ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องพักโดยมีฉื่อไท่หลางชงชาให้กับแขกทั้งสองก่อนแยกตัวออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ
“ขอบคุณมากสำหรับเรื่องเมื่อครู่นี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณหลานเผิงและลุงติงอย่างจริงใจ ถึงแม้นางจะพาฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ หลบหนีเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวได้ ทว่านั่นก็จะทำให้นางต้องเปิดเผยไพ่ตายที่สำคัญในเวลาที่เร็วเกินไป แต่ด้วยการปรากฏตัวของหลานเผิงและลุงติง คฤหาสน์มิติของนางจึงไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่น
ก่อนหน้านี้นางสืบทราบแล้วว่าคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นสมบัติฟ้าดินที่พบได้ยากอย่างยิ่งแม้ในดินแดนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เมื่อใดที่มันถูกเปิดเผยออกไป มันจะดึงดูดความสนใจของคนจิตใจชั่วร้ายมากมายอย่างแน่นอน
ในดินแดนมหาเทพแห่งนี้เต็มไปด้วยเสือหมอบมังกรซ่อนมากมายนับไม่ถ้วน เพราะเหตุนั้น แม้ฉินอวี้โม่จะมีไพ่ตายที่ช่วยให้เอาตัวรอดมากพอสมควร นางก็ต้องพยายามเก็บตัวและไม่ทำสิ่งใดโดดเด่นจนเกินไปก่อนจะเข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายได้สำเร็จ
* 藏龙卧虎 , 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ เมื่อมีการแก่งแย่งชิงดีกัน คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา, คนที่เก่งแต่ไม่แสดงตัว คล้าย ๆ คำว่า ‘เสือซุ่ม’
“แม่นางอวี้โม่ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้มอบป้ายจ้าวสมุทรให้ท่านไว้ดูเล่น สำหรับคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอย่างโจวเฉียนนั่น เพียงท่านหยิบป้ายจ้าวสมุทรออกมา เขาก็จะเงียบปากไปในทันที”
หลานเผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สำหรับผู้ที่ไม่มียศตำแหน่งสูงส่งอย่างโจวเฉียน เขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยสักนิด แม้แต่ผู้นำตระกูลโจวก็ยังไม่มีค่าพอที่จะอยู่ในสายตาของหลานเผิงด้วยซ้ำ
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ลักษณะนิสัยของหลานเผิงช่างน่าดึงดูดใจและน่าคบหาด้วยอย่างแท้จริง
“แม่นางอวี้โม่ การที่เรามาหาท่านในวันนี้เป็นเพราะเราต้องการความช่วยเหลือบางอย่างจากท่าน”
ลุงติงกล่าวเข้าประเด็นทันที พวกเขาทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมระดับสูงและต้องการขอความช่วยเหลือจากนางเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนว่าจะมาพบนางในอีกหนึ่งหรือสองวัน ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ผันผวนอย่างประหลาดรอบโรงเตี๊ยม พวกเขาจึงอดที่จะเข้าไปชมเรื่องสนุก ๆ ไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเหตุการณ์ที่คนตระกูลโจวหาเรื่องกวนใจฉินอวี้โม่เช่นนี้
“มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือ ? โปรดว่ามาเถอะ”
หลานเผิงเป็นสหายที่ควรค่าแก่การผูกมิตรและเขาก็ช่วยเหลือนางไว้มาก แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ยินดีตอบแทนความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ
“ข้าจะบอกอย่างไรดี… เอ่อ…ข้าอยากได้สมบัติอย่างมิติที่สอง ต่อให้เป็นระดับเริ่มต้นก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ทราบว่าท่านจะหลอมมันให้ข้าได้หรือไม่ ?”
หลานเผิงกล่าวด้วยท่าทางเก้อเขิน เขาทราบดีว่ามิติที่สองเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเพียงใดและการหลอมมันก็มิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ทว่ามันก็เป็นสมบัติที่นายน้อยตระกูลหลานอดปรารถนาที่จะครอบครองมันมาไม่ได้เช่นกัน
ต่อให้เป็นเพียงพื้นที่มิติขนาดเล็กที่เข้าไปได้เพียงคนเดียว เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะลองดู อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้นที่ข้าหลอมคฤหาสน์เฟิงหัวได้สำเร็จ ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าการหลอมครานี้จะสำเร็จรึไม่”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตกปากรับคำ บังเอิญว่านางกำลังต้องการยืนยันระดับฝีมือในการหลอมของตนพอดิบพอดี และนี่จะเป็นโอกาสที่เหมาะสม
“เยี่ยมไปเลย !”
