< < 121 Sec2 > >
“นี่ ท่านผู้กล้า”
“อะไรหรือ อาเบล”
สวนที่งดงามราวกับหลุดมาจากมโนภาพอันอ่อนหวานของเด็กสาว
ในสถานที่แห่งนี้อุดมไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ผืนหญ้าก็ถูกปลูกขึ้นอย่างดี กล่าวได้ว่าเป็นสวนซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี บริเวณโดยรอบมีสายน้ำขนาดเล็กไหลไปด้วย
และช่างเข้ากับสถานที่
ภายในศาลาสีขาวที่ประดับด้วยพ่วงดอกไม้หายาก มีหญิงสาวและชายหนุ่มรูปงามนั่งอยู่ตรงข้ามกันและกันบนที่นั่ง
เธอเป็นเด็กสาวที่มีเลือนผมสีเขียวอ่อนๆ ร่างบาง สูงได้มาตรฐานของหญิงสาวทั่วไป มีผิวสีคล้ำอ่อนๆ และหากพูดถึงจุดเด่นคงจะเป็นดวงตาสีมรกตของเธอ
เพียงแค่ได้เห็นเธอแรกพบก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนหวานจากการวางตัว และความฉลาดจากดวงตาที่ดูสวยงามนั่น แม้ทั้งหมดจะเป็นแค่ภายนอกก็ตาม
หลายคนจึงมักเรียกเธอว่า ‘เจ้าหญิงมรกต’ เธอมีชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะผู้มากด้วยสติปัญญาและดวงตาที่มีเอกลักษณ์ เหมือนกับเจ้าหญิง เจ้าชายในแต่ล่ะอาณาจักร เธอก็เป็นที่โด่งดังในฐานะเจ้าหญิงเช่นกัน
เจ้าหญิงมรกตเอ่ยถามผู้กล้า
“คิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์บนเกาะวาเรอร์บ้างคะ?”
เกาะวาเรอร์ เหตุการณ์ที่อาชญากรโลกในตำนานได้ก่อนขึ้น กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นประเด็นในกลุ่มผู้นำโลกทุกๆที่ ณ เวลานี้ ..ชายหนุ่ม หมายถึง ‘ผู้กล้า’ ชายหน้าตาดีที่มีผมสีขาวและดวงตาสีเหลืองดูไร้อารมณ์ ร่างกายแข็งแรงเกินจำเป็น ตัวสูงกว่าผู้ชายทั่วไปบนโลกเล็กน้อย
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าผู้กล้าไม่ว่าจะยุคไหนก็ถูกระบุไว้ว่าเป็น ชาย/หญิง ที่งดงามอันดับต้นๆ หากเป็นผู้ชายจะเป็นชายที่งดงาม หากเป็นผู้หญิงจะเป็นหญิงที่ดูหล่อเหลา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย สายเลือดของผู้กล้าทำให้ลูกหลานมีใบหน้าที่ทั้งหล่อและสวนในเวลาเดียวกันอย่างลงตัว
เหมือนกับเจ้าหญิงมังกรที่ผู้คนอาณาจักรฟัฟนิร์ว่าไว้ว่างามที่สุดบนโลก สายเลือดของผู้กล้าเองก็ถูกคนจากแซร์อิซกล่าวต่อๆกันมาว่างดงามที่สุดเช่นกัน
“เรื่องนั้นกระผมไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษหรอกครับ หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาณาจักรแซร์อิซ กระผมในฐานะผู้กล้าก็แค่ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมาย”
ผู้กล้ารับเรื่องด้วยรอยยิ้ม
“สมกับเป็นท่านผู้กล้าเลยนะคะ”
“พูดให้ถูก กระผมทำเพื่ออาณาจักรที่ ‘ท่าน’ อาศัยอยู่ก็เท่านั้น”
…
เจ้าหญิงมรกตทำเสียง ‘หืมมม’ พลางเล่นปลายผมไปด้วย
“ท่านผู้กล้าเนี่ยนอกเวลางานขี้หยอกจริงๆนะคะ เอาเถอะ ท่าทางอย่างนั้นดิฉันก็ชินแล้วหรอก แต่ยังไงก็ช่วยระวังเรื่องสถานที่และผู้คนด้วยนะคะ”
“หือ?”
