บทที่ 39 – พันธสัญญาโซล
หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวกันเสร็จสรรพก็ถูกเรียกให้ไปรวมตัวในห้องของตัวเองเหมือนดังเดิม แน่นอนว่าฉันก็ไปห้อง A
ในฐานะของอนาสตาเซียอย่างเช่นเคย
ของที่เตรียมไว้นั้นทางโรงเรียนจะรับหน้าที่นำไปให้เองดังนั้นพวกเราเพียงแค่รอเวลาถึงวันเดินทางเท่านั้น
น่าเสียดายนะเนี่ยที่เลล่าคุณเมดประจำตัวของฉันยังมาไม่ถึง ไม่งั้นเธอคงได้ไปอาณาจักรมิราลิสด้วยกันกับฉันแล้วล่ะ
แต่พอเธอมาถึงโรงเรียน ก็คงจะเงียบลงพอสมควรเลยล่ะ เพราะไม่มีนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งอยู่เลย แต่ก็นะยังมีปีสูงกว่าอยู่ปกติ
ดังนั้นเลยไม่น่ามีปัญหาอะไร ฉันเดินไปนั่งที่ของตัวเองในห้องและก็มีไอน์สไตน์นั่งอยู่ข้างๆ พอเห็นฉันเขาก็ถามขึ้น
“ว่าแต่เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเหรอ?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉันพูดเยอะไม่ได้ ไอน์สไตน์ยิ่งฉลาดอยู่เผลอพูดออกไปเขาอาจจะเดาอะไรบางอย่างออกขึ้นมาก็ได้
พอเห็นฉันไม่ค่อยอยากพูดเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อแต่อย่างใด ขณะเดียวกันนั้นเองอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
อาจารย์คนนี้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้อง A ฉันนั่นแหละ
เธอเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบต้นๆ ตัวค่อนข้างเล็ก มีปมสีเทาอ่อนๆ สวมแว่นตาทรงกลม.. เรียกได้ว่าเป็นสาวตัวเล็กสวมแว่นในอุดมคติของใครหลายๆ คนเลยล่ะ
หมายถึงในโลกเดิมฉันอะนะ แถมเธอยังมีคุณสมบัติที่เรียกว่าความ ‘ซุ่มซ่าม’ อีกต่างหากซึ่งมันทำให้เธอกลายเป็นคาแร็คเตอร์ที่น่าสนใจสุดๆ
ว่ากันว่าเธอคือนักเล่นแร่แปรธาตุที่ถือครอง ‘ศิลานักปราชญ์’ เพียงไม่กี่คนในเขตไร้อาณาแห่งนี้ ไม่เพียงแค่นั้นในโรงเรียนลิเบอร์เธอนับเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งที่สุดเลยก็ว่าได้
เมื่อวานคนที่ได้ไปคุมสอบภาคปฏิบัติเป็นอาจารย์เวโรเน่ก็จริง ตามปกติควรเป็นเธอคนนี้ แต่เพราะเจ้าตัวกลัวว่านักเรียนจะบาดเจ็บจากการต่อสู้
เลยลงทุนมุดลงไปในทะเลสาบที่ล้อมโรงเรียนอยู่เพื่อไปจับปลาวิเศษบางอย่างที่สร้างม่านลวงตาได้ ถ้าต่อสู้กันแล้วเกิดบาดแผล
บาดแผลเหล่านั้นมันจะเป็นแค่ภาพลวงตาละนะ ถ้าอยู่ภายใต้มนต์สะกดของปลาวิเศษ… แต่ประเด็นคือน้ำเย็นๆ เธอเล่นถอดเสื้อผ้าโดดลงไปเลย
ลืมคิดถึงความปลอดภัยตัวเองจึงนอนโทรมเป็นหวัดอยู่หนึ่งวันเต็มๆ .. อย่างไรก็ตามเธอเป็นคนดีมากๆ คนหนึ่งล่ะ
เธอมีชื่อว่า ‘อลิซ’
เธอเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมผิดปกติจากที่ควรจะเป็น.. ในเกมอะนะ ในเกมเธอจะมีนิสัยที่เป็นมิตรกับนักเรียนสุดๆ
“เอาล่ะ นักเรียน.. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเป็นวันที่— แอ่ก”
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรเท่ๆ นิ้วก้อยเท้าขวาเจ้าตัวก็เตะเข้าที่ขอบโต๊ะทำงานของตัวเองจนเธออุทานเสียงแปลกๆ ออกมา
“จะ.. เจ็บบบบบบ”
เธอร้องออกมา มาดที่ดึงมาตอนแรกหายหมด คนในห้องต่างพากันแสดงสีหน้าเหยเก.. ยังกับจะบอกว่า นั่นไง.. ว่าแล้ว
ก่อนที่นักเรียนคนหนึ่งจะถามขึ้น
“อาจารย์ครับ ทำไมไม่ใส่รองเท้าดีๆ ล่ะครับ”
อาจารย์ที่กำลังทรมานจากนิ้วก้อยเธอไปหาเรื่องคุณโต๊ะก็ไม่ย่อท้อ เธอกัดฟันหันมาตอบนักเรียนด้วยสีหน้าดูไม่ได้
“ก็.. ก็… รองเท้าอาจารย์ยังไม่แห้งน่ะสิ!”
