ใช่แล้ว นักพรตเฒ่าผู้นี้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉินมู่ก็คือนักพรตวัยกลางคนที่ปลอมเป็นนักพรตเฒ่าอีกคนก่อนหน้านี้ !
เขาเพิ่งหายเข้าไปในฝูงชนและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเอง และตอนนี้เขาก็กลับออกมา “หาเหยื่ออีกครั้ง
ฉินมู่พูดไม่อะไร เพียงแค่ยิ้มและมองหน้าเพื่อดูว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
แม้เห็นว่าฉินมู่ไม่แสดงอาการใดๆ ตัวนหยุนเชิงก็ไม่ได้ท้อแท้ เขาได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มา มากในทุกๆวันนี้
แต่สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ ? สุดท้ายพวกเขาก็ถูกหลอกทีละคน และได้แต่ดื่มน้ําล้างเท้า ของเขา หนี !
“สหายน้อย นักพรตผู้นี้รู้ว่าในใจของเจ้ามีข้อสงสัย แต่ไม่เป็นไร นักพรตผู้นี้จะอธิบายให้เจ้าฟัง”
ขณะที่ตัวนหยุนเชิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็เหลือบมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ เขาก็ดึงเอามhวนคัมภีร์โบราณ ออกจากแขนเสื้อของเขาด้วยความ “ระมัดระวัง” อย่างที่สุด
เขานําฉินมู่ไปยังสถานที่ซึ่งไร้ผู้คน จากนั้นเขาก็เปิดม้วนคัมภีร์โบราณอย่างระมัดระวังและแสดงเนื้อหาของม้วนคัมภีร์โบราณต่อหน้าฉินมู่
ฉินมู่จ้องมองอย่างจริงจัง ม้วนคัมภีร์โบราณนั้นเรียบง่ายมันมีรายละเอียดของภูมิประเทศของภูเขาและแม่น้ํา ตลอดจนสัญลักษณ์พิเศษบางอย่าง
มันดูเหมือนกับ…แผนที่ขุมทรัพย์ ?
“สหายน้อย รู้ไม่ว่ามัวนคัมภีร์โบราณนี้บันทึกอะไรเอาไว้ ?”
ตัวนหยุนเชิงกล่าวอย่างลึกลับ
“นักพรตผู้นี้จะบอกเจ้าเอง สิ่งที่ม้วนคัมภีร์โบราณนี้บันทึกไว้คือโชคลาภ โชคลาภอันมหาศาล
“บอกตามตรง ม้วนคัมภีร์โบราณนี้ได้มาจากนักพรตผู้มีประสบการณ์ซึ่งกําลังจะสิ้นลม”
“ข้าเองก็อยากจะไขความลับของม้วนคัมภีร์โบราณนี้และรับโชคลาภนั้นด้วยตนเอง แต่สุดท้ายเมื่อไปถึงที่ซึ่งม้วนคัมภีร์โบราณบันทึกไว้และสอดส่องจากระยะไกล หัวใจของข้าก็เปี่ยมไปด้วยสัญญาณเตือน”
“นักพรตผู้นี้เกรงว่าโอกาสนี้จะไม่ใช่ของเขา ถ้าฝืนไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน”
“แต่ตลอดเวลามานี้ นักพรตผู้นี้ไม่เคยหยุดที่จะศึกษาม้วนคัมภีร์โบราณนี้”
“เจ้าเห็นรีไม่ว่า ขุนเขาและสายน้ําที่บันทึกไว้บนม้วนคัมภีร์โบราณนี้ดูเหมือนกับมังกรที่นอนราบอยู่ ?”
“ลองดูอีกครั้ง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ใจกลางม้วนคัมภีร์โบราณ ภูเขาและสายน้ํานับพัน ทั้งหมดล้วนมาบรรจบกันที่นี่และก่อตัวเป็นภาพของมังกรนับพันที่ร่วมกันสักการะ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตรงกลางนี้ เป็นโอกาสที่ถูกซ่อนเร้นอย่างแน่นอน…”
“นอกจากนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน มีผู้สงส่งได้ปรากฏตัวขึ้น และทําให้ผู้คนชาวตะวันออกตกตะลึง เจ้ารู้ไม่ว่าผู้สูงส่งนั้นไปที่ใดกัน ?
“ข้าจะบอกให้ว่า เขาไปยังสถานบูชาหมื่นมังกรนี้ ! ”
“ในวันนั้น นักพรตผู้นี้ได้เฝ้าสังเกตจากระยะไกล และได้เห็นร่างที่มีความกดดันอย่างไร้ที่สุดลงมาจากฟากฟ้าแล้วก้าวเข้าไปภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์สถานบชาหมื่นมังกรนี้…”
ปากของตัวนหยุนเชิงนั้นไม่หยุดหย่อน เขาพูดอย่างไหลลื่น
จากภาพทั่วไปของภูเขาและแม่น้ํา ก็ได้โยงไปจนถึงกายาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ปรากฏตัว เมื่อไม่กี่วันก่อน
ทุกประโยคดูสมเหตุสมผลไม่เหมือนเป็นเรื่องลวงหลอก
แม้กระทั่งฉินมู่ก็ถอนหายใจ
ชายผู้นี้มีพรสวรรค์ในการโกหกจริงๆ แต่งเรื่องโกหกจนไม่น่าแปลกใจที่ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มเมื่อครู่นี้คล้อยตาม
เกรงว่าเขาก็คงถูกชายผู้นี้เกลี้ยกล่อมด้วย
แต่..
ฉินมู่มองไปที่ม้วนคัมภีร์โบราณเบื้องหน้าและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ถึงนักพรตผู้นี้จะหลอกลวง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นเท็จ
ภูเขาและแม่น้ําที่บันทึกไว้ในม้วนคัมภีร์โบราณ ราวกับมีพลังแห่งฟ้าดินซ่อนอยู่ในนั้น
หากมีสถานที่ดังกล่าวมีอยู่จริง อาจจะเป็นสถานที่อันเหมาะสมสําหรับดินแดนลับแห่งต่อไปไม่ใช่หรอกรึ ?