หลานเผิงอดยืนขึ้นด้วยความดีใจไม่ได้ ด้วยวัยเพียงสิบหกปี เป็นธรรมดาที่เขาจะยังมีลักษณะท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเด็กอยู่บ้าง
“แม่นางอวี้โม่ บอกมาได้เลยว่าท่านต้องการวัตถุดิบอะไรบ้าง ข้าจะส่งคนไปรวบรวมมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากข้าเดาไม่ผิด ระดับฝีมือการหลอมอุปกรณ์ของท่านน่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัด หากจะถือโอกาสนี้ไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อประเมินมันก็ย่อมได้ หากฝีมือในการหลอมของท่านอยู่ในระดับต้น ๆ ของดินแดน ท่านจะมีสถานะที่น่าหวาดหวั่นและเป็นที่เคารพนับถือของทุกคน แม้แต่คนจากขุมกำลังใหญ่ก็ไม่กล้ามีเรื่องกับช่างหลอมในระดับนี้”
เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าคาดเดาได้อย่างแม่นยำ ฉินอวี้โม่ยังไม่มีโอกาสประเมินระดับฝีมือในการหลอมของตนเอง ไม่รู้เลยว่าวิธีการประเมินระดับช่างหลอมในดินแดนมหาเทพจะต่างไปจากดินแดนเทพมายาหรือไม่ ?
“หลังจากการคัดเลือกของเมืองเทียนหยวนเสร็จสิ้น ข้าจะมีเวลาว่างสองเดือน ระหว่างนี้ท่านรวบรวมวัตถุดิบไปก่อนก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่คำนวณเวลาหลังจากนี้และมีเวลาว่างหลังจากการคัดเลือกรอบเมืองเทียนหยวนระยะหนึ่ง นางเองก็ต้องการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อสร้างชื่อให้กับตนเองเช่นกัน และช่างหลอมที่ทรงพลังก็เหมาะสมที่จะได้รับการยอมรับจากสมาคมช่างหลอมและตระกูลหลาน
“ไม่มีปัญหา”
หลานเผิงพยักศีรษะรับคำในทันที
ฉินอวี้โม่จรดปากกาจดรายการสิ่งของที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและยื่นมันให้กับบุรุษหนุ่มตรงหน้า
หลานเผิงรับรายการนั้นและไล่อ่านรายชื่อสิ่งของทั้งหมด เมื่อไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติหรือหายากเกินไป เขาก็ยื่นมันให้กับลุงติงทันที
วัตถุดิบทั้งหมดในรายการของฉินอวี้โม่นี้ พวกเขาสามารถรวบรวมมาได้สามชุดภายในเวลาเจ็ดวัน
จากนั้นทั้งสามก็พูดคุยกันอีกพักใหญ่ เมื่อเริ่มตกดึกและเห็นว่าไม่มีคนจากตระกูลโจวมาก่อกวนอีก หลานเผิงและผู้จัดการศูนย์การค้าก็แยกตัวกลับไป
“ลูกพี่อวี้โม่ ท่านสุดยอดจริง ๆ ที่ไปรู้จักกับผู้มีอิทธิพลเช่นนั้นได้ !”
ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นายน้อยของตระกูลหลานที่พวกเขาเคยคิดว่าอยู่ไกลเกินเอื้อมเกินไป ทว่าในเวลานี้กลับปรากฏตัวตรงหน้าและยังเป็นมิตรสนิทสนมกับฉินอวี้โม่ นี่ก็ทำให้พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
“ทุกคนพักผ่อนก่อนเถอะ อีกสี่วันข้าจะพาทุกคนไปร่วมงานประมูลของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรเพื่อที่พวกเจ้าจะได้เปิดหูเปิดตากัน”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าวกับทุกคน ในวันนี้พวกเขาแสดงผลงานได้ดีและเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง หลังจากประสบการณ์ครั้งสำคัญนี้ เชื่อว่าพวกเขาจะพัฒนาขึ้นมาก
“เข้าใจแล้ว”
ความเคารพในใจที่พวกเขามีต่อฉินอวี้โม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อนางกล่าวเช่นนั้น ทุกคนก็ตอบรับแต่โดยดีก่อนแยกย้ายกันออกไป
“ซิว อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เมื่อฉินอวี้โม่เหลืออยู่ในห้องเพียงคนเดียว นางก็นึกถึงซิวและตรงเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างรวดเร็ว
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ซิวนั่งอยู่บนพื้นสนามหญ้ากว้างใหญ่และยังคงดูไม่แตกต่างไปจากปกติ
“ข้าไม่เป็นไร แต่ตาเฒ่านั่นก็แข็งแกร่งมากจริง ๆ”
ความเยือกเย็นฉายวาบในแววตาของซิวและน้ำเสียงเจือด้วยจิตสังหารเล็กน้อย มันตระหนักแล้วว่าตอนนี้มันยังรับมือกับยอดฝีมือในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงไม่ได้
เมื่อครั้งอยู่ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ ซิวเป็นเทพอสูรผู้ไร้เทียมทานและไม่เคยเผชิญกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้มาก่อนไม่ว่าจะประจันหน้ากับผู้ใดก็ตาม ทว่าครานี้มันกลับได้รับบาดเจ็บพอสมควร หากมิใช่เพราะพลังป้องกันที่แกร่งกล้าของมัน เกรงว่ามันก็คงจะบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
“อีกหนึ่งเดือน ข้าจะบดขยี้ตาเฒ่านั่นด้วยมือของข้าเอง !”
