Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ.. – ตอนที่ 65

แสงที่ 65 ก่อนทำภารกิจ (1)

ซึ่งหลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง เจมิไนท์ก็ได้พาผมมุ่งหน้าไปยังหัวเมืองชั้นในทางทิศตะวันตกที่มีชื่อว่าเมืองไรอา โดยที่เมืองแห่งนั้นคือสถานที่ตั้งของศูนย์บัญชาการสูงสุดของหน่วยพยัคฆ์คลั่ง..

ตลอดการเดินทางผมก็ได้พูดคุยสนทนากับเจมิไนท์เกี่ยวกับสถานการณ์ที่จักรวรรดิของพวกเรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ โดยทันทีที่ผมได้รับรู้ถึงข้อมูลบางอย่างมันก็ทำให้ผมถึงกับต้องเอามือกุมขมับไปในทันที..

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้ นั่นก็เพราะว่าจักรวรรดิเอลเดียกำลังถูกประเทศและอาณาจักรอื่นๆเข้ารุกรานจากทุกทิศทางและเตรียมที่จะเปิดฉากสงครามแย่งชิงดินแดน ไม่ว่าจะเป็นเหนือ,ใต้,ออก,ตก..

 

แต่ถึงอย่างไรการรุกรานที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นประเทศหรืออาณาจักรไหนก็เป็นเพียงแค่การรุกรานระดับเล็กๆ ต่างฝ่ายต่างยังไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะยังไม่รู้ถึงแสนยานุภาพที่แน่ชัดของเอลเดีย จึงยังไม่คิดที่จะเทหมดหน้าตักบุกเข้ามาโจมตีแบบเต็มรูปแบบ..

ถ้าเปรียบให้การรุกรานที่ว่าเป็นมวย ทุกๆประเทศก็แค่ปล่อยหมัดแย็บเข้ามาทักทาย แต่ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็เริ่มที่จะใช้แผนค่อยๆรุกรานแซะเข้ามาเรื่อยๆ

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะเหมือนกับภารกิจชายแดนใต้เมื่อหนึ่งปีก่อนที่กองกำลังของศัตรูสามารถยกกำลังพลเคลื่อนทัพผ่านชายแดนเข้ามาในเอลเดียได้..

โดยที่จุดมุ่งหมายหลักของแต่ละประเทศก็คงเป็นการยึดศูนย์บัญชาการชายแดนเหมือนกับครั้งก่อน ถ้าทำได้สำเร็จเมื่อถึงตอนนั้นประเทศดังกล่าวก็จะแทรกซึมค่อยๆกระจายตัวตีไล่ระดับเข้ามาเรื่อยๆตามสเต็ป

และถ้าเอลเดียยังไม่สามารถที่จะหาทางป้องกันหรือหาทางแก้ไขสถานการณ์ได้หายนะก็คงจะมาเยือนอย่างแน่นอน..

ซึ่งยุทธวิธีที่เอลเดียใช้อยู่ในปัจจุบัน นั่นก็คือการส่งกองกำลังทหารจากทั้งสามเหล่าทัพให้กระจายกำลังกันเข้าสกัดและต้านการรุกราน พร้อมทั้งคอยให้ทหารประจำการและตรวจตราอยู่ตลอดแนวตะเข็บชายแดน อีกทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งด้วยการสร้างป้อมปราการเพิ่ม..

ปัจจุบันในแนวตะเข็บชายแดนที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างจักรวรรดิและอาณาจักรอื่นๆ มีป้อมปราการและฐานที่มั่นที่ถูกสร้างอยู่กว่าหลายจุดเพื่อใช้สังเกตการณ์ ในกรณีที่พบข้าศึก จักรวรรดิก็จะส่งกองกำลังเข้าไปสกัดเอาไว้..

 

สิ่งเดียวจักรวรรดิพอจะทำได้ในตอนนี้คือสกัดแล้วก็ต้าน ไม่สามารถที่จะโต้ตอบหรือโจมตีสวนกลับได้ จากการที่กำลังพลมีอยู่ในจำนวนที่จำกัด โดยการต้านที่ว่าก็คือส่งทหารจากค่ายทหารสามัญให้เข้าไปตรึงศัตรูเอาไว้ ก่อนจะให้ทหารของอาคัสเข้าจู่โจมในภายหลัง..

ยุทธวิธีนี้มันแทบจะไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกทหารจากค่ายสามัญให้ไปตายก่อน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คงจะเป็นวิธีเดียวของจักรวรรดิที่ถูกล้อมรอบไปด้วยศัตรูจะพอทำได้..

ซึ่งอีกข้อมูลที่เจมิไนท์ได้บอกกับผม มันก็ได้ทำให้ผมถึงกับต้องตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ตลอดกว่า 50 ปีที่ผ่านมา จักรวรรดิเอลเดียไม่สามารถที่จะเปิดฉากโจมตีสวนกลับหรือโต้ตอบรุกล้ำเข้าไปในประเทศของศัตรูได้เลย สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้มีเพียงแค่ปกป้องชายแดนให้รอดพ้นจากการรุกรานเท่านั้น

ซึ่งนั่นมันก็เท่ากับว่าพวกเรานั้นไม่ต่างอะไรกับพยัคฆ์ที่ไม่สามารถออกจากป่า อินทรีที่ไม่สามารถโบยบินออกจากหน่านฟ้า หรือแม้แต่กระทิงที่ถูกจับขังอยู่ภายในคอก..

โดยที่พวกศัตรูก็คงจะรู้ดีว่าเอลเดียไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ จึงได้คอยส่งกองกำลังทหารเข้ามากดดันอยู่ตลอด แต่ถึงอย่างนั้นแล้วอีกสาเหตุที่ทำให้เอลเดียไม่โจมตีสวนกลับ นั่นก็เป็นเพราะปัญหาขาดแคลนกำลังพล เอลเดียไม่อยากที่จะส่งทหารของอาคัสให้เข้าไปตายอย่างไร้ค่า สู้เก็บทหารเหล่านั้นเอาไว้คอยปกป้องชายแดนคงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด..

“อย่างนี้เองสินะครับ..”ผมที่กล่าวออกมาหลังจากที่ได้รับฟังสถานการณ์ที่จักรวรรดิกำลังเผชิญ..

“ก็อย่างที่ว่าไป..ตอนนี้ตลอดแนวตะเข็บชายแดนกว่าหลายจุดกำลังเกิดการปะทะกันอยู่ ทั้งสามเหล่าทัพได้ส่งกองกำลังทหารจำนวนมากไปต้านสกัดเอาไว้ มีอยู่หลายจุดที่คว้าชัยชนะ แต่ก็มีอยู่หลายจุดที่พ่ายแพ้จนต้องถอยรนและขอกำลังเสริม ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันของหน่วยพยัคฆ์คลั่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้หน่วยที่สองจะกำลังย่ำแย่ กองร้อยที่ 7 และ 8 ของกองพันที่ 2 กำลังประสบปัญหาอยู่ โดยที่พลตรีเทรนหรือผู้บัญชาการของหน่วยที่สองก็ดูเหมือนจะกำลังเคร่งเครียดอย่างหนัก..”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ถึงจะเป็นคนละหน่วย แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคงอาจจะทำให้เกิดผลกระทบไปทั้งหน่วย..

“สถานการณ์ในตอนนี้ทุกๆหน่วยจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยที่หนึ่งหรือหน่วยที่สามของฉันเองก็กำลังประสบปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับสถานการณ์ที่หน่วยที่สองกำลังเจออยู่ ณ ตอนนี้ พวกเราจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาทีละจุด เริ่มจากหน่วยที่สองก่อน..”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมา..

“อย่างงั้นเองสินะครับ..”ผมที่กล่าวออกมา ก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า..

“จะว่าไปแล้วผมเองก็แอบสงสัยว่าผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของแต่ละกองพันไปประจำการอยู่ที่ไหนกันหมดเหรอครับ..?”ผมที่เปิดประเด็นเอ่ยถามกับเจมิไนท์ เพราะเท่าที่เห็นเมเทโอคือคนที่คอยสั่งการกองพันและส่งมอบภารกิจของหน่วยที่สามอยู่ ผมจึงอยากรู้ว่าพันโทและพันเอกของหน่วยอื่นๆมีหน้าที่ทำอะไร..

“พวกพันเอกกับพันโทสินะ ส่วนใหญ่เจ้าพวกนั้นก็ประจำการอยู่ที่ศูนย์บัญชาการต่างๆและคอยสั่งการไปยังพวกพันตรีตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั่นแหละ เจ้าพวกนั้นจะเคลื่อนไหวลงมาทำภารกิจเองก็ต่อเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจจากพลตรีอย่างพวกฉัน ภารกิจที่ว่าอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นภารกิจระดับ 4 ขึ้นไป ถ้าเป็นภารกิจระดับ 1 ถึง 3 ก็จะให้พวกพันตรีมันจัดการกันเอาเอง..”เจมิไนท์ที่อธิบาย..

“ระดับภารกิจมันคืออะไรเหรอครับ..?”ผมที่ถามกับเจมิไนท์อย่างต่อเนื่อง ยิ่งคุยก็ยิ่งมีอะไรใหม่ๆงอกออกมาอยู่เรื่อยๆ

“หืม..? นี่แกไม่รู้จริงๆน่ะเหรอ..?”เจมิไนท์ที่ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ โดยที่ผมเองก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ..

“ระดับภารกิจคือตัวที่เอาไว้ใช้ชี้วัดความสำคัญอีกทั้งยังระบุถึงความเสี่ยงของภารกิจ แบ่งออกเป็น 1-6 ระดับ ยกตัวอย่างเช่นภารกิจปกป้องชายแดน ถ้าไม่ได้เกิดการปะทะและเฝ้าชายแดนเฉยๆก็จะนับเป็นภารกิจระดับ 2 แต่ถ้าเกิดการปะทะขึ้นเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นภารกิจระดับ 3 ในทันที 

ในกรณีของหน่วยที่สอง ณ ตอนนี้ ก็ถูกจัดให้อยู่ในภารกิจระดับ 3 แต่ถ้าเกิดฐานที่มั่นถูกตีแตกหรือกำลังจะถูกตีเมื่อไหร่ล่ะก็ มันก็จะกลายเป็นภารกิจระดับ 4 ในทันที..

โดยที่ภารกิจระดับ 1-3 ทหารส่วนใหญ่ที่จะออกปฏิบัติการก็จะเป็นทหารยศตั้งแต่สิบตรีจนถึงพันตรีและพันโท ส่วนภารกิจระดับ 4-5 คนที่จะมาจัดการและออกปฏิบัติการจะเป็นทหารยศพันเอกขึ้นไป รวมถึงตัวของฉัน..”เจมิไนท์ที่อธิบายคร่าวๆ..

“หืม..? แล้วระดับ 6 ล่ะครับ..?”ผมที่ถามกับเจมิไนท์ เมื่ออีกฝ่ายได้ยินในคำถามก็หยุดชะงัก ก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม..

“ภารกิจระดับ 6 คือภารกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของจักรวรรดิ พลเอกจะส่งสัญญาณเรียกตัวพลโทหรือเสาหลักที่อยู่ใกล้ที่สุดให้มาทำภารกิจนี้ในทันที..”

“เข้าใจแล้วครับ คำถามต่อไปแล้วกองทัพของเรามีพันโทกับพันเอกอยู่กี่คนเหรอครับ..?”ผมที่ถามต่อ สิ่งที่ผมอยากจะรู้คือจำนวนที่แน่ชัดของนายทหารชั้นนายพัน ถึงแต่ละคนจะบทบาทและหน้าที่ๆแตกต่างกันก็ตาม..

“ถ้านับเอาเฉพาะนายพันที่มีหน้าที่และบทบาทอยู่ในตอนนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอก เดี๋ยวพอไปถึงศูนย์บัญชาการแกก็จะได้เจอเองนั่นแหละ เพราะบางส่วนก็ถูกส่งไปดำรงตำแหน่งที่นอกเหนือจากการสู้รบ..”เจมิไรท์ที่กล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะละความสนใจจากเรื่องที่ทำให้เคร่งเครียด..

“เอาล่ะ..คราวนี้ถึงตาฉันถามบ้างแล้ว ไหนแกลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยซิว่าตลอดครึ่งปีมันเกิดอะไรขึ้นที่ในสถาบัน โดยเฉพาะเรื่องของท่านพลโททั้งสอง..?”เจมิไนท์ที่ตัดบท ก่อนจะเอ่ยถามผม..

ซึ่งต่อจากนั้นผมก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทดสอบเลื่อนระดับที่ผมสามารถเอาชนะเมอรัสกับเครเซอร์ได้ให้เจมิไนท์ฟัง..

ซึ่งพออีกฝ่ายได้รับรู้เรื่องราวเขาก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก..

“เหลือเชื่อ นะ..นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดอย่างงั้นเหรอ..?”เจมิไนท์ที่ถามผม 

“เหอะๆ..”ผมที่หัวเราะแหะๆออกไป..

“กะแล้วเชียวว่าแกมันไม่ใช่ทหารธรรมดา มิน่าล่ะถึงทำให้ท่านพลโทเครเซอร์ถึงขั้นใช้บัญญัติแห่งอาคัส..”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมา..

“จริงสิ..บัญญัติแห่งอาคัสคืออะไรเหรอครับ..?”ผมที่ถามกับเจมิไนท์ พออีกฝ่ายได้ยินก็พลันกระพริบทำตาปริบๆ ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมากุมขมับ..

“เฮ้อ..นี่แกรู้อะไรบ้างเนี่ย..?”

“รู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องอึ๊บเจ๊เจมิสให้ได้เล๊ย..~”ไอ้จ้อนที่กล่าวออกมา เออเห็นด้ว..ย เดี๋ยวดิเฮ้ย..!

“ขอโทษด้วยครับ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึก โดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรบ..”ผมที่บอกกับเจมิไนท์ และทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้นเขาก็แสดงสีหน้าอึ้งๆ..

“บัญญัติแห่งอาคัสคือสิทธิพิเศษของเสาหลัก แน่นอนว่าเหล่าทัพทั้งสามย่อมมีกฏหมายและบัญญัติอยู่ โดยกฏที่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจที่จะฝ่าฝืนมันได้ แต่ทว่าเหล่าเสาหลักกลับมีอำนาจที่เหนือกว่ากฏ สิ่งนั้นเรียกว่าบัญญัติแห่งอาคัส

ซึ่งบัญญัติแห่งอาคัสสามารถที่จะใช้ลบล้างกฏทั้งปวงของอาคัส ไม่ว่าจะฝ่าฝืนกฏข้อไหนก็จะถือว่าไม่มีความผิด แต่ทว่าเสาหลักแต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะใช้บัญญัติแห่งอาคัสได้เพียงแค่ครั้งเดียวตลอดการดำรงตำแหน่ง..

โดยที่พลโทเครเซอร์ตัดสินใจที่จะใช้บัญญัติแห่งอาคัสในการสังหารพลตรีเปเนส เพราะถ้าทำแบบนั้นกฏข้อบังคับตามมาตราที่ 34 วรรค 2 ที่ระบุเอาไว้ว่าห้ามสังหารทหารยศที่ต่ำกว่าตน 5 ขั้น จะไม่สามารถทำอะไรท่านพลโทได้ หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆถ้าเกิดท่านพลโทลงมือ พลตรีเปเนสก็เท่ากับว่าตายฟรี..”สิ้นคำอธิบายของเจมิไนท์ ผมที่ได้รับฟังก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ดูเหมือนตาลุงเครเซอร์คงอยากที่จะได้ตัวของผมจริงๆ ถึงขั้นใช้อภิสิทธิ์ที่สามารถใช้เพียงแค่ครั้งเดียวในการซื้อใจของผม..

“เข้าใจแล้วครับ..”

“เอาล่ะ..พวกเรามาถึงแล้ว..”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมา เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่รถม้าจะแล่นมาหยุด..

“หะ..หืม นะ..นี่พวกเราพึ่งจะออกมาจากเมืองอวาลอนได้แค่ชั่วโมงเดียวเองนะครับ..?”ผมที่เปิดผ้าม่านหน้าต่างของรถม้า ก่อนจะพบว่าตอนนี้รถม้าได้แล่นมาหยุดอยู่ที่อาคารขนาดใหญ่ 

โดยที่อาคารดังกล่าวออกแบบมาให้ความรู้สึกเหมือนกับอาคารโรมัน..

“แล้วใครบอกล่ะว่ามันอยู่ไกล ระยะห่างจากเมืองอวาลอนกับเมืองไรอามันไม่ได้ไกลขนาดนั้นสักหน่อย ลงรถและรีบตามมา..”เจมิไนท์ที่หันมากล่าว ก่อนจะเปิดประตูรถม้าเดินลงไป..

ซึ่งตัวของผมเองก็รีบลงจากรถม้า ก่อนจะเดินตามหลังของเจมิไนท์มุ่งหน้าเข้าไปในอาคาร โดยที่ตลอดทางเดินข้างหน้ามีทหารกว่าหลายนายที่กำลังยืนอยู่ ทหารทุกๆนายต่างพากันยกฝ่ามือขึ้นมาทำความเคารพเจมิไนท์ ก่อนที่สุดท้ายแล้วพวกเราจะเข้าไปในอาคาร..

หลังจากนั้นไม่นานนักเจมิไนท์ก็ได้นำทางผมเข้ามาในอาคาร ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่ง โดยที่ห้องแห่งนี้มีทหารกว่าสี่นายที่ยืนคุ้มกันอยู่ที่หน้าประตูห้อง..

พรึ้บ..!

“ขอแสดงความเคารพท่านพลตรีเจมิไนท์..”ทหารที่ยืนเฝ้าประตูพลันยกฝ่ามือขึ้นมาทำความเคารพ..

“ฉันมาขอเข้าพบท่านพลเอก..”เจมิไนท์ที่บอกกับนายทหาร เมื่ออีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็หลีกทางให้..

ก็อกๆ..

“กระผมเจมิไนท์ครับ..”เจมิไนท์ที่เคาะประตูห้อง ก่อนจะกล่าวออกมา..

“เข้ามา..!”เสียงของผู้หญิงที่เปล่งดังมาจากอีกฟากหนึ่งของบานประตู เมื่อเจมิไนท์ได้ยินก็เปิดประตูออก ก่อนที่ผมจะได้พบเข้ากับ..

แอ๊ด..

ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ผมเห็นนั่นก็คือร่างของทหารจำนวนกว่า 7 นายที่กำลังนั่งประชุมกันอยู่บนโต๊ะ โดยที่โต๊ะดังกล่าวเป็นโต๊ะยาว

ซึ่งตรงบริเวณสุดปลายมีหญิงวัยกลางผู้หนึ่งที่กำลังนั่งตั้งศอกผสานกุมมือวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนทั้งสองฝั่งซ้ายขวามีทหารที่นั่งอยู่ฝั่งละสามคน โดยที่สองคนในนั้นก็คือพลตรีอาทิสผู้บัญชาการของหน่วยพยัคฆ์คลั่งที่ 1 และพลตรีเทรนผู้บัญชาการของหน่วยคลั่งที่ 2 ส่วนทหารอีกสี่นายที่เหลือคือทหารยศพันเอกหนึ่งนายและพันโทอีกสามนาย..

“กระผมพันตรีเจมิไนท์ขอแสดงความเคารพต่อท่านพลเอกลูเซียน..!”เจมิไนท์ที่ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ต่อหญิงวัยกลางคนที่กำลังนั่งอยู่..

นี่น่ะเหรอ..พลเอกของหน่วยพยัคฆ์คลั่ง ผมเองก็นึกว่าจะเป็นผู้ชายกล้ามบึกซะอีก..

ซึ่งพลเอกลูเซียนนั้น เธอเป็นหญิงวัยกลางคน ถ้าประเมินอายุจากลักษณะภายนอก เธอน่าจะอายุประมาณ 50 ต้นๆ เธอมีใบหน้าที่สวยแบบคนมีอายุ มีดวงตาเป็นสีแดง มีเส้นผมเป็นสีดอกเล้า..

“พวกแกทุกคนออกไปก่อน เรื่องรูปแบบเชิงกลยุทธ์ก็เอาตามที่ประชุมกันเอาไว้ กระจายรูปแบบดังกล่าวไปยังทุกกองร้อยของหน่วยพยัคฆ์คลั่ง ส่วนพลตรีเทรนกับอาทิสอยู่ที่นี่ก่อน..”ลูเซียนที่บอกกับเหล่าพันเอกและพันโทที่นั่งอยู่ ก่อนที่ทุกๆคนจะชันตัวลุกขึ้นยืนทำความเคารพและเดินออกจากห้องไป..

“นั่นน่ะเหรอ..? เด็กที่แกเคยเล่าให้ฉันฟัง..?”

หลังจากที่พวกพันโทกับพันเอกออกจากห้องไปแล้ว ลูเซียนที่นั่งอยู่ก็เปิดประเด็นเอ่ยถามกับเจมิไนท์ พลางชำเลืองสายตามองมาทางผม..

พรึ้บ..!

“ผมสิบตรีสตาร์ขอแสดงความเคารพต่อท่านพลเอก..!”ผมที่ยกฝ่ามือขึ้นมาทำความเคารพ..

“ทำตัวตามสบายเถอะ..”ลูเซียนที่บอกกับผม ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนมายืนในท่าตามระเบียบพัก..

“ก่อนหน้านี้ฉันได้รับฟังเรื่องราวของแกมา แต่พอได้มาเจอตัวเป็นๆมันผิดกลับที่ฉันคาดเอาไว้เยอะเลยจริงๆ..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งความหวังกับผมเอาไว้สูง..

“สิ่งที่ฉันเห็นเป็นเพียงแค่ทหารคนหนึ่ง ไม่เห็นจะมีกลิ่นอายหรือออร่าอะไรที่พิเศษ เจมิไนท์แกพามาถูกตัวแล้วจริงๆน่ะเหรอ..?”ลูเซียนที่หันไปถามเจมิไนท์..

“อะ..อึก เจ้านี่แหละครับไม่ผิดแน่..”เจมิไนท์ที่กล่าวยืนยันใบหน้าของเขากำลังแสดงออกถึงความกดดัน..

“แกแน่ใจแล้วนะ..?”ลูเซียนที่หรี่ตาลงพร้อมทั้งเอ่ยถาม ดวงตาของเธอแสดงออกถึงความแข็งกร้าว..

“คะ..ครั..บ..”

ฟุบ..!!!

 

ชิ้ง..!!

ฟ้าว..!!!!!!

ภายในชั่วพริบตาที่เจมิไนท์กำลังจะกล่าวยืนยัน จู่ๆลูเซียนที่นั่งอยู่ก็ขยับฝ่ามืออย่างรวดเร็วปรากฏเป็นมีดที่ถูกปาออกมายังทิศทางของผม..

โดยมีดสั้นที่พุ่งทะยานมันได้พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว ตำแหน่งที่มันจะพุ่งปักคือกลางหน้าผากของผม ซึ่งถ้าผมไม่หลบนั่นก็เท่ากับว่าตาย แต่ก็นะ..ผมไม่หลบ..

ฟุบ..

หมับ..!!!!

ฟ้าว..!!!

ผมที่เอื้อมมือออกไปก่อนจะใช้ง้ามนิ้วจับล็อคใบมีด พร้อมทั้งเหวี่ยงแขนปามีดสวนคืนกลับไปหาลูเซียน โดยมีดสั้นที่ทะยานคืนส่งกลับไปได้พุ่งเฉียดใบหูของเธอไปเพียงแค่สามเซ็นติเมตรเท่านั้น ก่อนจะปักเข้ากับพนักพิงหลังของเก้าอี้อย่างรุนแรง..

ปัก..!!!

มีดสั้นที่พุ่งปักเข้ากับพนักพิงหลัง ด้วยความยืดหยุ่นจึงทำให้มีดเล่มนั้นสั่นไหวไปมาจนเกิดเป็นการสะเทือนเล็กๆ อีกทั้งการโจมตีนี้มันยังทำให้ปอยผมของลูเซียนพลันต้องถูกตัดออกไป..

“นี่แก..!!!”เจมิไนท์ที่หันมาตวาดเสียงใส่ผม แต่ทางด้านของเทรนกับอาทิสกลับยังคงนั่งนิ่ง..

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ผมนั้นก็ได้สังเกตเห็นว่าเทรนกับอาทิสเกือบที่จะยื่นมือออกมาคว้ามีด แต่ทั้งสองกลับต้องหยุดความคิดนั้นเมื่อเห็นว่าวิถีของมีดไม่ได้ทำอันตรายใดๆต่อลูเซียน..

“….”ลูเซียนที่กลอกชำเลืองตาไปมองมีดที่ปักอยู่ข้างๆใบหน้า ก่อนที่เธอจะกลอกตากลับมามองผม พร้อมกับค่อยๆก้มหน้าลงไป

“หึๆ ๆ..”เสียงหัวเราะที่เกริ่นนำออกมา ก่อนที่ลูเซียนจะเงยหน้าขึ้น..

“ฮ่าๆ ๆ แกมันของจริง..!”ลูเซียนที่ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะกล่าวกับผมด้วยรอยยิ้ม โดยที่ทางด้านของเจมิไนท์ ถึงแม้จะโล่งอกแต่กลับหันมาแยกเขี้ยวชักสีหน้าใส่ผม..

“ต้องขออภัยด้วยครับ การตอบสนองเมื่อสักครู่มันเป็นสัญชาตญาณของผม กระผมไม่มีเจตนาหรือคิดร้ายต่อท่านพลเอกนะครับ..”ผมที่เปล่งเสียงบอกกับลูเซียน พออีกฝ่ายได้ยินก็หรี่ตาลง..

“งั้นเหรอ..? ไม่เป็นไรหรอก..ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ ฉันก็แค่อยากจะทดสอบความสามารถของแกก็เท่านั้น และจากที่เห็นมันก็ทำให้ฉันประเมินความสามารถของแกได้ในระดับหนึ่ง สายตาและการตอบสนองของแกถือว่าใช้ได้ ไม่สิ..ไม่ใช่แค่ใช้ได้ แต่ศักยภาพมันเกินกว่าที่ทหารยศสิบตรีจะทำได้ แกเป็นใครกันแน่..?”ลูเซียนที่กล่าวออกมา ดวงตาของเธอจู่ๆก็แค่กร้าวราวกับจับพิรุธและกำลังสงสัยในตัวตนของผม..

“ผมสิบตรีสตาร์..เกิดและเติบโตที่โบลส์มิสเทล ถ้าท่านพลเอกสงสัยในตัวของผมก็ลองส่งคนไปสืบข้อมูลดูได้ครับ..”ผมที่เปล่งเสียงกล่าวรายงานออกมา..

“หึ.. เรื่องนั้นคงไม่จำเป็น เพราะเมื่อหนึ่งปีก่อนฉันเองก็ได้ส่งให้คนไปสืบมาหมดแล้ว และก็ดูเหมือนว่าจะตรงกับที่แกบอกจริงๆ..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา ผู้หญิงคนนี้ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ..

“แต่สิ่งที่ฉันกำลังสงสัยก็คือแกทำได้ยังไง แกที่ไม่เคยเข้าสู่สมรภูมิหรือเคยฆ่าคนมาก่อน แต่กลับสามารถกวาดล้างและสังหารข้าศึกไปตั้งสองกองร้อยราวกับว่ามันเป็นอะไรที่สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะอธิบายยังไงมันก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผล..”ลูเซียนที่กล่าวออกมาและมันก็เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ..

“ผมคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ล่ะมั้งครับ..”ผมที่ตอบกลับลูเซียน พอเธอได้ยินก็หยุดชะงักและอึ้งไป..

“และอีกอย่างหนึ่งท่านรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เคยฆ่าคน ท่านรู้ได้ยังไงว่าผมเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน สภาพแวดล้อมที่ผมเติบโตมันได้สอนให้ผมต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไม่ฆ่าเขาเราก็จะถูกฆ่า ไม่เอาเปรียบก็จะถูกเอาเปรียบ ไม่แข็งแกร่งก็จะถูกกดขี่ ผมเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น..”ผมที่อธิบายและให้เหตุผลกับลูเซียน ถึงมันจะไม่สามารถหักล้างความไม่สมเหตุสมผลกับศักยภาพของผม แต่มันก็ยังพอที่จะใช้อ้างอิงได้..

“อืม..อย่างงั้นเองสินะ แต่ก็ช่างเถอะ..เรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า ตอนนี้ฉันมีภารกิจที่อยากจะให้เธอทำ..”ลูเซียนที่เปิดประเด็นกับผมหลังจากที่ยืดเยื้อมานาน..

“ท่านพลเอก..นี่อย่าบอกนะว่าท่านคิดที่จะ..”เทรนที่เงียบฟังมานานเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขาแลดูอึ้งๆ..

“ใช่..ฉันจะส่งเจ้านี่ไปที่ชายแดนตะวันตก..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา..

“เรื่องนั้นผมไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลคือท่านคงไม่คิดที่จะมอบหมายให้ทหารนายนี้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการฐานที่มั่นชั่วคราวเหมือนครั้งก่อนหรอกใช่ไหมครับ..?”เทรนที่กล่าวออกมา สีหน้าของเขาแลดูเป็นกังวล..

“ฉันคิด..”ลูเซียนที่ตอบกลับสั้นๆ..

“แต่ท่านครับ..นั่นมันทหารภายใต้การดูแลของผมนะครับ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมานั่นก็ไม่เท่ากับว่าจะส่งพวกเขาเข้าไปตายฟรีๆอย่างงั้นเหรอครับ และที่สำคัญกำลังพลของกองร้อยที่ 7 และ 8 ในตอนนี้ก็เหลือน้อยแล้ว สองกองร้อยรวมกันเหลือแค่ 100 กว่านายเสียด้วยซ้ำ แถมเรายังไม่มีกำลังพลที่จะส่งไปสนับสนุน แล้วไหน ผบ.ร้อย หรือร้อยโทเรนยังจะได้รับบาดเจ็บอีก จะเหลือก็แต่เพียงผู้บัญชาการฐานที่มั่นที่ต้องลงมาบัญชาการด้วยตัวเอง..

ส่วนกำลังพลกองร้อยที่ 9 และ 10 ของคีทารัสหน่วยกระทิงสลาตันก็เหลือเท่าๆกันกับเรา กว่าที่กองกำลังสนับสนุนของฝ่ายนั้นจะมาถึงก็คงจะต้องใช้เวลาเดินทางกว่าหลายอาทิตย์ มีทหารที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย แถมไม่แน่ว่าถ้ากองกำลังของศัตรูตัดสินใจเคลื่อนกำลังพลผ่านป่าเซลฟอสออกมาเมื่อไหร่ พวกมันอาจจะเข้ากระชับพื้นที่เริ่มจากทำลายฐานที่มั่นของจุดที่ 56 และหาทางลอบเข้าโจมตีศูนย์บัญชาการชายแดนหลักที่สอง ถ้าเกิดว่าศูนย์บัญชาการถูกโจมตี หน่วยของเราจะอธิบายเรื่องนี้ต่อกองทัพเอทารอสยังไงล่ะครับ..!?”เทรนที่ร่ายยาว เขาดูตื่นตระหนกและเป็นกังวลกับเรื่องนี้..

“เฮ้อ..แล้วแกจะให้ฉันตัดสินใจทำยังไง ในเมื่อผู้บัญชาการของฐานที่มั่นจุดที่ 56 ร้อยเอกลิลิธอะไรนั่น รวมไปถึงผู้บัญชาการของหน่วยกระทิงสลาตัล ไม่สามารถที่จะพลิกแพลงหรือแก้ไขสถานการณ์ได้ จนเกือบจะพาทหารจากทั้งสองหน่วยไปตายกันทั้งสี่กองร้อย ถึงต่อให้เปลี่ยนหรือหาผู้บัญชาการฐานที่มั่นคนใหม่ตอนนี้มันก็คงมีค่าไม่ต่างกันนั่นแหละ 

พวกเราไม่ได้อยู่ในสนามรบหรือพื้นที่ เราเลยไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงไม่สามารถที่จะวางแผนรับมือได้ในทันที มีแต่จะต้องส่งคนที่มีฝีมือลงไปในพื้นที่เท่านั้น..”ลูเซียนที่ถอนหายใจกล่าวออกมา ส่วนผมก็ยืนฟังและประเมินสถานการณ์ตาม….

“อะ..อึก..”เทรนที่ถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก..

“พลตรีเทรน..แกก็น่าจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้พวกเรามีทางเลือกไม่มากนัก สิ่งเดียวที่พวกเราพอจะทำได้คือต้านกองกำลังของข้าศึกและรอจนกว่าที่กองกำลังสนับสนุนของหน่วยกระทิงสลาตันจะมาถึง พูดง่ายๆศึกในครั้งนี้เราจำเป็นที่จะต้องยืมมือของกองทัพคีทารัส เพราะว่าเราเองก็ไม่มีกำลังพลที่จะส่งไปสนับสนุนเหมือนกับพวกนั้น 

เพราะฉะนั้นแล้วเจ้านี่คือความหวังเดียวที่พวกเราจะใช้พลิกสถานการณ์ ถ้าเกิดศักยภาพของมันเป็นของจริง ยังไงพวกเราก็ยังมีความหวังอยู่ ฉันจะให้มันรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการปกป้องฐานที่มั่นจุดที่ 56 เอาไว้ไม่ให้กองทัพของข้าศึกบุกรุกผ่านป่าเซลฟอสเข้ามาได้ เมื่อกองกำลังสนับสนุนของคีทารัสมาถึง เราจะไล่ต้อนพวกมันกลับไปและยึดชายแดนจุดที่ 56 กลับคืนมาให้จงได้..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา..

“ตะ..แต่ว่าท่านครับ ประเด็นสำคัญอีกอย่างนอกเหนือจากศักยภาพของเจ้านี่ นั่นก็คือความเชื่อมั่นของพวกทหาร ถ้าเกิดท่านส่งทหารยศสิบตรีไปดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฐานที่มั่นชั่วคราว ท่านคิดว่าพวกทหารจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านี่เหรอครับ แล้วไหนจะผู้บัญชาการฐานที่มั่นของคีทารัสที่ประจำการจุด 56 ร่วมกับพวกเราอีก..?”เทรนที่พยายามใช้เหตุผล ไม่ใช่ว่าเขาไม่มั่นใจในตัวของผม แต่ประเด็นคือขั้นตอนการและธรรมเนียมปฏิบัติ ถ้าเกิดจู่ๆมีทหารยศสิบตรีจบใหม่ถูกส่งไปเป็นผู้บัญชาการภารกิจ คงไม่มีทหารหน้าโง่คนไหนหรอกที่จะเชื่อและไปตายตามคำสั่ง..

ถึงแม้ว่าทหารพวกนั้นอาจจะเคยเจอผมในพิธีประดับยศและได้รับฟังวีรกรรมของผม แต่เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้คงไม่มีใครอยากที่จะเสี่ยง ยิ่งเป็นการที่จะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงยิ่งไม่ต้องพูดถึง..

“ตรงส่วนนี้ฉันเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะต้องเขียนคำสั่งโดยมีตราประทับของฉันส่งไปด้วย..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา..

“ในเมื่อพวกเขาไม่ฟังคำสั่งของผม..ก็เห็นไม่จำเป็นที่จะต้องบีบบังคับพวกเขาเลยหนิครับ ถ้าท่านคิดที่จะส่งผมไปเพื่อพลิกสถานการณ์ ผมจะอยู่ในสถานะไหนมันก็ไม่ต่างกันนั่นแหละครับ เพราะจุดมุ่งหมายเดียวที่พวกเราต้องการคือปกป้องฐานที่มั่นเอาไว้ไม่ใช่เหรอครับ..?”ผมที่เงียบฟังมานานจู่ๆก็พูดโพลงขึ้น..

“หืม..? ที่แกพูดแกกำลังหมายถึง..”ลูเซียนที่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา..

“หึ..ผมก็จะเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังยังไงล่ะครับ สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากท่านในภารกิจครั้งนี้คืออำนาจเบ็ดเสร็จ แม้จะสั่งการทหารในกองร้อยไม่ได้ แต่ขอเพียงแค่สั่งผู้บัญชาการฐานที่มั่นคนปัจจุบันได้ก็เพียงพอแล้วครับ จริงสิ..ผู้บัญชาการฐานที่มั่นที่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอครับ..?”ผมที่อธิบาย ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเทรน..

“ผู้หญิง..”เทรนที่ตอบกลับสั้นๆ..

“เพียงแค่นั้นก็ทำให้อัตราการปกป้องฐานที่มั่นสำเร็จไปแล้วถึง 80% ..”

“ห้ะ..!!?”เทรน เจมิไนท์ที่อุทานออกมา ไม่เว้นแม้แต่อาทิสที่เอาแต่นั่งเงียบมาโดยตลอด

“หืม..? ดูแกมั่นใจจังนะ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ถึงสถานการณ์อะไรเลย แกรู้ไหมว่าภารกิจที่แกกำลังจะได้รับมันคือภารกิจระดับ 3 ที่กำลังจะกลายเป็นระดับ 4 แล้วน่ะ..”ลูเซียนที่หรี่ตาลงมองมาที่ผม 

“ถ้าเช่นนั้นขอผมฟังรายละเอียดหน่อยครับ..”ผมที่กล่าว ก่อนจะค่อยๆคลี่รอยยิ้มออกมา..

“ยิ้มแบบนี้ทีไรบรรลัยทุกที..”เสียงของไอ้จ้อนที่กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าภารกิจแรกของผมอาจจะไม่ใช่ภารกิจธรรมดาๆซะแล้วสิ..

 

 

 

 

 

 

Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ..

Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ..

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Sword of horny ดาบแสงพลัง X กับทรชนพันธุ์ระยำ..แสงที่ 1 ชายผู้หลงไหลในดาบแสงและสงครามแห่งดวงดาว.. สงครามคือสิ่งที่อยู่กับมวลมนุษย์มาตั้งแต่ที่อารยธรรมถือกำเนิดขึ้นบนผืนโลก เหตุของการเกิดสงครามมาจากคนสองกลุ่มหรือมากกว่านั้นที่เกิดความขัดแย้ง ณ คอนโดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวงในประเทศเล็กๆที่มีผู้นำโง่ๆ [มันจบแล้วอนาคิน..~] เสียงตะโกนของตัวละครชายผู้หนึ่งที่ดังออกมาจากภายในจอของโน๊ตบุ๊ค โดยที่ตัวละครดังกล่าวกำลังยืนอยู่บนหินเหนือธารลาวาที่กำลังปะทุ ภายในห้องแคบๆที่มืดสนิทของคอนโดที่เกือบจะรกร้างปรากฏเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าของตัวเองอยู่บนเก้าอี้ เขาเป็นชายที่มีรูปร่างสูงโปร่ง เส้นผมที่ปล่อยยาวจนถึงบ่าดูกระเซอะกระเซิงลงมาปรกหน้าราวกับไม่เคยหวี่หรือดูแลมัน โดยที่ในเวลานี้สายตาของชายคนดังกล่าวกำลังจับจ้องไปยังหนังที่ดูซ้ำและซ้ำเล่ากว่าหลายพันครั้ง จนเกือบจะจำบทพูดและเนื้อเรื่องได้.. “เฮ้อ..~ ข้าเกลียดท่าน..!”เสียงถอนหายใจของชายวัยกลางคนที่เอ่ยบทพูดของตั

Comment

Options

not work with dark mode
Reset