ตอนที่ 1844 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (1)
“หลินฉิง บุตรทั้งสองของเจ้าอยู่ในมือข้า ถ้าเจ้าไม่อยากให้ฉีหลิงโดนขายออกไป ก็รีบขอโทษต่อความผิดที่เจ้าทำลงไปได้แล้ว!” ฉีเจิ้งทำสีหน้าเย็นชาขณะดุด่านางอย่างเคร่งขรึม
ดวงตาของนางปรากฏร่องรอยความกังวล “เจ้าคิดจะทำอะไรกับหลิงเอ๋อร์”
“ขอโทษซะ หากไม่ยอมทำ ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงรู้ว่าฉีหลิงจะมีจุดจบอย่างไร!”
สำหรับหลินฉิงแล้ว ช่วงนี้นางใช้ชีวิตราวกับอยู่ในนรก ดังนั้นนางยอมตายดีกว่ายอมจำนนอยู่แล้ว
แต่…ในใจของนางก็ยังมีใครบางคนอยู่ ซึ่งก็คือบุตรชายและบุตรสาว
“นายท่าน” เจี่ยนเฟยเฟยมองหลินฉิงอย่างสงสารแล้วดึงแขนฉีเจิ้ง “พวกเราลืมเรื่องนี้เถอะเจ้าค่ะ ความเศร้าเสียใจที่ข้าต้องเจอไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรข้าก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาหลายปีในขณะที่พี่หญิงใช้ชีวิตราวกับองค์หญิง นางจะทนความอับอายนี่ได้อย่างไร ดังนั้น…”
เบื้องหน้าคำพูดของนางพยายามแก้ต่างให้หลินฉิงแต่ที่จริงกำลังทำให้สถานการณ์แย่ลง นั่นส่งผลให้ฉีเจิ้งยิ่งโกรธ
“คุกเข่า!”
ปัง!
ฉีมั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินฉิงก็เตะเข้าที่เข่าของนางจนทำให้นางทรุดลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น และเพราะร่างของนางอ่อนแอมาก ทำให้การล้มครั้งนี้เจ็บสาหัสเสียจนสีหน้าของนางยิ่งซีดเผือด
“ยกน้ำชาเพื่อขอขมาซะ!” ฉีเจิ้งส่งสายตาแฝงความนัยให้ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างหนึ่ง
ผู้คุ้มกันคนนั้นก็ถือถ้วยน้ำชามาหาหลินฉิง นางกำถ้วยน้ำชาไว้แน่น นางอยากจะเขวี้ยงถ้วยน้ำชาทิ้งหลายครั้งแต่เมื่อคิดถึงฉีหลิง นางก็ฝืนกล้ำกลืนความโกรธในใจนางลงไป
“ได้โปรด…ดื่ม” หลินฉิงดูเหมือนใช้แรงทั้งหมดเพื่อพูดออกมา ในขณะที่ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุดจนเกือบจะทรุดลงที่พื้น
เจี่ยนเฟยเฟยหลุบตาเพื่อปกปิดรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างพึงพอใจ ในขณะที่ยื่นมือออกไปเพื่อรับถ้วยน้ำชาจากมือของหลินฉิง นางก็แอบปล่อยพลังฌานออกไปจนทำให้หลินฉิงเจ็บมือแล้วเผลอปล่อยถ้วยน้ำชา
“อ๊าย!
น้ำชากระเด็นโดนมือของเจี่ยนเฟยเฟยก่อนนางจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะที่มือบอบบางของนางเป็นรอยแดง แม้แต่ดวงตาของนางก็แดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอ
“ท่านแม่!”