ความคิดของซิวเหมือนกับความคิดของฉินอวี้โม่ไม่มีผิด แน่นอนว่าทั้งสองจะหาทางกำจัดศัตรูด้วยเงื้อมมือของตัวเอง ในเมื่อผู้อาวุโสโจวเฉียนพยายามสังหารทั้งฉินอวี้โม่และซิว ทั้งสองคงจะรู้สึกผิดต่อตนเองมากหากไม่ได้สังหารบุรุษชราผู้นั้นด้วยตัวเอง
ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และซิว ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทั้งสองมั่นใจว่าจะเอาชนะโจวเฉียนผู้นั้นได้อย่างแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม มันก็มิใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว การต่อสู้กับตาเฒ่านั่นทำให้เขาเข้าใจสิ่งใหม่เพิ่มขึ้น คาดว่าในอีกไม่กี่วัน ข้าจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ”
การต่อสู้กับโจวหังรุ่ยและโจวเฉียนทำให้ฉินอวี้โม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของตนเองมากขึ้น แท้ที่จริงแล้วพลังมายาของนางก็มากพอที่จะทะลวงพลังได้นานแล้ว ทว่าพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ในร่างกลับขัดขวางมิให้นางทำเช่นนั้น ในการประชันฝีมือกับโจวเฉียนก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ต้องการใช้พลังลึกลับในร่างของตนอีกครั้ง ทว่ามันกลับไม่ยอมตอบสนองต่อนาง
อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้กับโจวเฉียน ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าการกีดขวางของพลังดังกล่าวหายสาบสูญไปแล้ว หากไม่เกิดสิ่งใดที่ไม่คาดคิดในระหว่างนี้ นางมั่นใจว่าจะทะลวงพลังได้สำเร็จภายในสามวันอย่างแน่นอน
“พลังในร่างกายของท่านแปลกประหลาดอย่างแท้จริง”
ซิวกล่าวพลางถอนหายใจ มันทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ต้นทว่าไม่เคยค้นพบร่องรอยของพลังลึกลับนั้นมาก่อนและไม่เคยสัมผัสถึงมันจนกระทั่งพลังดังกล่าวแสดงออกมาด้วยตัวมันเอง อย่างไรก็ตาม ซิวก็ยังไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามันคือพลังประเภทใด
เพียงแต่มันรับรู้ได้ว่าพลังลึกลับนั้นเป็นพลังที่ดีและไม่เป็นภัยต่อฉินอวี้โม่ ยิ่งไปกว่านั้น พลังดังกล่าวก็เหมือนจะต่อต้านมันและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ก็ต้องการสยบพลังนั้นและทำให้มันอยู่ภายใต้การควบคุม ทว่ามันคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
“ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับพลังนี้มากแต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุใด”
เมื่อพลังนั้นปรากฏเป็นครั้งแรก ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ลึก ๆ ราวกับพลังนั้นเป็นพลังของนางมาตั้งแต่แรกซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยากเกินเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ทั้งที่ระดับพลังของนางบรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวแล้ว พลังลึกลับนั้นก็ยังคงซ่อนตัวอยู่เช่นเดิม ฉินอวี้โม่จึงไม่มั่นใจสิ่งใดเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย
“อย่าคิดมากเกินไปเลย ตราบใดที่ท่านแข็งแกร่งมากพอ มันก็จะปรากฏออกมาแน่ ตอนนี้เราทำได้เพียงฝึกฝนบ่มเพาะพลังเพื่อพัฒนาให้ทรงพลังมากขึ้นโดยเร็วที่สุด คนของสามสำนักและเก้านิกายเหนือชั้นกว่าตระกูลโจวมากนัก เราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
ซิวก็กล่าวปลอบใจฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวต่อ “นายหญิง ข้าจะเก็บตัวจำศีลสักระยะ ท่านระวังตัวด้วยล่ะ”
