ตอนที่ 319 หลายคนที่มีความสุข หลายคนที่ทุกข์ระทม
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนากับจักรพรรดิเหวินที่กวนหยุนถายอย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกชิงชังอยู่เล็กน้อยที่เพิ่งได้รู้จักกัน
แต่ตำหนักเจิ้งหยางในเขตวังหลวงนี้ อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่คราถูกนำตัวออกจากพระราชวังจวี้หัว
จักรพรรดินีเซียวจ้องมองดอกสาลี่ที่ผลิบานด้านนอกหน้าต่าง ด้วยสีหน้าทะมึน แต่มิได้มีโทสะเพราะเสียงร้องไห้ของอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทได้ถอนราชโองการไป นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าข่าวลือนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง
“ขันทีจ้าว แจ้งขันทีเกาว่าข้าต้องการพบเขา”
“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งในทันทีพ่ะย่ะค่ะ ! ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ยินเยี่ยงนั้น เสียงร้องไห้ก็เงียบไปทันพลัน สองตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาก็หันไปมองจักรพรรดินีเซียว หรือว่าเสด็จแม่ต้องการให้ขันทีเกาไปทำอะไรบางอย่างเพื่อตนเองกัน ?
แต่เยี่ยงนั้นก็จะเป็นการทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนเอาได้ และหากฟู่เสี่ยวกวนรับรู้เข้า จะมิกลายเป็นไร้หนทางให้ถอยกลับหรือ ?
ย่อมมิได้อย่างแน่นอน !
“เสด็จแม่ จะทำเยี่ยงนั้นมิได้นะเพคะ ลูกเพียงแค่คิดอันใดมิออกเพราะความน้อยใจเท่านั้น พอได้ร้องไห้ออกมาก็เริ่มคิดตก ที่เสด็จพ่อถอนราชโองการไปย่อมมีความหมายที่ซ่อนอยู่เป็นแน่ หากเสด็จแม่สั่งให้ขันทีเกาไปก่อปัญหาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน…ลูกกังวลว่าเสด็จพ่อคงมิชอบใจมากยิ่งนัก”
จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมาอย่างช้า ๆ และยิ้มให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ “น้องชายของเจ้าถูกเสด็จพ่อของเจ้าสั่งให้คัดเยาว์ชนราชวงศ์อู๋นั่นอีกแล้ว ได้ยินมาว่าเขาขุ่นเคืองอยู่ที่ตำหนักตะวันออก เขาเองก็คงกลัวเจ้าอยู่บ้าง เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาเสีย กล่าวว่า…ในช่วงหลายวันนี้ โปรดอยู่อย่างสงบ หากเขายังดื้อรั้น เจ้าก็ลงโทษเขาได้เลย ส่วนที่แม่เรียกให้ขันทีเกามานั้นมิได้เกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวน แต่แม่เพียงอยากฝากฝังบางอย่างกับขันทีเกาสักเล็กน้อย โปรดระมัดระวังความปลอดภัยภายในเมืองกวนหยุน”
“เป็นจริงเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”
“แล้วแม่จะหลอกเจ้าเพราะเหตุใดกัน ? ”
…..
…..
ช่วงเวลาใกล้เที่ยง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้บอกลาจักรพรรดิเหวินและเดินทางออกมาจากกวนหยุนถาย
การสนทนาในวันนี้เริ่มทำให้เขาสับสน ความเมตตาที่จักรพรรดิเหวินเผื่อแผ่ออกมานั้นมากเกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะได้รับ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินจะเชิญชวนให้เขามาปักหลักที่ราชวงศ์อู๋ ทั้งยังรับปากว่าจะมอบตำแหน่งเสนาบดีระดับสูงที่สุดให้แก่เขา
นี่คงเป็นการเพ้อฝันเกินไป ทุกคนต่างเพิ่งได้พบหน้ากันเป็นคราแรก มิใช่ว่าควรจะไถ่ถามว่าเจ้าชอบทานอะไรหรือเจ้าชอบดื่มอะไรเยี่ยงนั้นหรอกหรือ ?
แต่หัวข้อเช่นนั้นกลับมิถูกเอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว !
จักรพรรดิเหวินตรงเข้าประเด็นโดยที่มิอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกนี้ราวกับเดินตรงเข้าไปในเรือนหอโดยที่ยังมิได้เห็นหน้าเจ้าสาวและดับไฟโดยมิแม้แต่จะเอาผ้าที่ปิดหน้าออก และล้มลงไปบนเตียงเสียทั้งอย่างนั้น
ถึงแม้ขั้นตอนจะเบิกบานใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้อดรู้สึกกังขามิได้ว่าเจ้าสาวคนใหม่จะเข้าตาหรือไม่
จักรพรรดิเหวินกล่าวไว้เสียมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนเห็นขนมชิ้นใหญ่นั้นได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้เขารู้สึกราวกับอยู่ในความฝันไปชั่วขณะ แต่ใบหน้าที่จริงใจเป็นอย่างมากของจักรพรรดิเหวินก็มิได้เผยความปรารถนาที่แท้จริงของเขาออกมาให้ได้เห็น
ดวงตาที่แผดเผาและมีสายใยความเอ็นดูนั้นถึงขั้นทำให้เขาคิดว่าตนเองเหมือนกับลูกนอกสมรสในบทละครหลังข่าว นั่นทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก !
ในฐานะวิญญาณที่มาจากต่างโลก เขาย่อมมีความสุขที่ชีวิตธรรมดามีสีสันขึ้นอีกสักเล็กน้อย และมีความสุขที่โลกนี้มีต้นขาให้เกาะเพิ่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธความเมตตาเหล่านั้นของจักรพรรดิเหวิน เขาจึงรับมันมาทั้งหมด แน่นอนว่าหากเขามิสามารถอยู่ในราชวงศ์หยูต่อไปได้แล้วอย่างแท้จริง
หากกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋ เขาย่อมรู้สึกกับราชวงศ์หยูมากกว่า อย่างไรก็ได้อยู่ในราชวงศ์หยูมานานหนึ่งปีแล้ว มิว่าจะเป็นหลินเจียงหรือจินหลิง ต่างก็มีรอยเท้าที่เขาทิ้งเอาไว้อยู่มากมาย และสิ้นเปลืองแรงกายและแรงใจของเขาไปมากยิ่งนัก
ซีซานคือเขตฐานของเขา ไม่ว่าจักพรรดิเหวินหรือฮ่องเต้หยูยิ่นจะมอบขนมปังให้เขาก้อนโตเพียงใด เขาก็ยังคงคิดว่า ซีซานต่างหากเล่าที่เป็นไพ่ใบใหญ่ที่สุดในอนาคตของตน
และเขาก็ชอบความงดงามแบบที่เมืองจินหลิงนั้นยิ่งกว่าเมืองกวนหยุนแห่งนี้…สูงเกินไป
ในตอนที่เขากลับมาถึงคฤหาสน์จิ้งหู หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้มาถึงก่อนแล้ว และกำลังนอนรับแสงแดดอยู่ในเรือน และได้สนทนาเกี่ยวกับการเดินทางไปจวนโหวในช่วงเช้าอย่างสนุกสนาน
ในตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงด้านข้างของพวกนาง หยูเวิ่นหวินก็หัวเราะคิกคักไปทางเขาและกล่าวว่า “ท่านป้ารองของข้ารับปากแล้วว่าจะช่วยพวกข้าหาทำเลที่ตั้งร้านดี ๆ ในเมืองกวนหยุนให้ พระนางกล่าวว่าสถานที่ที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นในเมืองกวนหยุนนี้คือถนนใหญ่ส่าจิน ส่วนที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นกลางคือตรอกเถียนสุ่ย และที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นนอกถูกขนานนามว่าถนนห้วนฮวา ท่านป้ารองชื่นชอบสินค้าของพวกเราเป็นอย่างมาก พระนางกล่าวว่าของเหล่านี้เหมาะสำหรับวางขายในเมือง ผู้อาศัยในเมืองส่วนมากจะเป็นขุนนางระดับสูง ประการแรก พวกเขาย่อมมีกำลังในการใช้จ่าย ประการที่สองคือสามารถยอมรับสิ่งของเหล่านั้นได้โดยง่าย ดังนั้นข้าและชูหลานจึงตัดสินใจว่าจะตั้งร้านแรกภายในเมือง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าทั้งสองเพียงดูแลมันก็พอแล้ว”
จิตใจของต่งชูหลานค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าหยูเวิ่นหวิน นางเมียงมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยออกมาว่า “องค์หญิงรองกลับเอ่ยถามถึงเจ้า”
“พระนางเอ่ยถามอันใดเกี่ยวกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนึกคิดไปว่าคงเป็นเพราะบทกวีหรือบทความเหล่านั้นของตนอีกเป็นแน่ คาดมิถึงว่าสิ่งที่ต่งชูหลานตอบกลับมาจะมิใช่เช่นนั้น
