ตอนที่ 1848 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (5)
ฉีมั่วตัวสั่นด้วยความโกรธ ถ้าสายตาสามารถสังหารคนได้ ฉีซูคงตายไปแล้วเป็นหมื่นครั้ง
“มั่วเอ๋อร์ ไม่ต้องพูดแล้ว” ใบหน้าของเจี๋ยนเฟ่ยเฟ่ยเต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่นางค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ดวงตางามของนางมีแต่ความโศกเศร้าราวกับว่าฉีซูเป็นคนจิตใจอำมหิต “ซูเอ๋อร์ ถึงอย่างไรข้าก็ยังเป็นแม่รองของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดบิดาแต่เรื่องนี้เขาไม่ผิด แผ่นดินนี้มีบุรุษคนใดบ้างที่ไม่มีสามภรรยาสี่อนุ ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาของเจ้าคัดค้าน บิดาเจ้า…ก็คงไม่เจ็บปวดแบบนี้”
คำพูดของนางทำเหมือนว่าการที่ฉีเจิ้งมีบ้านเล็กบ้านน้อยข้างนอกไม่ใช่เรื่องผิด ในขณะที่สื่อว่าหลินฉิงเป็นสตรีที่สุดแสนจะร้ายกาจ
“ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลฉี มั่วเอ๋อร์ควรเป็นคนได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมด เจ้าพาคนนอกมาที่นี่เพื่อทำร้ายบิดาเจ้ายังไม่พอ ยังวางแผนฉกฉวยทรัพย์สมบัติของตระกูลอีกหรือ”
“แม่รองงั้นหรือ” ฉีซูยิ้มเยาะ “ข้าไม่แม้แต่จะนับถือฉีเจิ้งเป็นบิดา แล้วจะเรียกเจ้าว่าแม่รองได้อย่างไร อีกอย่างเจ้าเป็นแค่อนุ แต่กลับกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นมารดาข้างั้นหรือ ต่อให้เจ้าไม่รู้สึกละอาย แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าทำตัวน่าอับอายเหลือเกิน!”
เมื่อเขานึกถึงว่าคนพวกนี้ดูแลหลินฉิงแย่แค่ไหน แล้วยังบังคับให้นางคุกเข่าเพื่อขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของนาง เขาก็โกรธมาก
“ปกติแล้วข้าจะไม่ทำร้ายสตรีแต่ถ้าพวกนางชั่วร้ายมากก็เป็นคนละเรื่องกัน!”
“เจ้า…” เจี่ยนเฟยเฟยหน้าซีดและตอนที่นางพยายามจะพูดต่อ
ฉีซูที่รู้สึกว่าคำพูดของนางน่าขยะแขยงจึงตัดสินใจทำให้นางไม่สามารถพูดได้อีก เขาพุ่งเข้าไปหานางแล้วกระทืบเท้าลงบนหน้าอกของเจี่ยนเฟยเฟยอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
“ท่านพี่ จับนางไว้ให้ข้า ข้าจะทุบตีนาง!” ฉีหลิงอยากลงมือมานานแล้วดังนั้นเมื่อเห็นฉีซูพุ่งเข้าไป นางก็รีบพูดขึ้นทันที เสียงของนางเบามากและไม่ได้สง่าผ่าเผยอะไร แต่ว่าในฐานะที่เป็นพี่ชายที่เชื่อฟังน้องสาว ฉีซูก็ดึงผมเจี่ยนเฟยเฟยแล้วจับแขนนางมาไพล่ไว้ข้างหลังเพื่อป้องกันไม่ให้นางขยับ
“สตรีชั่วช้า เจ้ากล้ารังแกท่านแม่ข้า!”
ฉีหลิงวิ่งเข้ามาตรงหน้าเจี่ยนเฟยเฟยอย่างรวดเร็วแล้วใช้เล็บมือกรีดใบหน้าของนางจนเกิดเป็นรอยแดง
“นังสารเลว เจ้ากล้าทำร้ายท่านแม่ข้างั้นหรือ!” ฉีเล่อเดือดดาลและตั้งใจจะเข้ามาสั่งสอนฉีหลิง แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าเข้ามา หั่วหั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ทำให้นางกระเด็นลอยออกไปทันที
ฉีมั่วหวาดกลัวหั่วหั่วจนตัวแข็ง แล้วคิดว่าโชคดีที่เขาไม่ใช่คนแรกที่ก้าวออกไป…
“อ๊า!”
เจี่ยนเฟยเฟยกรีดร้องอย่างบีบหัวใจขณะที่ดวงตาแดงก่ำและน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง เสียงของนางทำให้คนอื่นทุกข์ทรมาน และดวงตาของฉีเจิ้งที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นก็กระตุก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ฉีเจิ้งไม่ได้หมดสติ แต่เขากลัวว่าตัวเองจะโดนทรมานไปมากกว่านี้ถ้าเขายังมีสติอยู่ ดังนั้นเขาจึงแกล้งสลบ
ธรรมชาติของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว! ถึงแม้ว่าเขาจะรักเจี่ยนเฟยเฟยมากแต่คนที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง ต่อให้เจี่ยนเฟยเฟยจะโดนทรมาน เขาก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาช่วยแน่นอน ถึงอย่างไรถ้าพวกเขารอดจากสถานการณ์นี้ไปได้ เขาแค่ชดเชยให้นางก็พอ
ยามต่อสู้สตรีจะแตกต่างจากบุรุษ ถ้าฉีซูเป็นคนทำร้ายนาง เขาก็คงตบหรือเตะนางสักสองสามครั้ง แต่กับฉีหลิงนั้นต่างกัน เล็บเล็กๆ และบอบบางข่วนไปทั่วใบหน้าของนางและเส้นผมกระจุกหนึ่งก็ถูกกระชากออกไปจนทำให้หนังศีรษะเลือดออก เจี่ยนเฟยเฟยเจ็บปวดมากจนไม่สามารถกลั้นเสียงกรีดร้องได้
“ฉีซู ฉีหลิง พอได้แล้ว!” ฉีมั่วตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
เพราะมีหั่วหั่วยืนจ้องเขาราวกับพยัคฆ์จ้องเหยื่ออยู่ข้างๆ เขาจึงไม่กล้าทำอะไร
“ฉีซู พระสนมฉินเป็นท่านน้าของข้าและองค์ชายน้อยก็เป็นว่าที่จักรพรรดิ เจ้าไม่กลัวพระสนมฉินมาแก้แค้นหรือ” ฉีมั่วโกรธจนดวงตาลุกเป็นไฟ “เจ้าน่าจะรู้ว่าราชวงศ์มียอดฝีมือขั้นเซียนอาวุโสถึงสองคนและยังมียอดฝีมือขั้นเซียนสวรรค์อีกสิบกว่าคน!”
…………………………
ตอนที่ 1849 อย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว (6)
พูดตามตรง ฉีซูก็หวาดกลัวพระสนมฉินมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาถึงทำข้อตกลงกับองค์ชายรอง แต่ว่าตอนนี้…ถึงแม้ว่าพระสนมฉินจะส่งคนมาลงโทษพวกเขา เขาก็ต้องสั่งสอนเจี่ยนเฟยเฟยให้ได้!
“พระสนมฉินงั้นหรือ แล้วอย่างไร ตระกูลฉีเป็นฝ่ายผิดแล้วเหตุใดต้องระบายความโกรธมาลงที่ท่านแม่ข้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็แค่สั่งสอนอนุคนหนึ่ง เจ้าอย่าบอกข้านะว่าพระสนมฉินอยากจะเข้ามายุ่งเรื่องไร้สาระเช่นนี้” ฉีซูยิ้มเย็น
ฉีมั่วอดกลั้นความโกรธเอาไว้แล้วดูเหมือนว่าเขาจะคิดบางอย่างออก ก่อนจะพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ฉีซู เจ้าอาจจะยังไม่รู้แต่พระสนมฉินตัดสินใจยกองค์หญิงสี่ให้เป็นอนุของข้า! ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าทั้งคู่รักกันหรอกหรือ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้เจ้ามาเป็นพยานว่าสตรีที่เจ้ารักจะโดนทรมานจนตายอยู่ภายใต้ร่างข้าอย่างไร!”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ” เสียงของฉีซูยิ่งเย็นชาแล้วสามารถจับความโกรธในน้ำเสียงได้ไม่ยาก
“ข้าบอกว่า อดีตคู่หมั้นของเจ้าจะมาเป็นอนุของข้า สตรีที่เหมาะจะมาเป็นอนุข้าก็คงมีแต่สตรีที่เจ้ารักนี่แหละ เจ้าไม่คิดว่ามันน่าอับอายหรือ” ฉีมั่วกัดฟันพูด
ตูม!