ฉีมั่วและฉีเล่อรีบวิ่งเข้าไปหาเจี่ยนเฟยเฟยด้วยสีหน้ากังวล ไม่นานพวกเขาก็ส่งสายตาเดือดดาลมาที่หลินฉิง
“หลินฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นสตรีขี้อิจฉาแต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นมากขนาดนี้ เจ้าไม่อยากยอมรับเฟยเฟยงั้นหรือ”
ฉีเจิ้งโจมตีเข้าที่หน้าอกของหลินฉิงด้วยความโกรธ แล้วทันใดนั้นร่างของนางก็กระเด็นออกไปราวกับลูกธนู เขาไม่แม้แต่จะให้นางได้มีโอกาสแก้ตัว แต่พูดตามตรงต่อให้นางได้อธิบายฉีเจิ้งก็ไม่เชื่ออยู่ดี
ทันใดนั้นนางก็ร่วงลงกับพื้น ภาพฉีซูและฉีหลิงปรากฏขึ้นในความคิดของนางก่อนรอยยิ้มขมขื่นจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางขณะที่นางหลับตาลงช้าๆ
“ท่านแม่!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนอย่างบีบคั้นหัวใจก็ดังขึ้น เสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ห่างไกลทำให้ความคิดของหลินฉิงระเบิดออก
ซูเอ๋อร์?
นั่นเสียงซูเอ๋อร์งั้นหรือ เหตุใดเขาถึงกลับมาที่เมืองจักรพรรดิ
หลินฉิงพยายามลืมตาด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อมองบุตรชายที่นางคิดถึงมาตลอดทุกวันคืน แต่ไม่มีแรงพอจะทำ เรี่ยวแรงจะพูดก็หายไปจนนางหมดสติในที่สุด
ฉีซูก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง โดยมีอวิ๋นลั่วเฟิงที่อุ้มฉีหลิงตามเข้ามา
ฉีซูเห็นหลินฉิงโดนฉีเจิ้งโจมตี ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความกังวลสลับกับความโกรธขณะที่ช่างตีเหล็กชราเข้ามาในห้องโถงเป็นคนสุดท้าย
ช่างตีเหล็กชราคิดอยู่สองสามวันว่าจะให้หลินฉิงรู้ว่าฉีซูกลับมาดีหรือไม่ สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่านางควรรู้
ทันทีที่เขาเข้ามาในตระกูลฉี เขาก็เจอเข้ากับพ่อบ้านที่รีบวิ่งออกมา พ่อบ้านบอกเขาว่าฉีเจิ้งพาอนุกลับมาเพื่อสร้างปัญหาให้หลินฉิง
ตอนที่ 1845 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (2)
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ช่างตีเหล็กชราก็รีบไปหาฉีซูแล้วจึงกลับมาที่ตระกูลฉี
“ฉีซู ใครอนุญาตให้เจ้ากลับมา” ทันทีที่ฉีเจิ้งเห็นฉีซูและน้องสาว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปแล้วตะโกนเสียงเหี้ยม
ถึงอย่างนั้น ฉีซูก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเขาแล้วส่งสายตาขอร้องไปให้อวิ๋นลั่วเฟิง “แม่นางอวิ๋น ข้าขอรบกวนให้ท่านดูอาการท่านแม่ข้าหน่อยได้หรือไม่”
อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปหาหลินฉิง ทันทีที่อวิ๋นลั่วเฟิงเห็นนางก็เผลอขมวดคิ้ว
“นางขาดสารอาหารจนทำให้ร่างกายอ่อนแอ เมื่อโดนการโจมตีเมื่อครู่ซ้ำเข้าไปนางจึงหมดสติ”
ขาดสารอาหารงั้นหรือ
หัวใจของฉีซูกระตุก
สำหรับผู้ฝึกพลังฌานแล้ว พวกเขาสามารถใช้พลังฌานทดแทนอาหารได้ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาฝึกพลังฌานถึงขั้นที่แข็งแกร่งมากพอ หลินฉิงไม่ได้มีพรสวรรค์มากนัก และแต่เดิมพลังฌานของนางก็ไม่ได้สูง ดังนั้นนางจึงยังต้องกินอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน
การที่อวิ๋นลั่วเฟิงบอกว่านางขาดสารอาหารก็หมายความว่า…ฉีเจิ้งปล่อยปละละเลยนาง!
หลังจากที่ตรวจร่างกายของหลินฉิงแล้วอวิ๋นลั่วเฟิงก็ออกคำสั่ง “พานางไปพักก่อนเถอะ” นางพูดกับช่างตีเหล็กชราที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง
เมื่อเห็นว่าน้องสาวหมดสติ หัวใจของช่างตีเหล็กชราก็เจ็บปวด หลังจากที่ได้ยินคำสั่งของอวิ๋นลั่วเฟิง เขาก็รีบอุ้มหลินฉิงแล้วเดินออกไปทางสวนด้านหลังของตระกูลฉี
“ใครอนุญาตให้นางออกไป” ฉีเจิ้งทุบโต๊ะและตะโกนอย่างเดือดดาล “หลินฉิง นางต้องมาขอโทษเฟยเฟย นางมีสิทธิ์อะไรออกไปก่อน บ่าว จับตัวนางมา!”
“ข้าอยากรู้จริงว่าใครจะกล้า!”
ตูม!
ทันใดนั้น อวิ๋นลั่วเฟิงก็แผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งออกมา ขณะมองผู้คุ้มกันที่ชักกระบี่ออกมาแล้วกล่าวโทษเขาด้วยท่าทางโอหัง
นางไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ตอบโต้ คำพูดนางมาพร้อมกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คุ้มกันตัวสั่นและหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของพวกเขาฉายแววหวาดกลัวด้วยอาจจะเพราะไม่คิดว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะปล่อยกลิ่นอายทรงพลังขนาดนี้ ในขณะที่กลิ่นอายของผู้นำตระกูลแข็งแกร่งไม่ถึงหนึ่งในสิบของนาง
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน ช่างตีเหล็กชราก็พาหลินฉิงออกไป…
“เจ้าเป็นใครถึงมายุ่งเรื่องของตระกูลฉีของข้า” ฉีเจิ้งตะโกนอย่างเดือดดาลแล้วส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธไปยังอวิ๋นลั่วเฟิง
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้ตอบหรือแม้แต่จะเหลือบมองฉีเจิ้ง นางไม่สนใจเขาโดยสิ้งเชิงแล้วเอาแต่ปลอบฉีหลิงที่ตัวสั่นอยู่ แน่นอนฉีหลิงไม่ได้ด้วยสั่นเพราะความกลัว แต่นางตัวสั่นเพราะความโกรธ
“ข้าขอถามเจ้าเพียงข้อเดียว เหตุใดเจ้าถึงบังคับให้มารดาข้าต้องขอโทษ นางทำอะไรผิดงั้นหรือ” ดวงตาของฉีซูเป็นประกายเย็นเยียบขณะที่ถามอย่างเย็นชา
ฉีเจิ้งส่งเสียงขึ้นจมูก “มารดาของเจ้าขโมยสิทธิ์และสิ่งที่เฟยเฟยควรได้รับในฐานะฮูหยินรองไป แล้วยังทำให้ข้าและเล่อเอ๋อร์ต้องแยกจากกันหลายปี ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นางยังขโมยมั่วเอ๋อร์จนทำให้เฟยเฟยต้องทนทุกข์อยู่หลายปี เจ้าว่านางไม่ควรขอโทษรึ”
ความจริงแล้วฉีซูก็เข้าใจทุกอย่างก่อนจะมาที่ตระกูลฉีแล้ว เมื่อตอนนี้เขาได้ยินคำพูดหน้าไม่อายของฉีเจิ้ง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏร่องรอยเดือดดาล
“เจ้าเป็นคนเอาตัวฉีมั่วเข้ามาในตระกูลฉีไม่ใช่หรือ มารดาข้าเป็นคนเลี้ยงดูเขามาหลายปี เจ้าไม่ใช่แค่ไม่สำนึกบุญคุณแต่ยังแทงข้างหลังนางอีก! ที่สำคัญเจ้ายังปิดบังมารดาข้าเรื่องที่เจ้ามีบ้านเล็กบ้านน้อยอยู่ข้างนอกมาหลายปี เรื่องนี้ควรเป็นความผิดเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าก็แค่โยนความผิดทั้งหมดมาให้มารดาข้าเท่านั้นเอง!”
สีหน้าของฉีเจิ้งเปลี่ยนไป
เขาเป็นคนผิดงั้นหรือ เขาจะเป็นคนผิดได้อย่างไร!