ตอนที่ 269 จุดอ่อน
ช่วงกลางฤดูร้อนที่แสงแดดแผดเผา ต้าโจวสามารถเอาชนะได้ในศึกแรก
ท่ามกลางความร้อนอบอ้าวของเดือนหก ราษฎรในเมืองจิงต่างวิ่งไปแจ้งข่าวดีกันปากต่อปากอย่างมีความสุข
“ท่านอ๋องมู่รบชนะอีกแล้ว ! ” พ่อค้าหาบเร่ในวัยห้าสิบปีมีใบหน้าดำคล้ำจากการตากแดดแต่ฟันขาวเป็นประกายสะท้อนแสงและกำลังร้องรำอย่างดีใจ
เขากล่าวไปพลางออกท่าทางไปด้วย “แคว้นชิงเยว่ส่งทหารนับแสนมาบุกโจมตีม่อเป่ย แต่ท่านอ๋องมู่บัญชาการรบราวกับเทพเจ้าก็มิปาน แค่การปะทะกันครั้งแรกของปีก็ทำให้แคว้นชิงเยว่สูญเสียทหารไปมากกว่าสองพันนายจนต้องถอยไปนอกเขตภููเขาเยี่ยน”
“โอ้ จางครึ่งชั่ง นี่เจ้ารู้จักคำว่าบัญชาการรบราวกับเทพเจ้าด้วยหรือ แอบไปร่ำเรียนที่ใดมาเล่า ? ”
มีเสียงหยอกล้อมาจากฝูงชนแสดงให้เห็นว่าสนิทสนมกับพ่อค้าเร่อย่างมาก
จางครึ่งชั่งได้ยินก็ถลึงตาใส่ “ไปไปไป ข้าขายของเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง เจ้ามาเรียกข้าว่าครึ่งชั่งทำให้ข้าเสียชื่อเสียงทางการค้าหมด ระวังข้าจักเอาคืนเจ้าบ้าง”
เขาขายของครบชั่งหรือมิครบชั่ง อยู่ย่านนี้มานานหลายปีคนแถวนี้ต่างก็รู้กันดี เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ทำเพียงแค่หัวเราะออกมา มิได้ต่อความยาวสาวความยืดด้วย จากนั้นจึงได้ถามต่อ “หลังจากนั้นโจรชั่วก็มิกล้าบุกเข้ามาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ง่ายเช่นนั้นที่ไหนกันเล่า” จางครึ่งชั่งกระซิบออกมา เหลือบมองคนถามทีหนึ่ง พอเห็นว่าเป็นหนุ่มน้อยก็วางท่าราวกับผู้มากประสบการณ์ทันที “สงครามมิใช่การเล่นพ่อแม่ลูก แคว้นชิงเยว่รวบรวมกำลังพลมานับแสน แค่แพ้ไปครั้งเดียวแล้วจักยอมถอยทัพกลับได้เยี่ยงไร ? ”
สองทัพปะทะกัน หากมิสู้จนตายไปข้างหนึ่งย่อมมิมีทางยุติอย่างแน่นอน
อีกอย่างแคว้นชิงเยว่ก็จ้องทำลายต้าโจวของพวกเขามานานแล้ว หากมิได้ดินแดนของต้าโจวไป พวกมันจักยอมแพ้ได้อย่างไร?
แต่ท่านอ๋องมู่ตั้งมั่นรักษาม่อเป่ย เป็นผู้นำทหารนับแสนต้องสกัดกั้นแคว้นชิงเยว่ให้อยู่นอกภูเขาเยี่ยนได้อย่างแน่นอน
ฝ่ายหนึ่งบุกฝ่ายหนึ่งตั้งรับ การปะทะกันของทหารหลายแสนนายต้องเป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเป็นแน่
“อย่างนั้นก็แสดงว่าท่านอ๋องมู่ต้องอยู่ม่อเป่ยอีกนานเลยน่ะสิ”
จางครึ่งชั่งที่ฟังเรื่องเล่ามาจากโรงน้ำชาตอบอืมขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ท่านอ๋องมู่ต้องอยู่ที่ม่อเป่ยจนกว่าแคว้นชิงเยว่จักยอมศิโรราบ ! ”
ชาวบ้านต่างกู่ร้องตะโกนไปตาม ๆ กันว่าท่านอ๋องมู่บัญชาการรบราวกับเทพเจ้าและ
ท่านอ๋องมู่เป็นบุคคลสำคัญของต้าโจว…
….
