เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ – ตอนที่ 57: ใช่แล้ว ไปบ่อน้ำพุร้อนกันเถอะ

ใช่แล้ว ไปบ่อน้ำพุร้อนกันเถอะ

 

“อีกครั้งแล้วเหรอกับการทำผิดพลาดแบบนี้นี่? หยุดซะ หยุดมันซะเดี๋ยวนี้” (ยูกิ)

 

แล้วผมได้ทำการถอนการติดตั้งแอพเกมบนโทรศัพท์ที่ผมได้เอามาเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เพราะผมไม่สามารถทนได้อีกไป

 

แค่ “การรู้สึกตัวอย่างง่ายๆ” และมันก็เป็นความผิดพลาดทั่วไปในการตัดสินใจในการถูกปรับเปลี่ยนความยากของเกม หากมองแค่ผิวเผินแวบแรก มันก็ดูเหมือนจะเป็นข้อโต้แย้งที่เหมือนจะดี ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลที่จะได้ทำให้ผู้เล่นนั้นอยากที่จะเล่นเกมให้ได้เก่งขึ้นไปอีก แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้น มันเป็นเพียงความไม่สมเหตุสมผลหรือการเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆเข้าไป ที่ต่างก็ได้ก่อให้เกิดความเครียดและความยุ่งยากในการเล่นที่ดูจะมากเกินไป ซึ่งมันก็ทำให้ออกมาเป็นรูปแบบของความล้มเหลว ที่จะนำไปสู่การถดถอยหมดความนิยมก็เท่านั้น มันดูเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับการปรับเปลี่ยนอะไรที่ยุ่งยากแบบนี้ราวกับอยากที่จะปล่อยมันอาละวาดออกมา แล้วมันง่ายมากเลย

 

ผมรีบยอมแพ้ไปซะและเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ เมื่อผมหันมองไปที่ข้างหน้า ผมก็เห็นพี่สาวมองมาที่ผมด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างไร้สาเหตุ อี๊! นี่เธอพยายามจะยิงผมด้วยสายตาของเธองั้นเรอะไงเนี่ย

 

“ทำไมถึงไม่แตะมัน” (ยูริ)

 

“ผมจะขอบคุณมากถ้าหากว่าพี่จะบอกให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย……” (ยูกิ)

 

“ก็มันอยู่ข้างหน้านายนี่ไง” (ยูริ)

 

“เอาล่ะ เราไปกันเลยเนอะ?” (แม่)

 

แล้วแม่ของผมก็ได้ส่งเสียงกระตุ้นให้เรานั้นลงจากรถ  ที่พี่สาวของผมก็ได้เอาขาของเธอนั้นวางมาลงบนที่ตักของผม

 

 แล้วตอนนี้พวกเราขึ้นกันมาบนรถไฟแล้วเป็นเวลาพอสมควร

 

 ข้างหน้าตรงข้ามผมคือแม่และพี่สาวของผม

 

 ใช่แล้ว วันนี้น่ะเป็นวันเดินทางของครอบครัวเรา

 

แม่และพี่สาวของผมก็ได้นั่งใกล้กันกันบนที่นั่งสี่ที่นั่งที่หันหน้าเข้าหากัน และผมก็กำลังหันหน้าเข้าหาพวกเขา ผมนั้นได้วางกระเป๋าไว้ข้างๆผม ซึ่งทั้งหมดนั่นก็ดีและดีมากด้วย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ขณะที่รถไฟเริ่มออกวิ่ง พี่สาวของผมซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามด้านหน้าผม ก็ได้ถอดรองเท้าของเธอออกแล้ววางเท้านั่นลงบนตักของผมอีก

 

 นี่ผมกลายเป็นที่วางตะเกียบใช่รึเปล่าเนี่ย?

 

ฝ่ายตรงข้ามของผมนั้นคือเทวทูต จำนวนเงินที่จะบริจาคให้เท่าไหร่ก็คงจะไม่เพียงพอ ในฐานะที่เป็นที่วางเท้า ไม่ใช่ที่วางตะเกียบ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและปล่อยให้มันผ่านไป แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเธอนั้นดูจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก

 

“ฉันคิดว่านายอยากจะลองสัมผัสมัน ฉันก็เลยส่งมันให้นายไง” (ยูริ)

 

“นี่พี่คิดว่าผมเป็นคนยังไงกันเนี่ย?” (ยูกิ)

 

“ฟุฟุ รู้อะไรไม๊ ยูริน่ะ เธอเป็นคนที่สื่อสารไม่ค่อยจะเก่งนะ” (แม่)

 

“ผมไม่เคยจะได้ยินเรื่องแบบนี้ในโรงเรียนมาก่อนเลยนะครับ” (ยูกิ)

 

“ก็แค่สำหรับลูกเท่านั้นล่ะจ๊ะ” (แม่)

 

 แม่บอกแบบยิ้มๆมาให้

 

 แล้วการเปิดเผยเรื่องใหม่ที่ไม่คาดคิดก็ได้เปิดโปงออกมา แล้วผมก็ดันถามพี่สาวไปอย่างไม่ระมัดระวัง

 

“อย่างนั้นเองหรือครับ?” (ยูกิ)

 

“ถูกตัอง” (ยูริ)

 

“ผมไม่ยักจะรู้เลย” (ยูกิ)

 

“ก็ถูกตัอง” (ยูริ)

 

“ผมเข้าใจละ” (ยูกิ)

 

“ก็มันน่าอายนี่ที่ฉันจะขอให้นายมาแตะต้องตัวฉันน่ะ” (ยูริ)

 

“แล้วทำไมพี่ถึงคิดว่าผมอยากจะแตะต้องตัวพี่กันล่ะ” (ยูกิ)

 

“อื๊อืออ?” (ยูริ)

 

“ครับผมอยากแตะตัวพี่!” (ยูกิ)

 

“จงซื่อสัตย์กับตัวเองซะ” (ยูริ)

 

“ตกลง…..” (ยูกิ)

 

“เอาล่ะพวกเธอ ออกไปจากรถไฟกันได้แล้วล่ะ” (แม่)

 

แล้วขณะที่ผมกำลังสนทนาอยู่อย่างสิ้นหวัง แม่ของผมก็ช่วยฉุดผมให้กลับขึ้นมาได้ เจตจำนงของเทวทูตนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมกว่าตัวผมผู้ต่ำต้อยจะต้านทานซะจริงๆ

 

 พอเมื่อผมได้ผ่านประตูตรวจตั๋วแล้ว ผมก็ได้พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในสรวงสวรรค์

 

มันไม่ได้มีหิมะอยู่บนพื้นและดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงเหมือนฤดูร้อนตามปกติ แต่ว่าอากาศอันบริสุทธิ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนยิ่งเพิ่มบรรยากาศที่ไม่ธรรมดานี้ให้มากขึ้นไปอีก

 

“รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างบางอย่างเลยนะ เมื่อได้ออกจากสถานีเนี่ย” (แม่)

 

“ที่พักอยู่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่รึคะ” (ยูริ)

 

แม่และพี่สาวกำลังพูดกันถึงเรื่องนี้และเรื่องนั้นกัน

 

มันเป็นทริปสองวันหนึ่งคืนสู่บ่อน้ำพุร้อน ซึ่งเดิมทีเราวางแผนกันไว้ว่าจะอยู่กันสามวันสองคืน แต่ว่าแม่ของผมกลับลาหยุดพักร้อนระยะยาวอย่างกะทันหัน พวกเราจึงตัดสินใจที่จะออกไปเที่ยวในที่ต่างๆที่อื่นด้วยกันต่อ ผมน่ะตั้งตาคอยที่จะได้พักที่โรงแรมเลยล่ะ แต่ว่าสำหรับตอนนี้ ผมก็ได้ยินมาว่าพวกเธอจะไปแช่น้ำพุร้อนเพื่อพักฟื้นจากความเหนื่อยระหว่างวันกันก่อน

 

พอผมได้มองดูพวกเขาจากที่ห่างๆ ผมก็เหลือบไปเห็นร้านที่ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่มีสีฉูดฉาดราวกับมีพิษ ซึ่งพบได้อยู่ทั่วไปตามสถานที่ท่องเที่ยว จึงได้ออกไปซื้อมันทันที โดยให้มันเพียงพอสำหรับพวกเราทุกคน ดังนั้นผมก็ควรที่ซื้อสามอัน

 

 ที่บริเวณหน้าสถานีนั้นมีผู้คนอยู่หนาแน่น คงอาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน

 

 จึงมีนักท่องเที่ยวที่มากันแค่ไม่กี่คนเหมือนพวกเราอยู่ด้วย และมันก็ดูมีชีวิตชีวามาก

 

พอผมเดินกลับไปหาแม่และพี่สาว ผมก็สังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามากันเป็นกลุ่มสี่คน พวกเขามีสองคนที่ดูเหมือนพวกนักศึกษาวิทยาลัยกำลังคุยกันกับพวกเธออยู่อย่างเป็นมิตร

 

 ผมสงสัยว่าพวกเขากำลังพยายามจะจีบอยู่รึเปล่า

 

 ซึ่งมันช่างมหัศจรรย์มาก …… เพียงแค่ในเวลาอันสั้นๆ

 

แม่และพี่สาวของผมนั้นน่ะเป็นคนที่สวยทั้งคู่ ถ้าหากว่าพวกเธอนั้นยืนอยู่ข้างกัน พวกเธอก็จะดูเหมือนกับพวกพี่สาวแสนสวยเลย และพอผมลองคิดเกี่ยวกับมันดู การพบปะผู้คนในระหว่างการเดินทางแบบนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในส่วนที่ดีที่สุดของการเดินทางก็ว่าได้ แม่ของผมเองก็ยังโสด เธอก็อาจที่จะได้พบคู่ที่ดีได้อย่างไม่คาดคิด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมก็ไม่เคยไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวมาก่อน แต่ผมมั่นใจเลยว่าคุณแม่ของผมน่าจะมีประสบการณ์ผ่านมาแล้วมากมายกับเรื่องแบบนี้

 

 มันจะดีกว่าไหมถ้าผมจะไม่เข้าไปขัดจังหวะพวกเขาน่ะ? 

 

ขณะที่ผมเลียไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟอยู่ ผมก็มองดูพวกเธออย่างสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น นอกจากเพียงแม่ของผมเท่านั้นที่ยังคงยิ้มแย้มในแบบการสังคมแล้ว พี่สาวของผมยังดูแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างชันเจนเลย อืมมมม

 

“ผมซื้อไอศกรีมมาให้” (ยูกิ)

 

“นายไปไหนมาน่ะ ยูกิโตะ” (ยูริ)

 

“ผมไปซื้อนี่มา เอ้านี่” (ยูกิ)

 

 แล้วผมก็ยื่นไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ผมได้ถืออยู่ในมือทั้งสองข้างให้เธอ เพราะผมได้กินส่วนของผมไปแล้ว

 

“เฮ้ นี่นายเป็นแฟน ของเธองั้นเหรอ?” (ผู้ชาย)

 

 ผู้ชายวัยเรียนสองคนประหลาดใจกับการเข้ามาแทรกของผมอย่างกะทันหัน

 

“ผมเป็นที่วางตะเกียบน่ะ” (ยูกิ)

 

“นี่นายหมายถึงอะไรน่ะ?” (ผู้ชาย)

 

“ใช่แล้ว นี่แฟนฉัน แล้วมันไม่ใช่ธุระของพวกนาย ไปกันเถอะยูกิโตะ” (ยูริ)

 

“ฉันขอโทษด้วยนะ เด็กๆอย่างพวกเธอน่ะยังไม่ใช่สเป็กของฉัน” (แม่)

 

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อน!” (ผู้ชาย)

 

 แม่และพี่สาวของผมก็ได้ทำการผลักให้ผมนั้นเริ่มเดินไป

 

วิธีการที่พวกเขาเคลื่อนไหวนี้ได้ใช้วิธียึดร่างกายทั้งสองข้างผมเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่าผมจะเป็นฝ่ายถูกพาตัวไปมากกว่า และบางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ UMA นั้นได้รู้สึกสินะ

 

“แม่เป็นห่วงลูกนะ กำลังสงสัยอยู่เลยว่าลูกหายไปไหน” (แม่)

 

“นายมักจะหายไปอย่างรวดเร็วในตอนที่ฉันละสายตาจากนายเลยนะ” (ยูริ)

 

“ก็ผมเห็นไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ก็เลยรีบไปซื้ออย่างกระทันหันนิดหน่อยน่ะ” (ยูกิ)

