หลังจากนั้นหัวหน้ากิลด์ก็ได้พักการฝึกเวทมนตร์ของผมลง อาจเพราะผมใช้ได้เพียงแค่เวทเสริมพลังก็ได้ ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเวทที่อ่อนแอขนาดนั้น แต่ว่าผมก็ยังสมเพชตัวเองอยู่ดีที่ได้เวทที่ถูกมองว่าไร้ประโยชน์ ถึงพวกเขาจะไม่ได้บอกออกมา แต่ผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง แต่อย่างน้อยผมก็ได้รับมีดสั้นที่เป็นอาวุธเวทมา ต้องขอบคุณมารีน่ามากจริงๆ ถึงผมจะประเมินมูลค่าไม่ได้แต่อย่างน้อยมันก็เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่น่าจะมีราคามากกว่าอาวุธปกติอย่างแน่นอน
ผมไม่ได้โทษโชคชะตาเท่าไหร่นัก ถึงจะฟังดูเหมือนผมกำลังตัดพ้อ แต่ผมเชื่อว่าตนเองนั้นเกิดมาพร้อมกับความโชคร้าย ผมเกิดมาจากพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน ทันทีที่ผมอายุได้สองปี พ่อแม่ของผมก็หย่าร้างและต่างมีครอบครัวใหม่ ส่วนผมก็ถูกเลี้ยงมาโดยปู่กับย่า
สำหรับผมแล้ว ผมคือตัวตนที่เกิดมาจากความผิดพลาดอย่างแท้จริง ชีวิตของผมก็ผิดพลาดเช่นกัน ดังนั้นมันคงไม่แปลกเลยที่ต่อจากนี้ผมจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ และความผิดพลาดอีก จริงๆ แล้ว… ผมอาจไม่ควรเกิดมาแต่แรกเลยก็ได้นะ…
“เวล… เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของคริสติน่าที่กำลังเดินอยู่ข้างผมช่วยดึงสติของผมไว้ไม่ให้จมดิ่งไปมากกว่านี้ อย่างน้อยการพบกับคริสติน่าก็ถือว่าเป็นโชคดีในชีวิตของผม ต้องขอบคุณเธอจริงๆ
“แค่รู้สึกหิวเท่านั้นแหละ วันนี้กินอะไรที่กิลด์ดีนะ” ผมพูดกลบเกลื่อนออกไปเพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องของคริสติน่ามากนัก แต่ได้ยินมาว่าแม่ของเธอเพิ่งเสียไปได้สองปีและตอนนี้เธอก็อยู่ตัวคนเดียว ผมไม่ได้ถามเรื่องอดีตของเธอมากเท่าไหร่ ถึงแม้ผมจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับครอบครัวขนาดนั้น แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าการสูญเสียคนรักนั้นมันรู้สึกแย่ขนาดไหน
“นี่เวล… ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย…” คริสติน่าพูดด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“มีอะไรงั้นเหรอ? ”
“คือ… ฉันจะรับภารกิจล่ามอนสเตอร์น่ะ…”
“แปลกนะเนี่ย ปกติแล้วเธอรับแต่พวกภารกิจเก็บเกี่ยวไม่ใช่เหรอ? ”
“คือว่า… จริงๆ แล้วที่กิลด์ตอนนี้ไม่มีภารกิจเก็บเกี่ยวแล้วล่ะ…”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองที่เธอ
“เห็นคุณซอนย่าบอกว่าภารกิจเก็บเกี่ยวตอนนี้ไม่มีคนจ้างวานแล้ว…”
ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ผมเองก็สงสัยมานานแล้วว่าจะเอาแต่เก็บมานาอีทเตอร์ไปได้อีกนานแค่ไหน ผมพอรู้มาบ้างว่ามานาอีทเตอร์คือพืชที่จะกลืนแค่อณูของมานาเข้าไปและกักเก็บไว้ในราก นักปรุงยาจึงมักจะนำไปทำน้ำยาเพิ่มมานากัน ส่วนภารกิจเก็บเกี่ยวอื่นๆ หากไม่ขาดแคลนจริงๆ ก็จะไม่จ้างนักผจญภัยนักเพราะก็มีคนทำงานในส่วนนั้นอยู่แล้ว
“เวล… นายสนใจจะ…”
“เอาสิ” ผมไม่รอให้เธอพูดจบและตอบกลับไปในทันที ผมยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเธอหรอก สัญญาที่ว่าผมจะร่วมปาร์ตี้กับเธอในภารกิจล่ามอนสเตอร์
“ขอบคุณมากนะเวล!” เธอขอบคุณผมด้วยรอยยิ้มและเดินยิ้มร่าไปตลอดทางจนถึงกิลด์
“เธอไปนั่งที่โต๊ะก่อนนะ ฉันขอไปคุยกับหัวหน้ากิลด์ก่อน”
“อื้ม!” เธอตอบกลับและเดินไปหาที่นั่งอย่างว่าง่าย
ผมขอคุยกับหัวหน้ากิลด์เรื่องการฝึกและได้ทำข้อตกลงกันใหม่ เพราะเนื่องจากผมไม่ได้มีความจำเป็นอะไรแล้วที่จะต้องฝึกต่อ เพราะที่ผมยอมรับข้อเสนอก่อนหน้าก็เนื่องจากผมต้องการเรียนรู้การควบคุมมานาและใช้เวทมนตร์เท่านั้น
“จริงๆ แล้วฉันเป็นคนบอกให้มารีน่าเลิกสอนเจ้าเอง” หัวหน้ากิลด์เอ่ยออกมาในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน
“ไม่ใช่เพราะเวทของเจ้ามันไร้ประโยชน์หรอกนะ เพียงแต่การใช้เวทเสริมแกร่งที่ดีที่สุดคือการใช้ควบคู่กับอาวุธเท่านั้น”
“เพราะแบบนั้นถึงเน้นให้ผมฝึกร่างกายและวิชาดาบมากกว่าสินะครับ” ผมพูดออกไปหลังจากได้ยินเหตุผลจากหัวหน้ากิลด์
“ใช่แล้วล่ะ และอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าจำได้ไหมว่าฉันสัญญาอะไรไว้” หัวหน้ากิลด์พูดจบก็ลุกขึ้นไปหยิบดาบที่ตั้งอยู่มาให้ผม
“นี่คือของที่ฉันจะให้เจ้าถ้าเจ้าทนฝึกครบปีได้ แต่ตอนนี้ฉันว่าเจ้าควรฝึกใช้มันโดยเร็วดีกว่า”
ผมรับดาบนั้นมาถือไว้และถามออกไปด้วยความสงสัย
“ดาบนี่คืออะไรเหรอครับ? ”
“ดาบนั่นเป็นดาบที่ถูกส่งต่อมาในตระกูลของฉัน เป็นดาบที่ผู้กล้าในอดีตเคยใช้น่ะ…”
“ผู้กล้าในอดีตเหรอครับ? ”
“อย่างที่ฉันเคยพูดไป พวกเจ้าไม่ใช่ผู้กล้ากลุ่มแรกที่มาในโลกแห่งนี้”
“แล้วทำไมจอมมารถึงไม่ถูกกำจัดล่ะครับ? ”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ถ้าตามคำบอกเล่าจากประวัติศาสตร์ ผู้กล้ากลุ่มนั้นคงถูกจัดการหมดแล้ว”
“จัดการ…. หมายความว่าพวกเขาตายหมดแล้วเหรอครับ…? ”
“ถ้าตามประวัติศาสตร์ล่ะก็นะ…”
ความตาย สิ่งนั้นทำให้ผมตระหนักได้อีกครั้ง ชีวิตของผมในตอนนี้มีความสุขดีอยู่แล้ว ทั้งอาหารทั้งคนที่เป็นห่วงผม ผมยอมรับเลยว่าผมในตอนนี้ไม่ได้ต้องการไปเสี่ยงตายในการต่อสู้กับจอมมารเลยสักนิด
“ดาบนั่นน่ะ เป็นอาวุธเวทที่ถูกเขียนรูน (Rune) ใส่ลงไป รูนคืออักษรโบราณที่ทำให้เกิดเวทมนตร์ และอาวุธที่ถูกเขียนรูนใส่ลงไปจะถูกนับว่าเป็นอาวุธระดับภัยพิบัติ ซึ่งตามที่ถูกจดบันทึกไว้ เคยมีอาวุธรูนที่มีพลังมากพอที่จะทำลายประเทศได้ ดังนั้นฉันยกมันให้กับเจ้า ท่านผู้กล้า”