“ฉันไม่รังเกียจกับการหยอกของท่านผู้กล้า แต่ช่วยระวังคนรอบๆด้วย ประมาณนี้น่ะค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ผู้กล้าก็พึ่งจะรู้นึกได้ว่าหน้าศาลามีเมดสาวนั่งอยู่และได้ฟังบทสนทนาทุกประการ
“กระผมสะเพร่าจริงๆนะครับเนี่ย”
“นั่นสินะคะ”
เมดสาวที่รับรู้ทุกเรื่องราวก็ตั่วสั่นไม่หยุดพร้อมกับใบหูที่แดงแปร๊ด สำหรับผู้หญิงเรื่องราวการจีบกันระหว่างเจ้าหญิงกับผู้กล้ามันอย่างกับนิยายขายฝันเลย อดไม่ได้ที่จะแอบเขินบ้าง ..เจ้าหญิงมรกตมองเมดสาวด้วยรอยยิ้มที่ดูเอ็นดู
“ถ้ายังไงก็ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะคะ ขืนท่านพ่อรู้ท่านผู้กล้าได้โดนฆ่าแน่”
“คะ คะ ค่า!!”
เจ้าหญิงมรกตตบมือสามจังหวะ เป็นการปรับอารมณ์
“หมายความว่าท่านผู้กล้าพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อฉันสินะคะ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
“เช่นนั้น—ช่วยฟังความต้องการของฉันหน่อยจะได้รึเปล่าคะ?”
****
ณ ปราสาทเทล่าเทลซึ่งได้รับการฟื้นคืนชีพเป็นที่เรียบร้อย
อัลเบโด้ ราชาแห่งอาณาจักรฟัฟนิร์กำลังนั่งอยู่บนบังลังค์เหมือนกับทุกวัน แต่วันนี้ต่างออกไป ..เขาวางรายงานลงข้างบังลังค์ จากนั้นก็ค่อยๆแหงนหน้ามองเพดานกระจกของประสาทเทล่าเทลซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามประหนึ่งงานศิลปะดีๆงานหนึ่ง เขาค่อยๆเหยียดร่างกายตัวเองคล้ายจะใช้ตัวรองหลังของบังลังค์เป็นที่บิดขี้เกียจ ..ท่าทางเช่นนี้ของอัลเบโด้หาดูได้ยาก อัลเบิร์ดลูกชายคนโต และมิร่าลูกสาวคนเล็กซึ่งถูกเรียกมาเข้าเฝ้าสังเกตุได้
ท่านพ่อคนนั้นกำลังเครียด นานๆทีจะเกิดครั้ง อย่างตอนที่ถูกกลุ่มเด็กที่ไหนไม่รู้บุกประสาท ซึ่งความเสียหายระดับนั้นก็สมควรจะเครียดอยู่แหละ
“มีเรื่องอะไรหรือครับท่านพ่อ”
อัลเบิร์ดชักถามด้วยความสงสัย
“มีเรื่องจะวานเจ้าหน่อยน่ะ”
“ครับผม?”