“เอ๊ะ อย่าบอกนะคะว่าอาจารย์ตอนลงไปว่ายน้ำถอดเสื้อผ้าแต่ไม่ถอดรองเท้าน่ะ?”
นักเรียนหญิงอีกคนหนึ่งก็กล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงงุนงงเล็กน้อย อาจารย์อลิซที่ได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวด้วยความเขินเล็กน้อย
“พอดีอาจารย์ลืมถอดน่ะ”
“อย่าลืมสิเฮ้ย! ถึงขั้นเตรียมชุดว่ายน้ำมาเพื่อว่ายน้ำ ถอดชุดเสื้อผ้าเสร็จสรรพ แต่ดันลืมถอดรองเท้าเนี่ยเป็นไปได้ด้วยเหรอ!?”
ใครก็ไม่รู้นะเป็นคนตบซัปพอร์ต แต่ก็ตบได้สวย ฉันว่าเป็นการตบที่เฉียบสุดๆ อาจารย์อลิซที่โดนนักเรียนพูดแบบนั้นเธอก็น้ำตาเล็ด
“ก็.. ก็.. อาจารย์ลืมนี่น่า”
ให้ตายสิ เป็นอาจารย์แท้แต่ทำไมแก๊ปโมเอะได้ขนาดนี้ฟร้าา ถ้าไม่ใช่ว่าฉันเป็นนักเรียนแล้วเธอเป็นอาจารย์ละก็
ฉันคงเข้าไปถูไถให้ชื่นใจสักป๊าบแล้วละนะ จะบอกให้…
“อ่ะแฮ่ม.. ถ้าจะนอกเรื่องก็พอไว้แค่นั้นแหละ รุ่นพี่”
ในตอนนั้นเองอาจารย์อีกคนก็พูดห้ามขึ้น เธอคือคนที่คุมสอบข้อเขียน ที่มาปรักปรำใส่ฉันว่าฉันโกงเข้าเรียน.. ถึงมันจะจริงก็เถอะนะ เทะเฮะ
เธอมีชื่อว่า ซาริสะ เป็นรุ่นน้องของอาจารย์อลิซนั่นแหละ เธอรับหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ช่วยของห้อง A แห่งนี้ล่ะนะ
และเธอเป็นคนที่คอยช่วยซัปพอร์ตอาจารย์อลิซได้ดีมากเลยทีเดียว ถึงจะดูน่ากลัวไปหน่อยก็เถอะนะ
“เอาล่ะ.. พวกเราจะมาพูดถึงสิ่งที่ต้องทำเมื่อไปถึงอาณาจักรมิราลิส”
อาจารย์ซาริสะเธอพูดขึ้น นักเรียนทุกคนไม่มีทีท่าเหมือนตอนที่อาจารย์อลิซโผล่มาเลย เพราะเธอรู้ว่าอาจารย์คนนี้เป็นคนที่ค่อนข้างดุ
เธอก็เริ่มพูด.. การแข่งขันจะเริ่มในอีกสองวันให้หลัง หลังจากที่พวกเราเดินทางไปถึงด้วยเกท ทางฝั่งอาณาจักรมิราลิสจะให้เราพักผ่อน
วันพรุ่งนี้ตอนกลางวันนักเรียนทุกคนจะมีเวลาว่างสามารถไปเที่ยวทั้งอาณาจักรมิราลิสได้ อาณาจักรที่มี ‘วิทยาเวท’ ก้าวหน้าที่สุด
พอตกเย็นในวันเดียวกันจะมีงานเลี้ยงถูกจัดขึ้น เป็นการพบปะทั้งห้าโรงเรียน.. พอวันที่สามจะเป็นวันที่ไม่มีอะไรเลย
คือวันพักผ่อนนั่นแหละ พอเข้าวันที่สี่.. นั่นแหละงานแข่งขันเฟสเตอร์จะเริ่มขึ้นนั่นเอง!
แน่นอนว่าที่อาจารย์พูดฉันรู้อยู่บ้างจากเกม แต่เพราะมีกดข้ามบทอธิบายบ้างเลยไม่รู้ทั้งหมด พอมาถูกเล่าให้ฟังซ้ำเลยจำได้ขึ้นใจแล้วล่ะ
“มีใครมีคำถามอะไรอีกไหม?”
พออาจารย์ซาริสะถามออกมาแบบนั้น ในตอนนั้นเองไอน์สไตน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันก็ยกมือขึ้น
“มีอะไรเหรอ ไอน์สไตน์?”
“มีเรื่องสงสัยว่า.. ทางโรงเรียนอื่นพวกเขาสามารถใช้ ‘อสูรอัญเชิญ’ กับ ‘พันธสัญญาโซล’ ได้แล้วแต่นักเรียนบางคนยังไม่เข้าสู่หลักสูตรนั้นเลย หากเป็นงานแข่งขันที่ต้องใช้กำลัง ไม่ใช่ว่าฝ่ายโรงเรียนจะเสียเปรียบสุดๆ เหรอ?”
