< < 130 Sec3 > >
น่าจะเกือบๆทุ่มได้แล้วมั้ง แต่ทั้งหนิงและยูจิยังไม่มาเลย คงเป็นเพราะฝนที่ตกหนักกระมัง ทั้งสองคนไม่ได้พกร่มไปด้วยนี่นะ ..
ขณะนี้ผมกำลังยืนรอทุกคนอยู่หน้าทางเข้าโรงแรม ส่วนเอเธอร์ที่ร่วมพูดคุยกันเมื่อเช้าตอนนี้เหมือนว่าจะไปคุยธุระกับคนแถวนี้อยู่
เพราะร้านคาเฟ่ห์ที่ไปกินไม่ไกลจากที่พักนัก ทำให้สามารถไหวตัวเรื่องฝนและกลับมาเอาร่มกันทัน แต่ถึงจะไม่มีร่ม เอเธอร์คนนั้นก็มีร่างกายซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานธรรมชาติอยู่ ต่อให้เดินตากฝนตัวก็ไม่เปียก
ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ โครงสร้างของร่างกายราวกับว่าถูกสร้างมาอย่างปราณีตโดยเฉพาะ ..ถ้าหากทฤษฎีที่มนุษย์ถูกสร้างโดยทวยเทพเป็นจริงก็คงต้องเรียกว่า— ‘สมบัติสวรรค์’ กระมัง
“..หืม? กลับมาแล้วเหรอ”
ฝนพึ่งจะหยุดตกก็มาเลย–ยูจิเดินกลับพร้อมกับเทียนหลง แค่สองคน
“หนิงไปไหนแล้วล่ะ”
ยูจิเดินผ่านผมไปก่อนจะตอบ
“ไม่รู้สิครับ”
ตอบคำถามผมผ่านๆแล้วเดินเข้าโรงแรมไปเลย ..ผมยืนจ้องหน้ากับเทียนหลงพักหนึ่ง เจ้าหล่อนก็ทำเสียง ‘หึ’ ใส่และเดินตามยูจิไปติดๆ
อะไรละนั่น ..อดสงสัยกับท่าทีเช่นนั้นไม่ได้เลย
ผมแหงนหน้ามองฟ้าหลังฝน
สักวัน ถ้าเกิดผ่านช่วงฝนตกตอนนี้ไปแล้ว จะได้เห็นความสวยงามดั่งตอนที่ฝนหยุดตกไหมนะ
น่าสงสัย อยากจะพิสูจน์ให้ถึงตอนนั้นเร็วๆเหลือเกิน
ตึกๆๆ
เสียงวิ่งที่เร็วอย่างกับจะตัดอากาศดังขึ้น ผมกระโดดหลบจากหน้าประตูเล็กน้อย—เพราะหนิงวิ่งเข้าใส่โดยไม่ทันสังเกตุเห็นผม
หล่อนเบรกกระทันหันและหันมายิ้มให้ผม
“โทษที!”
กล่าวจบก็พุ่งเข้าไปข้างในโรงแรม เห็นแล้วผมก็มีหรือจะไม่วิ่งตามไป
“ฟังนะ ยูจิ!!!”
หนิงวิ่งไปดักหน้ายูจิ แม้ว่าเทียนหลงจะเอาตัวมาบังไว้หล่อนก็ไม่สนใจ
“ฉันไม่สนที่ยูจิพูดหรอกนะ แน่นอนว่าไม่โกรธด้วย จะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นด้วย เพราะอย่างนั้นที่ยูจิแนะนำให้อย่ามายุ่งก็จะทำเหมือนไม่เคยโดนบอกด้วย” หนิงเชิดหน้าใส่ “ฉันจะช่วยเมื่ออยากจะช่วย ถ้าเกิดยูจิลำบากฉันจะช่วย เหมือนกับที่ยูจิทำให้ทุกคนมาตลอด ..นายก็ด้วยนะ!”
หนิงหันมามองทางผมขณะที่พูด เธอกล่าวกับยูจิและผมไปพร้อมๆกัน
“ผมบอกแล้วไงครับว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ไม่รับฟังค่า”
หนิงปิดหูตัวเองและเดินไปทางห้องพักของตัวเอง ปล่อยให้ยูจิยืนกำหมัดอยู่คนเดียว
ผมมองแผ่นหลังของยูจิที่สั่นระริก
ไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังรู้สึกยังไง โกรธเหรอ แค้นเหรอ หรือว่าเศร้ากัน?
เรื่องนั้นผมไม่อาจรู้ได้เลย ทว่า ..แผ่นหลังที่สั่นนั่นทำให้ผมยืนยันความคิดของตัวเองได้อย่างหนึ่ง
“ต่อให้เป็นพระเอกแต่ยังไงก็เป็นมนุษย์นี่นะ”
****
ผมนั่งอยู่ในห้องพักของตัวเอง แขนข้างหนึ่งจับแขนอีกข้างหนึ่งหงายดูเส้นเลือดที่ผุดขึ้น คงเพราะออกกำลังกายกับเล่นกล้ามอย่างหนักด้วย ทำให้ออกแรงนิดหน่อยเส้นเลือดก็ผุดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“[ตรวจสอบ]”
เส้นเลือดของแขนข้างขวาที่หงายเปล่งแสงสีเขียวขึ้นมา มันคือรูปร่างที่แท้จริงของวงจรเวทย์ อวัยวะสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถใช้เวทมนตร์ วิชาดาบหรือไสยศาสตร์ พูดง่ายๆคือทุกอย่างที่เกี่ยวกับมานา การที่มนุษย์จะใช้งานได้มันต้องผ่านตัวแปรอย่างวงจรเวทย์เสียก่อน
หากถูกทำลายวงจรเวทย์และไม่ได้รับการรักษา ก็จะพิการและไม่อาจใช้มานาได้อีกเลย ..หรือก็คือจะกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ถึงกระนั้น วงจรเวทย์ก็สามารถฟื้นฟูได้ หากไม่ได้ถูกทำลายจนหมด แม้จะเจ็บปวดจนตายไปซะยังดีกว่า แต่ร่างกายก็จะสร้างวงจรเวทย์ขึ้นมาใหม่ให้ ..แน่นอนผมสามารถใช้ตัดมิติฟื้นฟูได้เช่นกัน แต่ในสภาพที่วงจรเวทย์เสียหาย การควบคุมจะลวนไปหมด จนอาจพลาดเผลอฆ่าตัวเองทิ้งก็ได้
ในฐานะมนุษย์ วงจรเวทย์สำคัญไม่แพ้กับหัวใจเลย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีก่อนจะสู้หรือทำอะไรสักอย่าง ..อีกไม่กี่วันจะถึงงานประชุมโลกจึงจำเป็นต้องเตรียมการณ์ทั้งหมดให้ เพอร์เฟค ไม่ใช่ดีที่สุด แต่ต้องเพอร์เฟคเท่านั้น
“..ข้างซ้ายไม่มีปัญหา ข้างขวาก็โอเคร” ผมถอนหายใจ “ยูนา เธอช่วยตรวจสอบซ้ำ ..อ่า ลืมไปเลย”
ยูนาจะอยู่คุยกับผมได้แค่ครึ่งวันนี่นะ ..พอเป็นแบบนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงา ก็ตลอดมา มียูนาเป็นเพื่อนคุยด้วยตลอดเลยนี่นา
อย่างที่บอกไว้หลายๆครั้ง ยูนาเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของผม
ให้เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้ น่าจะประมาณแม่ลูกที่แยกจากกันเพราะเรื่องงานรึเรื่องเรียน แล้วมีเวลาโทรคุยกันแค่ช่วงเย็นหรือหัวค่ำเท่านั้นน่ะนะ เป็นสถานการณ์ที่โรแมนซ์เล็กน้อย
“ขออนุญาตินะครับ”
เอเธอร์ผลักประตูเข้ามา
“มีอะไรอีก”
“ได้เวลาเข้าพบราชาอัลเบโด้แล้วครับ”
..ผมหันไปมองนาฬิกา
จะว่าไปเวลาก็ขนาดนี้แล้วนี่นะ
“เข้าใจแล้ว”
****
ผมตามเอเธอร์มาจนถึงห้องๆหนึ่ง ภายในห้องมีหนิงและยูจิกำลังนั่งอยู่ และตรงข้ามของพวกเขาก็คือ—ราชาอัลเบโด้ และเจ้าหญิงมิร่า
เมื่อเผลอสบตากับมิร่าหล่อนก็ทำเชิดหน้าใส่ซะอย่างนั้น
“ไม่ได้เจอกันนาน”
อัลเบโด้เป็นฝ่ายเอ่ยทักผมก่อน เขาจ้องหน้าผมตรงๆต่างกับครั้งก่อนที่ไม่แม้แต่จะหันมาทางเดียวกับที่ผมจ้อง
“..ดูดีขึ้นนิดหน่อยนะ อัลเบโด้”
“อ่า”
มิร่าทุบโต๊ะดังปั้ง
“นั่นไม่ใช่วิธีพูดที่ใช้คุยกับผู้เป็นราชานะคะ เรเซอร์ ดราแคล์”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก” อัลเบโด้หรี่ตาลงเล็กน้อย “จะเรียกยังไงก็เชิญเลย”
อัลเบโด้ถอนหายใจเฮือกโตและเริ่มกล่าวต่อ
“ที่สำคัญคือเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก”
…
ป.ล.ตอนนี้สั้นหน่อยนะครับ เดี่ยวพรุ่งนี้จะจัดเต็มให้เยอะกว่านี้แน่นอน