ปัง ! เสียงฎีกากระทบบนโต๊ะราวกับซัดฝ่ามือลงบนใบหน้ามนุษย์
ฝูเชวียนรีบก้มหน้าลงทันที มิกล้ากล่าวสิ่งใดที่จักเป็นการทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว
“อ๋องมู่ได้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงอีกแล้ว ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลเสียงดัง ท่าทางเหมือนกำลังมีความสุขจากข่าวดีที่ได้รับ แต่ภายในหทัยค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยความหม่นหมอง พายุกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ
พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ของต้าโจวและส่งอ๋องมู่ไปปราบศัตรู แต่เมื่อมีข่าวชนะศึกส่งมาราษฎรต่างสรรเสริญว่าอ๋องมู่ฉลาดมากเพียงใด เก่งกาจแค่ไหน แต่มิเคยมีผู้ใดสรรเสริญผู้เป็นฮ่องเต้ที่ปรีชาสามารถ สรรเสริญที่พระองค์ทำให้ต้าโจวเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูเช่นนี้
หากเป็นแค่ครั้งสองครั้งก็ว่าไปอย่าง พระองค์มิใช่คนที่ใจแคบอันใดถึงเพียงนั้น แต่อ๋องมู่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ ความศรัทธาภายในใจของราษฎรที่มีต่อเขามากยิ่งขึ้น
จักมิทำให้พระองค์รู้สึกว่ามีภัยคุกคามได้อย่างไร ?
ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งกลับถูกขุนนางบดบังแสงไว้ ต่อให้รบชนะก็มิได้ทำให้มีความสุขขึ้นมา
มีอำนาจสูงจนกลบนาย !
ภายหทัยเกิดความคิดบ้า ๆ ขึ้น พระองค์จักยอมแพ้ให้แคว้นชิงเยว่ในครั้งนี้ ต่อให้ทหาร 100,000 นายมิเหลือรอดและพ่ายแพ้กลับมาก็ต้องทำให้อ๋องมู่ร่วงหล่นจากแท่นบูชา ให้อ๋องมู่สูญเสียความศรัทธาที่อยู่ในจิตใจของราษฎรให้ได้
แค่เพียงให้หมากตัวนั้นเคลื่อนไหว อ๋องมู่ก็มิสามารถกลับตัวได้ !
ภายในดวงเนตรของฮ่องเต้เต็มไปด้วยอารมณ์ดำมืด ขณะที่กำลังจักให้องครักษ์พิทักษ์มังกรไปสั่งงานหมากตัวนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกห้องทรงพระอักษร
“องค์ไทเฮาเสด็จ…”
ฮ่องเต้รีบปรับแววพระเนตรให้เป็นปกติแล้วแสดงท่าทางดีอกดีใจออกมา ก่อนเดินเข้าไปหา “*หมู่โฮ่ว เหตุใดจึงมาที่นี่ได้พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ไทเฮาโปรดความสงบ ปกติหลังจากไหว้พระเสร็จและมิมีเรื่องอันใดก็จักมิเสด็จออกจากตำหนักซือหนิง แต่วันนี้เสด็จมาถึงห้องทรงพระอักษรได้ นับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจยิ่งนัก
องค์ไทเฮาทอดพระเนตรซ้ายขวาครู่หนึ่ง นางกำนัลข้างกายก็ถอยออกไปทันที
พระพักตร์ของนางเผยรอยยิ้มออกมาพลางก้าวเดินเข้าไปในห้องทรงอักษร “ได้ยินว่าอ๋องมู่รบชนะใช่หรือไม่ ? ”
มาเพราะเรื่องนี้จริงด้วย
ความรู้สึกโกรธเกลียดในหทัยของฮ่องเต้ปะทุขึ้นมา พระขนงจึงขมวดขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้
ไทเฮาเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแล้วจึงถอนหายใจออกมา ฮ่องเต้ยังหวาดระแวงอ๋องมู่อยู่อีก !