 

 ผมซื้อมันเนื่องด้วยความความชุลมุนของนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มุง แต่ว่ารสชาติก็ไม่ค่อยจะดีนัก แหวะมาก

 

“ถ้าหากนายถูกลากออกมาช้ากว่านี้ รับรองสภาพมันจะต้องออกมาเหมือนกับนรกแตกแน่” (ยูริ)

 

“ฉันดีใจที่พวกเขาสองคนนั้นไม่เป็นไรนะ นี่ก็แค่มันเป็นแค่การเดินทางเที่ยวเองน๊ะ” (แม่)

 

“อย่างกับผมจะทำอะไรยังงั้นนี่” (ยูกิ)

 

“นี่นายรู้ไหมว่ามันเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ?” (ยูริ)

 

“อย่าไปทำอะไรที่เป็นอันตราย ตกลงไหมจ๊ะ?” (แม่)

 

แม่ของผมออกจะมีสีหน้าหน้ากังวล ในขณะที่พี่สาวของผมก็แสดงใบหน้าที่ตกตะลึงของเธอออกมา ผมได้ถูกพวกเธอตรึงเอาไว้ พวกเธอไม่ได้เชื่อใจผมเลย ไม่ใช่ว่าผมจะไปทุบตีพวกเขาให้แหลกเอาซะหน่อย พูดตรงๆนะ ปัญหาแบบนี้น่ะมันเกิดขึ้นบ่อยมากจนผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผมเคยชินกับการเคลื่อนไหวก่อนไปแล้ว ดังนั้นผมไม่สามารแก้ตัวอะไรได้

[คนแปล: ถ้าสงสัยว่าทำไม ก็ลองนึกถึงวีรกรรมตอนประถมดู]

 

“ผมขอโทษ” (ยูกิ)

 

“นั่นน่ะคือสิ่งที่คนที่ไม่ได้รู้สึกเสียใจจะพูดนะ” (ยูริ)

 

“อืม ลืมๆไปถอะ มาสนุกกันดีกว่านะ!” (แม่)

 

 หลังจากรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ไม่กี่นาที รถบัสก็ได้มาถึง

 

ก็อย่างที่คาดไว้กับสถานที่ท่องเที่ยว บริการรถรับ-ส่ง นั้นมาได้เร็วมาก

 

พอผมได้ขึ้นรถบัสและมองออกที่ไปนอกหน้าต่าง ผมก็ได้เห็นภาพที่ก็อาจจะพบหาได้ทั่วไปในพื้นที่รอบนอกส่วนใหญ่ ร้านค้าขนาดใหญ่ อย่างเช่น พวกร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า และร้านขายยา ต่างก็มีเรียงรายกันเป็นปกติ

 

พอผ่านไปสักพักหนึ่ง ทิวทัศน์ก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงและได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะสถานที่ ที่ต่างออกไป

 

“เรามาถึงแล้ว” (แม่)

 

 แม่พึมพัมขึ้นกับตัวเอง

 

 แล้วข้างหน้าของพวกเรานั้นก็เป็นโรงแรมเก่าแก่แต่ช่างสวยงาม

 

 บริเวณโดยรอบนั้นต่างเต็มไปด้วยความเก่าแก่ที่ดูผิดยุคผิดสมัย

 

 พวกเราได้ลงมาจากรถบัส และเดินผ่านเมืองบ่อน้ำพุร้อนที่สวยงามได้สักสองสามนาที

 

 และแล้วก็ได้มาถึงที่จุดหมาย “เรียวกัง อุมิบาระ”

 

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงอยากจะมาบอกกับผมในเรื่องนี้ บางทีเธอคงจะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยเด็กละนะ แล้วผมก็อ่านความคิดของอื่นไม่ได้ซะด้วยสิ ในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของเธอมันก็ได้ทำร้ายผมไปมากกว่าสิ่งที่เคยผ่านมาทั้งหมดเสียอีก ผมจำไม่ได้นะว่าพวกเราเคยไปสัญญาว่าจะแต่งงานอะไรกันไว้รึเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นได้บ่อยๆกับหลายๆคนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่ยังไงเธอนั้นก็พิเศษสำหรับผม เธอคงมีเหตุผลนั่นแหล่ะ แล้วผมก็ถูกผลักให้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset