‘นี่มันอะไรกัน ไม่เห็นเข้าใจเลย ความหมายก็ไม่ชัดเจน หรือเป็นเพราะแผ่นป้ายเหล็กไม่สมบูรณ์ ตัวอักษรบางส่วนหายไป มิน่าเล่าถึงดูขาดๆ หายๆ’
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ถ่ายทอดปราณของตนเองเข้าไปในป้ายโลหะทีละเล็ก ทีละน้อย
เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ป้ายโลหะที่ดูหยาบกระด้างนี้ แท้จริงแล้วซุกซ่อนคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดาเอาไว้ แม้สภาพของมันจะไม่สมบูรณ์ แต่ในเมื่อมันสามารถรับเอาปราณจิตของเยี่ยนจ้าวเกอได้ นั่นหมายความว่ามันแข็งแกร่งกว่าโลหะทั่วไป
‘มีความแข็งแกร่งเท่าปราณจิตราของปรมาจารย์ขั้นจิตราระยะกลางแล้วด้วย ตอนนี้เจ้าเยี่ยจิ่งมีวรยุทธ์ไม่เพียงพอ คิดว่าเขายังไม่สามารถคลายกลไกของมันได้ จึงเก็บไว้ในอนาคต’
เยี่ยนจ้าวเกอส่งพลังเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็เห็นป้ายโลหะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
แสงสีขาวจางๆ สว่างขึ้น ก่อนจะกะพริบขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ป้ายทั้งชิ้นส่องสว่าง
พร้อมกันนั้น เยี่ยนจ้าวเกอยังสัมผัสได้ว่าผิวสัมผัสของป้ายโลหะเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้ชายหนุ่มกระตุ้นปราณจิตทั้งร่าง แต่กลับยังรู้สึกถึงความเย็นของป้ายโลหะได้อย่างชัดเจน อุณหภูมิจริงของป้ายโลหะลดต่ำลงมาก จนถึงขั้นที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจแตะต้องได้ ไม่เช่นนั้นมือคงถูกแช่แข็งทันที
‘ความรู้สึกเช่นนี้ คล้ายกับเอกลักษณ์ของการฝึกวิชากระบี่ในยุคก่อนเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่อยู่บ้าง อันเรียกขานกันว่า วิชากระบี่น้ำแข็ง แต่ก็ยังยากจะตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่’ แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นไหว ‘กระนั้นมีการผสมสิ่งอื่นเข้าไปด้วย ข้าคิดว่าหลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ โลกแปดพิภพคล้ายจะเคยมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ยอดฝีมือคนหนึ่ง ผู้มีสมญานามว่ามังกรน้ำแข็งทะเลเหรือ หรือจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง”
‘ในบรรดาจอมยุทธ์ที่พเนจรไปทั่วทั้งโลกแปดพิภพหลังเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ คนผู้นี้น่าจะแข็งแกร่งเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ติดตัวด้วย ทว่าเขาเป็นตายยังคงเป็นปริศนา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปพร้อมกันกับเขาด้วยเช่นกัน’
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเองพลางคิดต่อไปว่า ‘ใช้ได้เลยเยี่ยจิ่ง เจ้านี่มันสุดยอดจริงๆ เรื่องอื่นข้าขอไม่พูดถึง แต่เจ้าดวงดีทีเดียว’
‘ยังไม่นับรวมแหวนสีแดงคล้ำวงนั้น ที่ไม่รู้ว่าเขาไปเก็บของชิ้นนี้มาตั้งแต่เมื่อใด’
“จะว่าไปแล้ว หลังวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่นั้น ก็พบเผ่ามังกรในโลกแปดพิภพน้อยลงมาก การค้นพบของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็งในตอนนั้นอาจไม่ได้มีเพียงวิชากระบี่ทะเลน้ำแข็งก็เป็นได้ และอาจเกี่ยวข้องกับเผ่ามังกร…”
ในตอนนั้นเอง อาหู่เคาะประตูอยู่นอกห้อง “คุณชาย ท่านผู้อาวุโสสวีแห่งเมืองใกล้ปราการมาถึงแล้วขอรับ”
สวีชวนเป็นผู้อาวุโสปฏิบัติกิจที่ประจำการอยู่ที่เมืองใกล้ปราการของอาณาจักรถังตะวันออก
เยี่ยนจ้าวเกอยุติการถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปในป้ายโลหะแล้วพูดว่า “เชิญท่านผู้อาวุโสสวีขอรับ”
หลังจากที่อาหู่ถอยกลับออกไป ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงเยี่ยนจ้าวเกอและสวีชวนสองคน สวีชวนไม่ได้เรียกเขาว่า ‘ศิษย์หลานเยี่ยน’ แต่เปลี่ยนเป็น “นายน้อยเยี่ยน ครั้งนี้คงจะตกใจไม่ใช่น้อย แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้รับอันตราย”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ “ท่านผู้อาวุโสสวีพูดสาปแช่งข้าแล้ว”
สวีชวนผู้นี้เป็นคนในฝ่ายเดียวกันกับบิดาของเขา ลำพังแค่การเรียกชื่อ ก็มองออกว่าคนผู้นี้เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น ตบตาเก่ง ถึงขั้นบางทีก็ขาดความเข้มงวดและไม่มีขอบเขต
ทว่าหัวหน้าผู้บังคับบัญชาของคนผู้นี้ คือผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งถังตะวันออก เหยียนซวี่ เป็นคนในฝ่ายของอาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอ สวีชวนที่อยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนี้กลับยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าภายใต้ท่าทางกลิ้งกลอกที่แสดงออกนี้ เขาย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่เก่งแต่เพียงประจบสอพลอผู้มีอำนาจเท่านั้น
หากเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ ก็คงไม่สามารถประจำการอยู่ในเมืองใกล้ปราการ ที่มีสภาพแวดล้อมซับซ้อนเช่นนี้ได้
“ไม่ทราบว่าเรื่องของหัวหน้าค่ายชื่อหลิงและเฒ่ามารหัวขวานเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม
สวีชวนส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “เฒ่ามารหัวขวานไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านผู้อาวุโสเหยียน ตาเฒ่านั่นโดนเล่นงานจนบาดเจ็บอีกครั้ง ทว่าท่านผู้อาวุโสเหยียนก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ จึงปล่อยให้เขาหนีไป”
“หัวหน้าค่ายชื่อหลิงเองก็หลบหนีไปได้เช่นกัน ทิ้งไว้แต่ความยุ่งยาก”
เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก “แม้อาณาจักรถังตะวันออกจะตั้งอยู่สุดเขตของนภาพิภพ แต่ทางสำนักก็ดูแลมานานหลายปี การที่ปล่อยให้คนหนีไปได้ง่ายๆ เช่นนี้ คงมีการแทรกแซงจากภายนอกเป็นแน่”
อาณาจักรถังตะวันออกตั้งอยู่สุดทิศตะวันออกของนภาพิภพ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศหรือวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมล้วนแต่ซับซ้อน นอกจากหุบเหวปราการมังกรแล้ว ยังเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อกับภูผาพิภพและอัคคีพิภพด้วย
เขาไร้พรมแดนที่ปกครองภูผาพิภพ และสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองพิภพอัคคี ต่างก็รุกล้ำเข้ามาในเขตของอาณาจักรถังตะวันออกอย่างหนัก
ทั้งสำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็มีการต่อสู้กันอย่างลับๆ ในเขตอาณาจักรถังตะวันออกแทบทุกวัน
สวีชวนกล่าวว่า “ไม่ผิดแน่ มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้พวกเขามีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “จริงสิ ได้ยินมาว่านายน้อยเยี่ยนเล่นงานเฉาหยวนหลงของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในปราการมังกรน้ำลึกหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “เป็นความจริงขอรับ”
“นายน้อยเยี่ยนเอาชนะเฉาหยวนหลงขาดลอย สร้างชื่อเสียงให้กับเขากว่างเฉิงของเรา เรื่องนี้ช่างน่ายินดีและน่านับถือยิ่ง สมกับเป็นบุคคลที่ฟ้าโปรดปรานของสำนัก ในอนาคตเจ้าต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่!” สวีชวนพูดชมจนชวนขนหัวลุก
หากว่าเป็นลูกศิษย์สำนักอื่นที่อ่อนแอกว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เล่นงานลูกศิษย์ของสำนักนี้แล้วล่ะก็ ทางสำนักคงไม่ยอมแต่โดยดี
แต่เยี่ยนจ้าวเกอมาจากสำนักเขากว่างเฉิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน การประมือกันระหว่างเขากับเฉาหยวนหลง จึงถือว่าเป็นเพียงการปะทะกันระหว่างศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้น
แพ้การประลองย่อมต้องเสียหน้าเป็นธรรมดา การจะกู้เอาหน้าที่เสียไปกลับมาก็ต้องใช้วิธีแบบเดียวกันเท่านั้น
ดังนั้นสวีชวนจึงยินดียิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอเล่นงานเฉาหยวนหลงจนหน้าบวมตาเขียว แต่สิ่งที่เขากังวลคืออีกเรื่องหนึ่ง
สวีชวนกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “ข้าได้ยินมาว่า หลังจากนั้นนายน้อยเยี่ยนขับไล่ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ออกจากเขตใจกลางน้ำวนด้วยหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มบางๆ ครั้งหนึ่ง “ถูกต้อง ข่าวนี้ก็เป็นความจริง”
ครั้นเห็นสวีชวนมีท่าทางกังวลใจ เยี่ยนจ้าวก็โบกมือ “ท่านผู้อาวุโสสวีสบายใจได้ เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเตาผลึกหินชั้นใน”
อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้น “เช่นนั้นก็ดี แต่ทางสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คงมีการตอบโต้กลับมาแน่ ทางสำนักเราเองก็ต้องส่งคนมาซักถามนายน้อยเยี่ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
“นอกจากนี้ หลังจากทางสำนักทราบข่าวความโชคร้ายของศิษย์นามว่าเยี่ยจิ่งแล้ว ก็น่าจะมีการซักถามเพิ่มเติมเช่นกัน แต่คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเหตุสุดวิสัย เจอมหาปรมาจารย์อย่างหัวหน้าค่ายชื่อหลิง ก็ไม่ต่างอะไรกับประสบภัยธรรมชาติ” เมื่อพูดถึงปัญหานี้ สวีชวนดูผ่อนคลายขึ้นมาก
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นมองบนเพดาน “คนบางคนอาจไม่คิดเช่นนี้ ตรงกันข้ามยังกำลังรอคอยโอกาสเช่นนี้ด้วยซ้ำ”
…
หุบเขาวายุวิญญาณ เป็นสถานที่ที่อยู่ในอาณาจักรถังตะวันออกเช่นเดียวกัน โดยตั้งอยู่ห่างจากเมืองใกล้ปราการออกไปไม่มาก ถือเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งที่เขากว่างเฉิงครอบครองอยู่อย่างสิ้นเชิง และเป็นแหล่งผลิตของทรัพยากรอันมีค่าจำนวนมา
ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจของเขากว่างเฉิงที่รับผิดชอบพื้นที่แห่งนี้มีนามว่าเหวินหนิงจือ ลักษณะภายนอกเป็นชายวัยกลางคนผู้มีกิริยาท่วงท่าสง่างาม อายุยังถือว่าไม่มาก มีอนาคตที่สดใส หากไม่มีเรื่องผิดพลาด ก็ยังมีโอกาสก้าวหน้าได้อีกมาก
“ทั้งคู่มีเรื่องขัดแย้งกันเพราะเชื้อไฟสัจจะอัคคีรึ? ก่อนเยี่ยจิ่งตาย เขาตะโกนเรียกชื่อเยี่ยนจ้าวเกออย่างโกรธแค้นด้วยใช่หรือไม่” มุมปากของเหวินหนิงจือปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
จอมยุทธ์ที่รอคอยคำสั่งตรงหน้าเขาตอบว่า “ข้าน้อยรู้ความมาจากปากของศิษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นจริงดังนั้นขอรับ แต่พวกเขามองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ที่เยี่ยจิ่งตกลงไปหุบเหวปราการมังกร”
เหวินหนิงจือยิ้ม “เท่านั้นเพียงพอแล้ว”
ในฐานะที่เป็นผู้นำคณะเดินทาง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับศิษย์รุ่นเยาว์ และศิษย์คนนั้นยังเป็นเยี่ยจิ่งที่มีความแค้นกับเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอด เช่นนี้เยี่ยนจ้าวเกอคงถูกหางเลขไปด้วยได้ง่ายๆ
ผู้ที่อยู่ข้างกายเหวินหนิงจือเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสเยี่ยน ทั้งยังเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ หากว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เกรงว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ”
“เรื่องพรรค์นี้ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไร แค่ความสงสัยก็เพียงพอแล้ว” เหวินหนิงจือยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
คนผู้นั้นกล่าวด้วยความลังเล “เยี่ยนจ้าวเกอนำเตาผลึกหินชั้นในกลับสู่โลกอีกครั้ง ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับสำนักของเราให้สูงขึ้น เขาสร้างผลงานชิ้นโตเอาไว้เช่นนี้ ต่อให้ทำผิดไปบ้างก็คงเป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้…”
เหวินหนิงจือหัวเราะ ”เตาผลึกหินชั้นในอย่างนั้นหรือ แถมยังสร้างด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มไม่รู้ความผู้นั้น?”
………..
Related