“พระนางถามว่า…ระหว่างเจ้าและอู๋หลิงเอ๋อร์มีความสัมพันธ์กันจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก รีบโบกมือพัลวันแล้วกล่าวว่า “มันมิมีอันใดจริง ๆ ในวันนี้บนพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ จักรพรรดิเหวินได้ถอนราชโองการนั้นไปแล้ว และอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ราชโองการนั้นมิถูกตั้งแต่ต้น คนที่ใช้ชีวิตธรรมดาเพียงหนึ่งคน จะกลายเป็นแต้มต่อเพื่อตกรางวัลได้เยี่ยงไร ? ”
“ไอหยา…” ต่งชูหลานจ้องมองเขาก่อนจะพยักหน้าอย่างมีเลศนัย และกล่าวอีกว่า “องค์หญิงรองยังตรัสอีกว่า หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็จงไปที่จวนโหวเสียหน่อย พระนางมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะสนทนากับเจ้าเพียงลำพัง”
เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกันกับสวี่หยุนชิงมารดาของเขาอีกเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดและพยักหน้ารับ เขาเองก็ต้องการสนทนากับหยูหยูเช่นกัน มารดาของตนท้ายที่สุดเกิดเรื่องอันใดขึ้นในปีนั้นกันแน่ ?
หลังจากนั้นเติ้งซิวก็ได้เดินเข้ามา ด้านหลังของเขามีขุนนางของสถานทูตสองคนติดตามมา โดยยกกล่องหนึ่งใบเข้ามาด้วย
“นี่คือบทความที่เหล่าบัณฑิตเขียนขึ้นมา พวกเขากล่าวว่า…นี่คือการบ้านที่นายท่านมอบให้มาระหว่างเดินทาง และให้ข้านำมาให้ท่านอ่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความตื่นเต้น เขาอยากจะอ่านบทความของบัณฑิตทั้งหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างมาก ดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่เข้าใจการค้าและการค้นคว้าได้มากพอ
ดังนั้นเขาจึงเปิดกล่องออก และเปิดอ่านแต่ละหน้าอย่างตั้งใจ
ระหว่างนั้นชุนซิ่วก็ได้นำอาหารออกมา ศิษย์สำนักเต๋าทั้งห้าและกลุ่มฟู่เสี่ยวกวนสามคนก็ได้นั่งทานข้าวในเรือนด้วยกัน
เดิมทีซูเจวี๋ยอยากจะให้ฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนพลังตัวเบาของเขาต่อ แต่หลังจากเห็นบทความในกล่องนั้นก็เป็นอันต้องละทิ้งความคิดนี้ไปเสีย
คิดอยู่แล้วว่าศิษย์น้องผู้นี้มิใช่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง
เขาได้ปล่อยกาตัวนั้นออกไปแล้ว ผ่านไปสักระยะถึงจะได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านอาจารย์ของเขา แต่เขาเชื่อว่าท่านอาจารย์จะต้องรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างแน่นอน ถึงแม้จะกล่าวว่าศิษย์น้องผู้นี้จะไร้อนาคตในหนทางวรยุทธ์อย่างแท้จริง แต่สำหรับสำนักเต๋าแล้ว ศิษย์น้องผู้นี้กลับสำคัญอย่างหาที่เปรียบมิได้
สิ่งที่เรียกว่ายุทธภพ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่นี้ และสำนักเต๋าก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของยุทธภพเท่านั้น
หลักคำสอนที่สำนักเต๋าเผยแพร่คือข้าเกิดมาพร้อมกับสวรรค์และผืนดิน ทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้า สิ่งที่เสาะหาคือการอยู่รวมกันของมนุษย์และโลก ดังนั้นสำนักเต๋าจึงได้ปรากฏในยามที่โลกโกลาหล
เมื่อได้เกิดมาแล้ว ย่อมมีผู้ที่เหมาะสมโดยปริยาย หลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านอาจารย์เตรียมไว้ต่างวนอยู่รอบตัวฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่เขาให้ความสำคัญย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาบนโลกใบนี้ของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนวางตะเกียบลงและอ่านบทความต่อ ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา !