ตอนที่ 326 ข้าคือคนเฝ้าประตูของเขา
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสามวันที่สิบเก้า ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนสามวันแล้ว
เมื่อคืนพวกเขาดื่มสุราที่จายซิงถายไปค่อนข้างมาก เขามิได้มีเรื่องดีใจหรือทุกข์ร้อนอันใด เพียงแต่ฝานเทียนหนิงต้องการดื่มเท่านั้น
ในฐานะองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝาน ฝานเทียนหนิงรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง เขาอยากมีชีวิตที่อิสระเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน เขาเบื่อหน่ายเต็มทีที่จะต้องเผชิญหน้ากับชีวิตในวังและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ หลังจากที่เขาเมาก็ได้กล่าวขึ้นมาว่าต้องการจะบวชเป็นพระและฝึกสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้…ฟู่เสี่ยวกวนลอบเห็นคูฉานมองเขาด้วยท่าทีดูหมิ่น
จึงได้เอ่ยถามคูฉาน จากนั้นจึงได้รับรู้ว่าคูฉานตรงกันข้ามกับฝานเทียนหนิงอย่างสิ้นเชิง คูฉานมิได้ประสงค์จะฝึกปฏิบัติ แต่เป็นเรื่องที่ถูกบังคับ ส่วนฝานเทียนหนิงประสงค์จะฝึกปฏิบัติกลับมิมีโอกาสนั้น
ฟ้าดินตั้งใจแกล้งพวกเขาหรือเยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิอาจหาคำตอบได้ และเขาก็มิมีเวลามานั่งสนใจ
ท้ายที่สุดหลังจากฝานเทียนหนิงดื่มสุราเสียจนเมามายก็ได้พักอยู่ที่ห้องรับแขกห้องหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงวิ่งรอบ ๆ ทะเลสาบจิ้งหูสามรอบตามเดิม เขาใช้เวลาราว 2 เค่อ
จากนั้นเขาก็ฝึกไทเก็กหนึ่งรอบอย่างตั้งอกตั้งใจ ซูเจวี๋ยเองก็เดินมายังลานนี้เช่นกัน และเขาก็เริ่มฝึกวิชาเหินเวหาท้าทายความสูงอันน่ากลัวนั่น !
เขาร่อนตัวลงมาจากที่สูงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกระทั่งรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากตอนที่เขาลอยตัวขึ้นไปนั้นไม่เวียนศีรษะแล้ว
เขาดีใจยิ่งเพราะนี่เป็นแนวโน้มการเริ่มต้นที่ดี จนทำให้ลืมไปว่าวันนี้ต้องเดินทางไปยังสถานทูตราชวงศ์หยู ตั้งใจว่าจะเรียกบัณฑิตผู้เขียนบทความได้ดีเยี่ยมเหล่านั้นมาที่นี่ แต่เมื่อคิดดูแล้วพบว่ามิเหมาะสม บัณฑิตคนอื่น ๆ ก็ควรที่จะได้รับฟัง หากมีผู้ใดแตกฉานและคิดอะไรดี ๆ ออกมาได้เล่า ?
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเดินทางไปยังสถานทูตในวันนี้
เขาฝึกอยู่จนกระทั่งเกือบยามซื่อ ฝานเทียนหนิงจึงได้ตื่นขึ้นและเดินออกมา เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนช่างดีอย่างแท้จริง
เขาหยิบจับพู่กันก็สามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามได้ เรื่องวรยุทธ์ก็มิแพ้กัน กระโดดเบา ๆ ก็ลอยขึ้นได้ถึงสามฟุต !
เพียงแต่ท่าทางที่เขาร่อนลงสู่พื้นนั้นมิค่อยสวยงามเท่าใดนัก ต้องมีคนคอยรับอยู่ด้านล่าง…เขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปเกี่ยวกับวิชาตัวเบาหรือไม่ ?
ฝานเทียนหนิงมิเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน เนื่องจากท่านอาจารย์กล่าวว่าเขามิเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง !
ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง แต่หลายปีมานี้เขาก็พอจะทำใจได้บ้างแล้ว
ส่วนคูฉานเองก็ได้ยืนสะพายคฑาฉานของเขาอยู่ที่ลานกว้างนี้เช่นกัน เขามองดูฟู่เสี่ยวกวนที่ลอยไปลอยมาแล้วรู้สึกอิจฉา เนื่องจากบัดนี้เขายังมิบรรลุ จึงมิได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
หากสามารถลอยตัวได้ หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่นิกายฝูแล้วอย่างแท้จริง สามารถกล่าวได้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับฝูเล็กน้อย
แต่ว่าเขาได้อยู่ที่วัดลันทามาเจ็ดแปดปีแล้ว อย่าว่าแต่ฝูเลย แม้แต่นิสัยเดิมของมนุษย์ก็แทบจะมิหลงเหลืออยู่แล้ว
เขารู้สึกอิจฉาบรรดาศิษย์แห่งสำนักเต๋าเสียจริง เมื่อถึงยามกินก็ได้กิน เมื่อถึงยามดื่มก็ได้ดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาหยวนหยวนได้กินทั้งโต๊ะเพียงผู้เดียว ! กินได้อย่างเอร็ดอร่อยทำให้ตนเกือบจะผิดศีล เกาหยวนหยวนกินอาหารเหล่านั้นราวกับเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดในปฐพี ราวกับว่าหากมิได้ชิมอาหารนั้นจะนับว่าเกิดมาแล้วยังใช้ชีวิตมิคุ้มค่า
เมื่องานกินดื่มสิ้นสุดลง บรรดาศิษย์แห่งสำนักเต๋าเหล่านั้นกลับใช้วิธีกระโดดลงไปจากจายซิงถาย !
ต้องฝึกวรยุทธ์ถึงระดับใดกันจึงจะทำเช่นนี้ได้ ?
วินาทีนั้นคูฉานแทบจะอยากหนีออกมาจากนิกายฝูแล้วเข้าฝึกฝนที่สำนักเต๋า !
ความคิดนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในสมองเขา เพียงแต่ท่านอาจารย์เลี้ยงดูเขามาเป็นเวลาหลายปี เขามิอาจทำใจโยนคฑาฉานที่แบกอยู่นี้ทิ้งไปได้
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังฝึกกระโดดลอยตัวอยู่ในลานกว้างอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
หนิงซือเหยียนนั่งอยู่ที่หน้าประตู ด้านหน้าเขามีไก่ที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ ตัวหนึ่งและที่ขาดมิได้คือไหสุราขนาดใหญ่ของเขา
บรรดาผู้ที่เดินทางเข้ามานั้นมีเยียนหานยวี่นำด้านหน้า ด้านซ้ายของเขาเป็นชายชราสวมชุดสีเขียวสะพายดาบอยู่ข้างหลัง ด้านขวาคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวมีหนวดเคราสะพายกระบี่อยู่ด้านหลังเช่นกัน ส่วนด้านหลังของเขามีผู้คนติดตามมาด้วยอีกร้อยกว่าคน ในมือพวกเขาแต่ละคนถือดาบและกระบี่ สีหน้าดุร้ายจ้องมองมายังหนิงซือเหยียนที่เข้ามาขวางพวกเขาเอาไว้
“ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ? ” เยียนหานยวี่เอ่ยถามขึ้น
หนิงซือเหยียนเพียงชายตาไปมอง จากนั้นได้ก้มหน้าลงและค่อย ๆ หั่นไก่ย่างร้อน ๆ ที่เพิ่งย่างเสร็จ เขายื่นนิ้วออกมาสองนิ้วจากนั้นคีบไก่ขึ้นมาจุ่มลงในถ้วยน้ำจิ้มที่วางอยู่ข้างไหสุรา โยนเข้าปากไปแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์
เยียนหานยวี่ตะลึงเล็กน้อย การที่เขาเดินทางมาในวันนี้ได้เตรียมตัวมาอย่างดี แม้แต่เหตุผลที่เดินทางมาก็ได้คิดไว้แล้วเรียบร้อย นั่นคือการประลอง !
เขาจะท้าประลองกับฟู่เสี่ยวกวน !
ด้านวรรณกรรมเขาอาจจะสู้มิได้ เช่นนั้นมาต่อสู้กันด้านกำลัง หากเขาบังเอิญไม่ระวังแล้วทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตายระหว่างการประลองได้ ก็คงต้องโทษฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถเอง
เขารู้ดีว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์จากสำนักเต๋าอยู่ถึง 5 คน ดังนั้นเขาเองก็ได้พาผู้มีความสามารถมา 2 คนเช่นกัน อีกทั้งมีบรรดาผู้มีฝีมือที่รวบรวมตัวมาได้เมื่อวานอีก 150 คน
คนเหล่านี้จะสู้ศิษย์ทั้งห้าของสำนักเต๋าได้หรือไม่นั้นมิสำคัญ ที่สำคัญคือระหว่างที่เขาประลองฝีมือกับฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาจะต้องกันมิให้ทั้งห้าคนนั้นเข้ามาขัดขวางได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อครั้นอยู่ในเมืองฝานหนิง ตนได้เอ่ยต่อหน้าบัณฑิตทั้งหลายว่าฟู่เสี่ยวกวนจะถูกองค์หญิงไท่ผิงกักขัง แต่คาดมิถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผันเป็นตนถูกองค์หญิงไท่ผิงขังตัว และได้นั่งรถเชลยศึกมายังเมืองกวนหยุนนี้
นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามที่มิอาจให้อภัยได้ !
ในฐานะองค์ชายแห่งแคว้นอี๋ เขาจะต้องลบล้างการเหยียดหยามนี้ มิเช่นนั้นกลับแคว้นไปจะเอาหน้าที่ไหนเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเรื่องยกทัพไปหลินเจียงเลย
เยียนหานยวี่มิรู้จักหนิงซือเหยียน เขาคิดว่าเป็นเพียงคนเฝ้าประตูธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง
ผู้มีฝีมือขนาบซ้ายขวาทั้งสองข้างของเขามองไปยังหนิงซือเหยียนด้วยสายตาดุดัน ทักษะการใช้ดาบหั่นเนื้อของหนิงซือเหยียนยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
ไก่ตัวนั้นถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ แต่ละชิ้นที่หนิงซือเหยียนหั่นออกมาล้วนบางเท่า ๆ กัน !
โชคดีที่ดาบนั้นหั่นไปบนกระดูกไก่ หากหั่นลงมาที่ตัวคนละก็…พวกเขาก็มิอาจจะจินตนาการได้ ชายหนุ่มผู้นี้ยากแท้หยั่งถึง มองมิออกว่าเขามีฝีมือระดับใด
เนื่องจากหนิงซือเหยียนเมินเฉยต่อพวกเขา ทำให้เยียนหานยวี่โมโหมากยิ่งขึ้น
ข้าเป็นถึงองค์ชายหก เจ้าเป็นเพียงคนเฝ้าประตูธรรมดา ๆ คนหนึ่งกล้าดีเยี่ยงไรเมินข้ากัน !
เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้า จากนั้นเอ่ยถามอีกคราด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า
“ข้าจะถามเจ้าเป็นคราสุดท้าย ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ? ”
หนิงซือเหยียนกำลังกินไก่อย่างเอร็ดอร่อย เขาขยับกรามขบเคี้ยวจากนั้นยกไหสุราขึ้นมาดื่ม เขาหั่นไก่กินต่อไปแล้วตอบว่า “เขาอยู่ข้างใน”
“ถอยไป ! ”
“ข้าเป็นคนเฝ้าประตูของเขา มองไปแล้วพวกเจ้า…” หนิงซือเหยียนเงยหน้ามองแล้วก้มลงกินไก่ที่อยู่ในถ้วยน้ำจิ้มต่อ
“มองไปแล้วพวกเจ้ามิเหมือนคนดี เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ เจ้าเขียนหนังสือขอเข้าพบ หากเขายินดีจะพบเจ้า ข้าจะหลีกทางให้”
เยียนหานยวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ ให้ตายสิข้ามาท้าประลองกับเขา มิได้มาเยี่ยมเยียนเสียหน่อย!
มิมีหนังสือขอเข้าพบ !
“หากยังมิหลบไป ข้าจะอัดเจ้าให้เละ !”
“ลงมือได้ ! จัดการอัดมันให้เละแล้วไปโยนให้ปลากิน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ เขามองจากมุมสูงพบว่ามีคนมา แต่มองมิชัดว่าคือผู้ใดเห็นเพียงแต่ที่ประตูมีคนล้อมรอบมากมาย
ในครานี้เขาลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย จากนั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนจะมีคนมา พวกเราไปดูกันเถิด”