ผมอึ้งกับคำพูดของหัวหน้ากิลด์ไปสักพัก แม้ว่าผมจะพอคาดเดาได้อยู่บ้างว่าหัวหน้ากิลด์อาจจะรู้ว่าผมเป็นผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมา แต่การที่เขายกอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้ให้กับผม นี่มันเรื่องอะไรกัน…
“หัวหน้ากิลด์… รู้เรื่องที่ผมเป็นผู้กล้าด้วยเหรอครับ…”
“ดูจากระดับมานาและช่วงเวลาที่เจ้ามายังที่กิลด์แล้ว ก็พอคาดเดาได้อยู่”
ผมเงียบไปสักพักก่อนจะถามคำถามที่ไม่ควรถามที่สุดออกไป
“ถ้าผมไม่อยากต่อสู้กับจอมมาร…” ในขณะที่ผมกำลังจะถามออก หัวหน้ากิลด์ก็ได้พูดแทรกขึ้นมา
“ถ้าผู้กล้าอย่างเจ้าไม่ทำมัน… คนอื่นก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก… เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าขนาดผู้กล้ากลุ่มก่อนยังถูกจัดการ แล้วคนในโลกนี้จะทำอะไรได้อย่างนั้นเหรอ? ”
“อัครทูตสวรรค์ วิหารแห่งการทดสอบ และระดับมานาที่สูง ผู้กล้าอย่างเจ้าน่ะ… เต็มไปด้วยองค์ประกอบที่มนุษย์ธรรมดาเอื้อมไม่ถึง”
ผมรู้สึกกดดันมากจริงๆ ผมไม่กล้าบอกไปเลยว่าผมในตอนนี้ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะไปต่อกรกับตนตัวอย่างจอมมาร
“เจ้ายังมีเวลาอีกเยอะ วิหารแห่งการทดสอบน่ะ… จะเปิดขึ้นในอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าวันหลังจากที่ผู้กล้าถูกอัญเชิญมาครบเจ็ดครบ”
“แล้วทำไมถึงต้องใช้ผู้กล้าถึงเจ็ดคนด้วยเหรอครับ…? ” ผมถามออกไปโดยไม่ได้ปิดบังความขี้ขลาดเอาไว้เลย ผมรู้ตัวเองดีว่าผมน่าสมเพชแค่ไหน แต่ผมไม่อยากไปเสี่ยงจริงๆ
“ฉันให้คำตอบไม่ได้จริงๆ ฉันเองก็มีเรื่องที่ไม่รู้เช่นกัน” หัวหน้ากิลด์ตอบกลับมา
“แต่อย่างไรก็ตาม ดาบนั่นก็เป็นของเจ้าแล้ว”
“ชื่อของมันคือดาบราตรีประดับดาว (The Starry Night) ”
“ดาบราตรีประดับดาว…”
ผมไม่แปลกใจกับชื่อนั้นเท่าไหร่นัก เพราะดาบเล่มนี้มีใบดาบที่เป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบจะดูเป็นสีดำแต่กลับมีจุดสีทองที่เป็นประกายอยู่ภายในใบดาบนั้น ดูจากภายนอกแล้วเหมือนกับว่าใบดาบนี้ทำมาจากแก้วเสียมากกว่าเพราะมันดูมันวาวสะท้อนแสง และพอสังเกตดีๆแล้ว ดาบเล่มนี้ไม่มีด้ามจับเป็นไม้เหมือนดาบทั่วไปแต่กลับเป็นผ้าเก่าๆ พันใบดาบไว้เท่านั้น แต่ไม่ได้ทำให้จับยากเท่าไหร่นัก เพราะด้ามดาบมีลักษณะพอดีมือไม่รู้สึกเจ็บเวลากำมือไว้และมีลักษณะมนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแข็งอยู่บ้าง ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงใช้ผ้าพันเอาไว้