“วานเจ้าส่งจดหมายนี้ไปให้ เรเซอร์ ดราแคล์ กับ หนิง ที”
“ท่านพี่แล้วก็คุณเรเซอร์เหรอครับ”
อัลเบิร์ดเอียงคอฉงน คงนึกสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธแต่อย่างไร
“เข้าใจแล้วครับ จะนำไปให้เดี่ยวนี้เลย”
“ฝากด้วย เรื่องคนคุ้มกันฉันเตรียมไว้ให้แล้ว”
“ครับ”
คุยจบอัลเบิร์ดก็เดินออกจากในห้องกษัตริย์ แต่ยังเหลือมิร่าอีกคน
“มีเรื่องอะไรต้องไปเสวนากับคนพรรค์นั้น(เรเซอร์)ด้วยหรือคะ ท่านพ่อ” มิร่าบ่นอุบอิบรัวๆ “คนๆนั้นน่ะนะ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
อัลเบโด้ทำเป็นหูถวงลม รอจนกว่ามิร่าจะเงียบปากจึงค่อยพูดด้วย
“มีเรื่องต้องพึ่งพา เรเซอร์ ดราแคล์ และ…หนิง เล็กน้อย ..แล้วก็เป็นไปได้อยากให้เด็กหนุ่มที่ชื่อยูจิคนนั้นมาด้วย”
“..ท่านพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่คะ? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“เร็วๆนี้เธอเองก็เตรียมตัวไว้ด้วย รายละเอียดจะบอกอีกทีวันหลัง”
อัลเบโด้ไม่ได้ตอบอะไร มิร่าเห็นก็ถอนหายใจใส่แบบเอือมๆ
“เข้าใจแล้วค่ะ จะไปเตรียมตัว”
พูดจบมิร่าก็เดินไปทางออกเดียวกับอัลเบิร์ด ทว่า
“ดีแล้ว”
…
มิร่าหันกลับมามองอัลเบโด้ผู้เป็นพ่อด้วยใบหน้าที่อึ้งกิมกี่
“เป็นอะไรไป?”
“มะ ไม่มีอะไรค่ะ”
มิร่าโค้งศรีษะให้อีกครั้งและเดินออกจากห้องไป เธอเดินตามโถงทางเดินพลางจับแก้มที่แดงก่ำของตัวเอง
“พ่อพูดแบบนั้นเป็นด้วยเหรอเนี่ย ..”
พ่อผู้แสนเย็นชากับทุกคนค่อยๆจะจางหายไปในทุกวัน ..มิร่าหยุดเดินและนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น วันที่ประสาทเทล่าเทลถูกบุกโดยกลุ่มนักเรียน พวกเขาตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรเพียงเพราะต้องการช่วยเพื่อนแค่คนเดียว
แน่นอน ในมุมมองส่วนร่วม พวกเขาช่างเป็นกลุ่มคนที่เห็นแก่ตัว แต่ว่าถ้าเป็นมุมในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ..ถ้าหากตนเองเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ ชีวิตนี้คงจะน่ายินดีไม่น้อยเลยที่มีคนรักเราถึงขนาดนี้อยู่ อีกทั้งนั่นยังเป็นสาเหตุให้พ่อของตัวเองเปลี่ยนไป และอะไรหลายอย่างก็ลงเอยได้ดี
อาจจะแค่ฟลุ๊ค แค่จังหวะมันลงตัว อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจช่วยหรอก แต่มันก็คงอดขอบคุณไม่ได้ ในฐานะลูกสาวของอัลเบโด้ เธอในฐานะมนุษย์รู้สึกของคุณความเห็นแก่ตัวตรงนั้นที่ทำให้เธอผล๊อยได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ดีไปด้วย
“..เรเซอร์ ดราแคล์ ..หัวโจกสินะ ไม่ค่อยอยากจำชื่อหรอก แต่จะจำไว้ล่ะกันค่ะ”
พูดจบมิร่าก็ตบแก้มตัวเองสองครั้งและเดินไปต่อ
****
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ‘ราชามังกรกิโดร่า’ ราชาแห่งจักรวรรดิราชามังกรได้ออกประกาศสำคัญไปทั่วทั้งโลก—-อย่างงานประชุมโลก
ในอีกสองเดือนต่อจากนี้ ทุกอาณาจักรไม่เว้นแม้แต่อาณาจักรมหาอำนาจจะต้องเข้าร่วมงานประชุมที่มีราชามังกรเป็นเจ้าภาพ