ทันใดนั้นก็มีฝ่าเท้ามาประทับอยู่บนใบหน้าของฉีมั่วอย่างแรงจนทำให้เขาถอยหลังไปสองสามก้าว จมูกกับปากของเขาฟกช้ำและมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“ข้าท้าให้เจ้าลองแตะต้องนางดู!” ฉีซูปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมาจนทำให้ฉีมั่วหวาดกลัวจนหน้าซีด
แต่ว่าฉีมั่วก็ยังไม่ยอมแพ้แล้วพูดด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ก็ไม่มีผล พระสนมฉินตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครหยุดนางได้ ถ้าเจ้าทำได้ก็ไปสู้กับนางสิ ข้าจะอยากเห็นว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร!”
พลั่ก!
เท้าของฉีซูเตะเข้าที่ใบหน้าของฉีมั่วจนเขาเกือบจะสิ้นใจ
ใครสอนให้เขาปากเสียแบบนี้ เขารู้ดีว่าฉีซูรักมู่เสวี่ยซินมากแค่ไหน และตัวเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแต่ก็ยังไปยั่วโมโหฉีซูอีก
ไม่ใช่ว่าเขาหาเรื่องโดนตีหรอกหรือ
อวิ๋นลั่วเฟิงยิ้มเยาะแล้วกอดอกพิงกรอบประตูอย่างเกียจคร้าน ขณะที่ดวงตาร้ายกาจของนางกวาดมองไปทั่วห้องโถง
ไม่มีผู้คุ้มกันของตระกูลฉีคนใดกล้าตอบโต้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ใส่ใจฉีเจิ้งแต่เป็นเพราะว่าพวกเขาหวาดกลัวความแข็งแกร่งของอวิ๋นลั่วเฟิงและกลิ่นอายชั่วร้ายของฉีซูต่างหาก
เมื่อเห็นว่าฉีซูน่าจะตีอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงก็พูดขึ้นช้าๆ “ฉีซู สวนของตระกูลฉี อาจารย์เจ้าเป็นคนซื้อมาใช่หรือไม่”
ก่อนหน้านี้ตระกูลฉีไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองจักรพรรดิ พวกเขาพึ่งย้ายมาหลังจากที่แข็งแกร่งแล้ว ดังนั้นนางจึงถามคำถามนี้ขึ้นมา
ฉีซูพยักหน้า “ทุกอย่างที่ตระกูลฉีมีเป็นของอาจารย์ข้าทั้งนั้น” เพราะแบบนี้ตอนที่เขารู้ว่าหลินฉิงต้องอาหาร เขาจึงโมโหมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้ยินว่าป้าของฉีซูป่วยและหลินฉิงแอบเอาเงินมาให้นาง ฉีเจิ้งก็ทำร้ายหลินฉิง
เมื่อเอาเรื่องทั้งหมดนี้มารวมกันก็ทำให้ฉีซูเดือดดาลจนอยากจะทำลายตระกูลฉีให้ราบเป็นหน้ากลอง
อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตา “ในเมื่อเป็นแบบนั้น พวกเราก็มาอยู่ที่นี่เถอะ ถึงอย่างไรทุกอย่างก็เป็นของอาจารย์เจ้า อ้อ จริงสิ ข้าไปสำรวจมาก่อนหน้านี้แล้วเห็นว่าห้องเก็บสมบัติของตระกูลฉีมีของล้ำค่ามากมายรวมถึงเงินและทองมหาศาล เจ้าไปกวาดเอาทรัพย์สมบัติพวกนั้นมาให้หมดและอย่าให้พวกเขาได้ไปแม้แต่ตำลึงเดียว!”
ฉีซูเดินกลับมาหาอวิ๋นลั่วเฟิง “แล้วพวกเขาล่ะ พวกเราควรไล่พวกเขาออกไปหรือไม่”
ตอนแรกฉีซูตั้งใจจะเดินทางมากวาดล้างตระกูลฉีตอนที่เขามีอำนาจมากพอจะต่อกรกับราชวงศ์ แต่เพราะเรื่องของหลินฉิงทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกลับมาก่อนเวลา