“ฉันไม่เคยใช้ดาบนั้นหรอก เพราะมันถูกส่งมาให้ตระกูลของฉันดูแลมันและมอบมันให้กับผู้กล้าเท่านั้น”
ราวกับว่าผมถูกดาบเล่มนี้ดึงดูดสายตาเอาไว้ เป็นดาบที่สวยงามจริงๆ
หลังจากนั้นผมก็คุยกับหัวหน้ากิลด์ต่ออยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้ากิลด์ยังคงให้ผมฝึกร่างกายและวิชาดาบต่ออีก ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นแก่ดาบที่ได้รับมา ผมต้องฝึกกับหัวหน้ากิลด์สามวันต่อสัปดาห์เป็นเวลาหนึ่งปีเช่นเดิม ผมเดินออกจากห้องมาและมุ่งหน้ากลับไปหาคริสติน่า
คริสติน่าที่กำลังนั่งมองอาหารบนโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อเหมือนกับว่ากำลังรอผมอยู่
“ขอโทษที่ให้รอนานนะ” ผมเดินเข้ามานั่งและพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลย ไม่นานหรอก” เธอยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรจนทำเอาผมรู้สึกผิดที่ทำให้เธอรอนาน
หลังจากทานเสร็จผมกับคริสติน่าก็เดินเล่นบริเวณย่านการค้าสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้มุ่งตรงไปที่ทุ่งกว้างที่เคยฝึกกับมารีน่า แม้ว่ามารีน่าจะไม่ได้สอนผมแล้ว แต่ผมก็อยากที่จะลองใช้เวทมนตร์ดู
“ถ้าจำไม่ผิด… อิมเมจสินะ…” ผมลองยกมือขึ้นมาหันไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนที่จะนึกภาพเวทมนตร์แบบที่มารีน่าใช้ ผมใช้เวลานึกภาพอยู่นานก่อนจะล้มเลิกไปเพราะมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ผมจึงเดินไปหยิบดาบที่วางไว้ขึ้นมา
“ดาบราตรีประดับดาว…” ผมยกขึ้นมามองอยู่สักครู่ มันช่างดูงดงามจริงๆ ผมเดินเข้าไปหาต้นไม้ต้นเดิมที่เคยใช้มีดสั้นฟันไว้และยกดาบขึ้นมาก่อนจะควบคุมมานาและส่งมานาไปที่ดาบ
“ประมาณนี้สินะ…” ผมแกว่งดาบฟันต้นไม้ต้นนั้นและทันทีที่ผมแกว่งดาบนั้นออกไปก็มีคลื่นพลังบางอย่างปลดปล่อยออกมาจากใบดาบ คลื่นพลังสีน้ำเงินเข้มที่แผ่กว้างพุ่งตรงออกไปจนทำให้ต้นไม้ขาดสะบั้นออกเป็นสองท่อน แต่ไม่ใช่เพียงต้นไม้ข้างหน้าผมเท่านั้นแต่ต้นไม้ข้างหลังต้นที่ผมได้ฟันไปก็ได้ถูกตัดออกไปหลายเมตรเช่นกัน
ผมอึ้งกับพลังของอาวุธรูนนี้อย่างมาก รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของผม ผมกำลังดีใจอยู่งั้นเหรอ… แน่นอนสิ ในที่สุดผมก็ได้สิ่งที่คู่ควรกับผู้กล้ามาสักที ดาบนี้นี่แหละ… ที่จะทำให้ผมเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง ผมหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด… ในที่สุดผมก็มีพลังที่ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนแล้ว
“ฮึ…ฮึฮึ… ฮึฮ่าๆๆๆ!!!!” ผมหัวเราะออกมาจนไม่ได้สังเกตเลยว่าเลือดกำลังไหลออกมาจากมุมปากของผมอยู่