เวลานั้นฮ่องเต้โดดเด่นที่สุดในบรรดาองค์ชาย ต้องพบเจอกับการต่อสู้แก่งแย่งมากมายจึงทำให้มีนิสัยชอบหวาดระแวงเช่นนี้
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๋องมู่นำกองทัพปะทะกับศัตรูที่ภูเขาเยี่ยนและได้สังหารแม่ทัพหนุ่มนายหนึ่งทำให้แคว้นชิงเยว่ถอยทัพไปชั่วคราว ตอนนี้ประจำการอยู่ห่างจากภูเขาเยี่ยน 30 ลี้”
ฮ่องเต้ตรัส ทว่านิ้วมือที่ไพล่ไว้ด้านหลังก็ขยับเล็กน้อย
ขณะที่กำลังจักส่งสัญญาณเพื่อออกคำสั่งบางอย่างอยู่นั้น องค์ไทเฮากลับหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน “อ๋องมู่ไปครั้งนี้เกรงว่ามิได้กลับมาภายในสามเดือนห้าเดือนแน่ จวินฮานก็ช่างดื้อรั้น วัน ๆ มิเห็นแม้แต่เงา มู่หวางเฟยก็สุขภาพมิค่อยดีแต่มิมีคนคอยดูแลนางเลย”
นางหยุดไปครู่หนึ่งพลางประเมินท่าทีของฮ่องเต้อยู่เงียบๆ “ข้าอยากรับมู่หวางเฟยเข้ามาอยู่ในวังสักระยะ รออ๋องมู่กลับมาแล้วค่อยส่งกลับไป”
“ประเด็นแรกคือในวังมีคนอยู่มากย่อมดูแลมู่หวางเฟยได้ดีกว่า ประเด็นที่สองคือตำหนักข้าออกจักเงียบเหงาไปหน่อย ข้าจึงอยากหาเพื่อนคุย”
พระพักตร์ของไทเฮาได้รับการบำรุงอย่างดีจึงยังดูงดงามอยู่มาก กอปรกับน้ำเสียงเรียบเรื่อยยิ่งทำให้คนคล้อยตามโดยง่าย
ประโยคนี้ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อ๋องมู่กุมอำนาจทหารอยู่ในมือก็จริงแต่ก็รักมู่หวางเฟยมาก ต้องทนมิได้เป็นแน่ที่จักเห็นคู่ชีวิตได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย
หากมู่หวางเฟยอยู่ในวังก็เหมือนพระองค์ได้กำจุดอ่อนของอ๋องมู่ไว้ในมือย่อมมิกล้าที่จะกําเริบเสิบสานอย่างแน่นอน
อีกอย่างเรื่องนี้ไทเฮาก็เอ่ยปากเอง ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮาและมู่หวางเฟยแล้วขอเพียงไทเฮาส่งคนไปเชิญ มู่หวางเฟยย่อมตอบตกลงเป็นแน่
ฮ่องเต้คิดได้ดังนั้นจึงหยุดส่งสัญญาณออกคำสั่งไว้แล้วเปลี่ยนท่าทางเป็นถอนคำสั่งเดิม
องครักษ์พิทักษ์มังกรที่แอบอยู่ในความมืดเมื่อเห็นสัญญาณของฮ่องเต้จึงหลบออกไปอย่างเงียบเชียบ
“หมู่โฮ่วช่างรอบคอบเสียจริงพ่ะย่ะค่ะ” พระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ดวงเนตรที่ลุ่มลึกมิแสดงอารมณ์อันใดให้เห็นแม้แต่น้อย “มู่หวางเฟยร่างกายอ่อนแอ บัดนี้อ๋องมู่มิได้อยู่ข้างกายนาง มิสู้รับนางมาอยู่กับท่านโดยมีหมอหลวงดูแลย่อมสะดวกกว่ากันมากทีเดียว”
ประโยคนี้ของฮ่องเต้หมายความว่าเห็นด้วยกับไทเฮาจริงหรือ ?
ดวงเนตรที่เปี่ยมด้วยเมตตาของไทเฮากลับเข้มขึ้น “ดี ถ้าเช่นนั้นข้าจักส่งคนไปรับมู่หวางเฟย ข้าเองก็มิได้พบนางนานแล้วจึงรู้สึกคิดถึงมิน้อยทีเดียว”
…..
*หมู่โฮ่ว คือ คำที่พระโอรสหรือพระธิดาใช้เรียกพระมารดาผู้เป็นพระพันปี