อาจารย์ซาริสะพยักหน้าให้กับคำถามไอน์สไตน์เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบ
“แน่นอนว่าทั้งสองอย่างนั้นจะสร้างความแตกต่างระหว่างพวกเรากับพวกเขาเกินไป.. อย่างไรก็ตามเธอสาวมารถวางใจได้เลยว่า จะไม่มีความแตกต่างแบบนั้นอย่างแน่นอน ข้าคงเปิดเผยเนื้อหาการแข่งขันไม่ได้ แต่จะขอยืนยันให้พวกเจ้าสบายใจว่า.. งานแข่งขันที่ถูกตลลงสร้างขึ้นใหม่นี้ จะไม่มีความแตกต่างเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
เธอยิ้มพร้อมกับพูดไปด้วย.. เอาเถอะถึงคนอื่นจะไม่รู้เนื้อหาการสอบ แต่ฉันรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งเลยล่ะ ถึงจะไม่ได้อ่านกฎให้ละเอียดก็เถอะ
แต่เอาเป็นว่าฉันรู้ว่าเป็นการแข่งขันแบบไหน.. อสูรอัญเชิญนั้นก็ตามชื่อเลย
เป็นศาสตร์ในการอัญเชิญอสูร.. เอาเข้าจริงแทนที่จะเรียกว่าอสูรควรจะเรียกว่าพรรคพวกคนหนึ่งมากกว่า
โดยอสูรที่อัญเชิญออกมาจะทำหน้าที่ในการซัปพอร์ตคนคนนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กันทุกคนหรอกนะ เพียงแต่มันแค่ช่วยได้เยอะ
“อสูรอัญเชิญข้าพอจะรู้จักนะ.. แต่พันธสัญญาโซลนี่คืออะไรอ่ะ ”
สกาเล็ตถามฉันเบาๆ
“พันธสัญญาโซลเหรอ..”
ฉันนึกถึงเรื่องพันธสัญญาโซลที่เกมเคยอธิบายอยู่พักหนึ่ง.. ฉันจำไม่ได้เหมือนกันว่าพันธสัญญาโซลนั้นใครเป็นคนสร้าง
แต่ฉันจำได้ว่าพันธสัญญาโซลไม่ได้มีมาแต่แรกเหมือนพวกเวทมนตร์.. แต่ถ้าถามว่ามันคืออะไรฉันพอจะจำได้อยู่บ้าง
ฉันคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะอธิบายสิ่งที่ฉันพอจะจำได้ให้สกาเล็ตฟัง
สิ่งที่เรียกว่าพันธสัญญาโซลนั้นจะแตกต่างจากเวทมนตร์ที่จะแบ่งแยก กึ่งมนุษย์ ปีศาจหรือมนุษย์.. เพราะพันธสัญญาโซลไม่ว่าจะมาจากเผ่าไหนก็ล้วนสร้างพันธะได้นั่นเอง
และการจะทำมันได้คือต้องใช้พิธีกรรมบางอย่างในการอัญเชิญโซล เอาเข้าจริงถ้าเปรียบละก็มันเหมือนพวกพันธสัญญากับภูต เหมือนในการ์ตูนนั่นแหละ
แต่ดูเหมือนว่าพวกภูตในโลกนี้จะไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น ภูตในโลกนี้นั้นอยู่เหนือจินตนาการเกินไป ซึ่งมันไม่อาจอัญเชิญมาทำสัญญาได้หรอก
แต่โซลทำได้ การอัญเชิญจะเริ่มขึ้นและโซลที่เหมาะสมกับเราที่สุดจะปรากฏขึ้น โซลนั้นดำรงอยู่ในรูปแบบของสิ่งมีชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ปีศาจ กึ่งมนุษย์ คน ล้วนมีความเป็นไปได้ ซึ่งโซลของเรานั้นจะเป็นโซลที่มีความผูกพันทางวิญญาณบางอย่าง
นั่นหมายความว่าโซลที่จะทำพันธสัญญากับเราถูกกำหนดมาตลอดระยะเวลาที่ดวงวิญญาณเราได้พบเจอมา (ตลอดช่วงชีวิต)
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องรีบทำพันธสัญญาเร็วๆ หากทำตอนโตละก็ความบริสุทธิ์ของจิตใจและดวงวิญญาณอาจจะหายไป สิ่งที่จะตามมามีเพียงโซลที่ดุร้ายและไม่เหลือความบริสุทธิ์นั่นเอง
นอกจากนี้โซลยังสามารถปรากฏตัวได้จากสถานการณ์บางอย่างได้อีกด้วย
หากถามว่าแล้วโซลมาจากไหน.. โซลมาจากอดีตกาลหรืออนาคตอันไกลโพ้น ถ้าหากเปรียบเทียบแล้วละก็อสูรคือบุคคลในประวัติศาสตร์โลกอื่นที่ไม่ใช่โลกนี้
โซลก็เป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของโลกนี้นั่นแหละนะ
…………..
[แอบอู้ไปสองวันไม่ใช่อะไรครับ ผมเครียดขึ้นเล็กน้อย เขียนนิยายไม่ออก — ผู้เขียน]