หลินชิงเวยลุกพรวดยืนขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว ด้วยความรูปร่างของนางและความสูงของหลังคาของรถม้านี้นางจึงยืนได้อย่างไม่มีปัญหา นางกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ไฉนท่านจึงเป็นคนพูดอันใดไม่ฟังเช่นนี้? ช่างเถิด ท่านไม่ไปก็แล้วไป ข้าไปเอง หากท่านกล้าขวางข้า…”
ที่จริงแล้วหลินชิงเวยกำลังจะเดินออกไปข้างนอกทั้งๆ ที่เพิ่งพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง เซียวเยี่ยนได้กุมข้อมือของนางเอาไว้และกล่าวว่า “ห้ามไปไหนทั้งสิ้น รอให้คนในตลาดวายเสียก่อน พวกเรากลับวังหลวงทันที”
รอให้คนในตลาดวายเสียก่อน เกรงว่าคงต้องรอราวๆ สองชั่วยามกระมัง
หลินชิงเวยหัวเราะ “ข้าบอกว่าหากท่านกล้าขวางข้า ข้าจะร้องตะโกนให้ลั่นว่าท่านลักพาตัวหญิงสาวชาวบ้าน”
เซียวเยี่ยน “…”
“ท่านไม่เชื่อ?” พูดแล้วหลินชิงเวยก็เปิดผ้าม่านหน้าต่างบานหนึ่งพร้อมกับโผเข้าไปเตรียมจะอ้าปากตะโกน “ช่วย…อื้ออื้ออื้อ…”
เซียวเยี่ยนมือหนึ่งปิดปากของนางและลากตัวนางกลับมา หลินชิงเวยเริ่มต่อสู้ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในรถม้าส่งผลให้รถม้าเอียงไปเอียงมา ม้าที่อยู่ด้านหน้าจึงส่งเสียงร้องในจมูกสองครั้งด้วยมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ คนบังคับม้าที่อยู่ข้างหน้าก็มองไปรอบๆ ด้วยสายตาประหลาดใจด้วยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ…
รถม้าโยกไปโยกม้ากลางถนนต้องรับผิดชอบถึงอันตรายที่เกิดขึ้น หลินชิงเวยทางหนึ่งโยกรถม้าให้สั่นคลอน อีกทางหนึ่งพูดว่า “อีกประเดี๋ยวหากมีคนไปรร้องเรียนว่าท่านกระทำการไม่เหมาะสมต่อหน้าธารกำนัล ถูกขุนนางเชิญไปดื่มน้ำชาก็อย่าได้กล่าวโทษข้า”
เซียวเยี่ยนหน้าดำทมึน “เจ้าพอได้แล้วได้”
“จะให้ข้าให้ความร่วมมือส่งเสียงร้องหรือไม่? หืม? อ๊า…อืม…”
เซียวเยี่ยนกุมหน้าผาก “เที่ยวเที่ยวเที่ยว ยังไม่รีบไสหัวออกไปเที่ยวอีก!”
หลินชิงเวยหยุดโยกคลอนรถม้าแล้วยกมือขึ้นเท้าเอวคอดกิ่วของตน พรูลมหายใจออกมาสองครั้งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลว่า “ท่านให้ความร่วมมือแต่แรกก็ไม่มีเรื่องเช่นนี้แล้วอย่างไรเล่า? หากเสด็จอาไม่อยากจะปรากฏตัว ก็รอข้าอยู่ในรถก็ได้ ข้าออกไปเดินเที่ยวสักครู่ก็กลับมาแล้ว” พูดแล้วหลินชิงเวยก็เปิดผ้าม่านรถม้าออกแล้วกระโดดดลงจากรถม้าโดยมีคนบังคับม้าประคอง
เซียวเยี่ยนไหลเลยจะยอมให้หลินชิงเวยออกไปเดินเที่ยวเพียงลำพังได้ ดังนั้นเขาจึงลงจากรถม้ามายืนอยู่ข้างหลังนางเช่นกัน
คนทั้งสองถูกจับจ้งอด้วยสายตาไม่บ่งบอกความหมายจากผู้คนรอบๆ บริเวณนั้นในชั่วพริบตา สตรีร่างเล็กรูปโฉมงดงาม บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน นางถูกตลาดนัดดึงดูดความสนใจ ส่วนใบหน้าด้านข้างของบุรุษนั้นเย็นชาราวกับปีศาจ สายตาของคนช่างซุบซิบนินทาถูกสายตาอันเย็นเยียบของเขามองกราดจนต้องหลบหลีกไปทางอื่น
“จะต้องเป็นโฉมสะคราญที่ถูกกักขังไว้ในห้องหอทองคำเป็นแน่! คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนนี้หน้าตาท่าทางรูปงามกลับมีท่าทีราวกับเป็นอันธพาลเช่นนี้ ถึงกับกล้า….กับแม่นางน้อยในรถม้าที่อยู่กลางถนน
หลินชิงเวยเดินเข้าไปฝูงชนด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ชั่วพริบตานางก็อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ถนนทั้งสองข้างล้วนมีร้านค้าที่วางขายกับพื้นล้วนขายสินค้าของเล่นแปลกใหม่นานาชนิด นางลองกะน้ำหนักของถุงเงินในมือดู เอ๊ะ หนักพอใช้ได้ คาดว่าคงซื้อสิ่งของได้ไม่น้อย
เซียวเยี่ยนเจ้าหนุ่มคนนั้น ออกมาข้างนอกนำเงินติดตัวมากมายเช่นนี้ มิใช่เป็นการบอกกับพวกหัวขโมยให้หัวขโมยมาฉกชิงวิ่งราวหรือไร ให้คนอื่นขโมยไปสู้นางเป็นคนขโมยเองไม่ได้
หลินชิงเวยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นี่เป็นโอกาสดียิ่งนักที่ได้รับอิสระอีกครั้ง หากนางซ่อนตัวอยู่ในฝูงคน เซียวเยี่ยนย่อมหานางไม่พบ นางก็สามารถมีอิสรเสรีได้แล้ว เพียงแต่ ซินหรูยังอยู่ในวังและขาของเซียวจิ่นยังรักษาไม่หายดี
หาไม่พี่สาวจะต้องกลับคืนสู่อ้อมกอดของฟ้าดินอย่างเป็นอิสระอย่างแน่นอน
ลำพังเพียงแค่คิดมาถึงตรงนี้หลินชิงเวยกำลังเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าร้านค้าที่ขายหน้ากาก เจ้าของร้านกระตือรือร้นเลือกหน้ากากให้นางชิ้นหนึ่ง นางเพิ่งจะหยิบมาไว้ในมือ อีกมือหนึ่งก็ถูกคนจับเอาไว้แล้ว
หลินชิงเวยมองลอดผ่านออกไปจากดวงตาของหน้ากาก เห็นรูปร่างสูงใหญ่ของเซียวเยี่ยนยืนอยู่ตรงหน้านางแล้วบังคับหยิบถุงเงินจากมือนางกลับไป ทั้งยังแย่งหน้ากากของนางคืนให้กับเจ้าของร้าน พร้อมกับกล่าวเรียบๆ ว่า “ขออภัย นางแอบหนีออกมาด้วยสมองไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก”
“อ้อ เช่นนี้หรือ” เจ้าของร้านรีบเก็บหน้ากากของตนเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะถูกหลินชิงเวยแย่งชิงไป
หลินชิงเวยตะลึงไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นนางก็ถูกเซียวเยี่ยนลากตัวให้เดินไปด้วยกัน นางเอ่ยขึ้นว่า “ดูไม่ออกจริงๆ ว่าท่านอาจะกล่าววาจาล้อเล่นได้ร้ายกาจเช่นนี้”
คนทั้งสองถูกเบียดเสียดแออัดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน เขาหันหน้ามาจ้องนางด้วยสายเย็นชาสุดขั้ว “หากเจ้ายังกล้าหยิบสิ่งของของข้าตามอำเภอใจ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดมือของเจ้าเสีย ครั้งนี้ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
“ทำอย่างไรดีเล่า? ข้าจะซื้อของแต่ข้าไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วย”
“เจ้าไม่มีเงินแล้วยังจะซื้อสิ่งของอันใดอีก?”
“แต่ท่านมีนี่นา”
“ของข้า ไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย”
“ท่านไม่ซื้อให้ข้า ข้าก็จะร้องไห้ท่านเป็นท่านอาของข้า จะดูว่าเมื่อข้าร้องไห้ขึ้นมาแล้วท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“…”
หลินชิงเวยยืนอยู่หน้าร้านขายซาลาเปาร้านหนึ่ง กลิ่นหอมของซาลาที่เพิ่งออกมาจากเตามาใหม่ๆ ช่างยั่วน้ำลายผู้คนยิ่งนัก นางหันไปมองเซียวเยี่ยนพร้อมใช้สายตาเจรจา:เอาซาลาเปาไส้เนื้อมากินสักสองลูกก่อนเถิด
เซียวเยี่ยน : เจ้ามิใช่เพิ่งกินข้าวมาหรือไร?
หลินชิงเวย : ก็หิวอีกแล้วนี่นา
เซียวเยี่ยนไม่อยากจะแยแสนางอีกต่อไปจึงหันหน้าแล้วเดินไปข้างหน้า หลินชิงเวยรั้งเขาไว้พร้อมกับแสดงท่าทีปากเบ้เตรียมจะร้องไห้ คนๆ นี้ช่างมีฝีมือในการแสดงยิ่งนัก บอกว่าจะร้องไห้น้ำตาก็เอ่อคลอออกมาทันใจ
เซียวเยี่ยมพ่ายแพ้ในที่สุด แม้กระทั่งเถ้าแก่ร้านซาลาเปาก็ยังออกปากด้วยรู้สึกทนดูไม่ได้อีกต่อไป “แม่นางน้อยอยากกินซาลาเปา คุณชายท่านนี้ก็ซื้อให้นางเถิด”
เซียวเยี่ยนพูดเกร็งๆ ว่า “เอาซาลาเปาให้นางสองลูก”
หลินชิงเวยกล่าว “ไส้เนื้อนะเจ้าคะ”
เซียวเยี่ยนกลัวว่านางจะมัวแต่กินซาลาเปาจนลืมเดินไปข้างหน้าแล้วถูกกลุ่มฝนเบียดจนพลัดหลง จึงจูงมือของนางให้นางทางหนึ่งกินซาลาเปาช้าอีกทางหนึ่งเดินไปพร้อมกับเขา คนตัวใหญ่คนหนึ่งตัวเล็กคนหนึ่ง ดูเหมือนเขากำลังลากขวดซีอิ๊วไปด้วยขวดหนึ่ง
ครั้งแรกที่ลากขวดซีอิ้วมาเดินตลาดในยุคสมัยโบราณส่งผลให้หลินชิงเวยเห็นอะไรก็ต้องการซื้อทุกสิ่งอย่าง ตลอดทางที่เดินมานั้นล้วน ซื้อซื้อซื้อ มือของนางถือไม่ไหวแล้วก็ส่งให้เซียวเยี่ยน ท้ายที่สุดเซียวเยี่ยนถือสิ่งของห่อเล็กห่อใหญ่ยังไม่หนำใจ ในมือยังมีพุทราเชื่อมอีกสองไม้ สีหน้าท่าทางบูดบึ้งถึงขีดสุด ราวกับแม่นางน้อยที่เขาจูงมืออยู่นี้ถูกเขาหลอกล่อด้วยพุทธาเชื่อมก็ไม่ปาน
พวกเขาเดินผ่านแม่น้ำสายหนึ่งของเมืองหลวง แม่น้ำสายนี้ชื่อ อาฉ่ายเหอ บริเวณริมแม่น้ำมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่เล็กน้อง บรรดาบุรุษรูปงามและสตรีโฉมสะคราญมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำเพื่อฉลองเทศกาลเด็กผู้หญิง
ดอกกล้วยไม้เป็นดอกไม้ที่ขาดไปไม่ได้สำหรับเทศกาลเด็กผู้หญิง เฉกเช่นเดียวกับขนมบ๊ะจ่าง[1]ที่เป็นตัวแทนสื่อความหมายในเทศกาลตวนอู่[2]
ตามถนนหนทางล้วนมีแม่นางน้อยขายดอกกล้วยไม้ ดอกกล้วยไม้นานาชนิดกิ่งก้านเขียวสดงดงามมีชีวิตชีวา ยังมีดอกกล้วยไม้ที่นำมาทำเป็นเครื่องประดับซื้อมาประดับไว้บนร่างกายได้ ได้ยินว่าทำเช่นนี้แล้วจะขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปได้
หลินชิงเวยซื้อดอกไม้ดอกเล็กๆ สำหรับทัดผมดอกหนึ่ง นางทัดดอกไม้นั้นบนผม สายน้ำในแม่น้ำทอประกายระยิบระยับ เซียวเยี่ยนก้มหน้าลงมองรอยยิ้มอันเบิกบานใจของนาง เส้นผมหน้าที่ปรกหน้าผากนั้นถูกสายลมพัดให้เปิดขึ้นให้เห็นดวงตาที่ทอประกายราวกับมีดวงดาวมากมายอยู่ในนั้น
เซียวเยี่ยนเงียบขรึมไม่เอ่ยวาจา เขาทำหน้าที่หยิบเงินอย่างว่าง่าย
แม่นางซึ่งขายดอกกล้วยไม้เห็นใบหน้ารูปงามของเซียวเยี่ยนจึงเอ่ยปากชื่นชมทั้งที่แก้มแดงเรื่อว่า “แม่นางช่างมีวาสนายิ่งนักได้พบบุรุษที่ต้องใจเป็นสามี ไม่สู้ซื้อดอกไม้ให้คุณชายท่านนี้ด้วยช่อหนึ่ง คุณชายจะได้ขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีด้วย เช่นนี้แล้วจะได้เหมาะสมกัน”
เซียวเยี่ยนปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการ”
ในใจของเขาดูแคลนยิ่งนัก ความรู้สึกดูถูกดูแคลนนั้นปรากฏชัดเจนบนใบหน้าทำให้หลินชิงเวยเห็นอย่างชัดเจน สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ดึงดูดความสนใจของแม่นางน้อยเหล่านั้นได้ เขาซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ไหนเลยจะสนใจสิ่งของเหล่านี้
ทว่าหลินชิงเวยกลับเลือกดอกกล้วยไม้ประดับเอวมาดอกหนึ่งในชั่วพริบตา นางกล่าวกับหญิงสาวขายดอกกล้วยไม้ด้วยรอยยิ้มยิบหยี “ดอกนี้ก็แล้วกัน” ยิ่งเซียวเยี่ยนไม่ต้องการ นางก็จะซื้อให้เขา ดังนั้นนางจึงหันกายไปหาเซียวเยี่ยน ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อนำดอกไม้ในมือประดับลงบนสายคาดเอวของเขาเซียวเยี่ยนเบาๆ โดยไม่รอให้เซียวเยี่ยนปฏิเสธ
นางทำทุกอย่างด้วยความนุ่มนวลราวกับแมวตัวหนึ่งที่ยื่นกรงเล็บของมันออกมา สะกิดเสียจนช่วงเอวของเซียวเยี่ยนคันยุบยิบ เขาหลุบตาลงต่ำเพื่อมองนางเห็นลำคอระหงที่ปรากฏออกมา เสื้อผ้าที่แนบติดไปกับผิวเนื้อบิรเวณนั้นแล้วจึงเห็นคิ้วและดวงของนางที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
นางจงใจทำให้เขาโกรธขึ้งกระมัง
“เรียบร้อยแล้ว” หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นกล่าวยิ้มๆ
[1] บ๊ะจ่าง
[2] เทศกาลตวนอู่