การต่อสู้กับโจวเฉียนทำให้มันบาดเจ็บพอสมควรและจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ใกล้จะทะลวงพลังได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะพัฒนาความแข็งแกร่งต่อไปได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นการรักษาตัวให้หายดีในตอนนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอก หลังจากวันนี้คงไม่มีใครในเมืองเทียนหยวนที่กล้ากวนใจข้าแน่ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร ไม่ว่าคนพวกนั้นจะอาจหาญเพียงใดก็ไม่มีทางกล้าหาเรื่องข้าอีก”
ฉินอวี้โม่ไม่กังวลเท่าใดนัก หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ ชื่อเสียงของนางน่าจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองแล้ว หากเดาไม่ผิด คาดว่าผู้นำตระกูลโจวจะมาขอโทษนางด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้
ซิวก็ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรเพื่อเก็บตัวทันที
ฉินอวี้โม่ก็จัดระเบียบคฤหาสน์เฟิงหัวและตรวจดูเหล็กนิลหมื่นปีที่จัดเรียงอยู่ภายในห้องครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็คิดว่าจะรอให้การคัดเลือกครานี้สิ้นสุดลงก่อน เมื่อถึงตอนนั้น นางจะพัฒนาปรับโฉมคฤหาสน์เฟิงหัวอีกครั้ง
เช้าตรู่วันต่อมา น้ำเสียงเคารพนอบน้อมของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็ดังขึ้นหน้าประตูก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตื่นด้วยซ้ำ
“จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ขอรับ ผู้นำตระกูลโจวมาพบท่านและตอนนี้กำลังรออยู่ในห้องที่พิเศษสุดของโรงเตี๊ยม ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์ตื่นแล้วหรือยังขอรับ ?”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมซาบซึ้งในการกระทำของฉินอวี้โม่อย่างที่สุด นางไม่ขุ่นเคืองใจเขาเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้และยังสั่งให้ตระกูลโจวชดเชยค่าเสียหายให้กับโรงเตี๊ยมอีก นี่ก็ทำให้เขารู้สึกเคารพและชื่นชมนางอย่างแท้จริง
“ให้เขารอไปก่อน”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นเบา ๆ นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้นำตระกูลโจวจะมาที่นี่ เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็หันหลังกลับและเดินจากไป
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้มีเพียงห้องพักเท่านั้นทว่ายังมีห้องอาหารรองรับ ภายในห้องแยกบนชั้นที่สอง โจวปิ่งฮุย—ผู้นำตระกูลโจวนั่งอยู่ภายในพร้อมด้วยโจวเฉียนและโจวหังรุ่ยจากเมื่อวานนี้
“ท่านผู้นำโจว จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่เพิ่งตื่นได้ไม่นานและจะขอเวลาเตรียมตัวสักพักขอรับ”
เถ้าแก่เดินเข้ามาในห้องและกล่าวอย่างเคารพ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับความเคารพที่เขามีต่อฉินอวี้โม่ ท่าทางของเขาในตอนนี้ไม่มีความจริงใจแต่อย่างใด
สำหรับคนอย่างผู้นำตระกูลโจว ต่อให้ผู้อื่นจะรู้สึกหวาดหวั่นในพลังอำนาจและอิทธิพล พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเคารพนอบน้อมจากใจจริง
“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา”
ใบหน้าของโจวปิ่งฮุยประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ และท่าทางของเขาดูอบอุ่นยิ่งนัก เมื่อได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินทางมาที่นี่ทันที ฉินอวี้โม่มิใช่สตรีที่ตระกูลโจวของเขาจะท้าทายได้
“ท่านผู้นำ เจ้าฉินอวี้โม่นั่นจะยโสโอหังเกินไปแล้ว !”
โจวหังรุ่ยไม่พอใจเป็นที่สุดและกล่าวอย่างใจร้อน
“หุบปากไปเสีย !”
โจวปิ่งฮุยตวัดสายตามองเขาอย่างดุร้ายและตะโกนกร้าวด้วยน้ำเสียงโมโห