ตอนที่ 283 สืบคดี
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างประจวบเหมาะไปเสียทุกอย่าง ทั้งเวลาตายของอาจูช่าง ดูคล้ายว่าโดนสังหารมากกว่าฆ่าตัวตาย และหากถูกสังหารจริงฉางอันกงจู่ผู้ไร้เดียงสาก็คงมิได้บริสุทธิ์อย่างที่กล่าวเอาไว้เสียแล้ว
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง มิรู้ว่าควรเชื่อคำพูดของใครกันแน่
“ทูลฝ่าบาท ในเมื่อกงจู่และคุณหนูใหญ่อันพูดไปกันคนละทางเช่นนี้ มิสู้ลองฟังความเห็นของกระหม่อมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ลู่จ้านที่สงบนิ่งมาตลอด อยู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นมาราวกับแสงสว่างได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฮ่องเต้ “ดี ข้าขอมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการแล้วกัน”
พระธิดาสองพระองค์ทะเลาะกัน อีกทั้งยังพัวพันไปถึงอันหลิงเกอที่เพิ่งมีความดีความชอบใหญ่หลวง ฮ่องเต้รู้สึกว่าเรื่องราวระหว่างสตรีช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก หากลู่จ้านสามารถหยุดเรื่องนี้ได้ พระองค์จักยินดีมาก
ส่วนผู้ที่มาหยุดเรื่องนี้เยี่ยงลู่จ้านกลับไร้ท่าทีร้อนรนอันใด เขาหันไปทางอันผิงกงจู่ “เมื่อครู่กงจู่ให้คนไปเชิญกระหม่อมมา มิทราบว่ามีสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“อันหลิงเกอคิดว่าการตายของนางกำนัลคนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ ทั้งยังหาหลักฐานบางอย่างที่ยืนยันว่าอาจูอาจถูกฉางอันสั่งฆ่าเพื่อคนตายมิสามารถให้การได้ ฉางอันก็มิยอมรับและคิดว่าการคาดเดาของคุณหนูใหญ่อันเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าจึงอยากเชิญแม่ทัพน้อยลู่มาสืบหาความจริง”
แม้ในใจของอันผิงเต้นโครมครามมากเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่จ้านต้องข่มความรู้สึกเอาไว้ พูดมิติดขัดและอธิบายเรื่องราวได้อย่างละเอียดชัดเจน มีสติมากพอที่จักมิกล่าวสิ่งใดให้เกี่ยวข้องกับตนอีกด้วย
ลู่จ้านนิ่งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม “สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบการตายของอาจูอย่างชัดเจนว่านางฆ่าตัวตายหรือถูกผู้อื่นสังหาร”
เขาสามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องได้ทันที หากอาจูถูกคนสังหาร ฉางอันกงจู่ก็หนีความผิดนี้มิได้ แต่หากอาจูฆ่าตัวตาย อันหลิงเกอก็จักมีความผิดฐานจงใจสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา
เมื่อลู่จ้านกล่าวจบ อันหลิงเกอก็พยักหน้ารับและนำของที่อยู่ในมือออกมา “นี่คือของที่อยู่บนตัวนกแก้วของฉางอันกงจู่ ส่วนด้ายสีแดงที่ใช้ผูกของสิ่งนี่ไปตกอยู่บนตัวของนางกำนัลอันผิงกงจู่เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวพร้อมชี้ไปยังนางกำนัลที่ยืนหน้าซีดด้วยความกลัว “นางกำนัลผู้นั้นพบศพอาจูเป็นคนแรกเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอไปดูที่ห้องของอาจูได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ” ลู่จ้านเอ่ยพร้อมหันไปมองฉางอันกงจู่ ดวงตาคมเข้มไร้ความหวั่นไหวแม้แต่น้อย
ฉางอันเกรงว่าเขาจักตรวจพบสิ่งใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ นางก็ทำได้เพียงกัดฟันตอบรับเท่านั้น “หากแม่ทัพน้อยลู่ต้องการตรวจสอบก็ย่อมได้”
ในเมื่อฮ่องเต้มอบให้ลู่จ้านเป็นคนจัดการเรื่องนี้แล้ว เขาจึงมิจำเป็นต้องขออนุญาตจากฮ่องเต้อีก เขาเดินนำราชองครักษ์อีกห้าคนที่อยู่ด้านหลังไปยังห้องของอาจูทันที
อันผิงอยากตามไปด้วย แต่เมื่อคิดว่าคนตายอาจนำโชคร้ายมาให้จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แต่เป็นอันหลิงเกอเสียเองที่มองพระพักตร์ของฮ่องเต้ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวกับอันผิง “หากกงจู่มิถือก็ไปทอดพระเนตรด้วยกันดีหรือไม่เพคะ ดั่งที่ฉางอันกงจู่กล่าวไว้ว่า ต้องเห็นที่เกิดเหตุด้วยตาตนเองจึงสามารถตัดสินได้”
นี่เป็นโอกาสที่หามิง่ายในการเข้าใกล้ลู่จ้าน ความคิดของอันผิงที่กำลังต่อสู้กันหยุดลง สุดท้ายนางจึงพยักหน้าเห็นพ้อง “ดี ข้าจักไปดูเอง ฉางอันจักไปด้วยกันหรือไม่ ? ”
พวกนางไปกันหมด หากฉางอันมิไปก็ยิ่งน่าสงสัย
ขณะที่กำลังจักเอ่ยปาก ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาเสียก่อน “ไปเถิด ข้าจักไปดูกับพวกเจ้าว่าลู่จ้านสืบคดีนี้เช่นไร”
ฮ่องเต้ตรัสออกมาเองเช่นนี้ ฉางอันจึงทำได้เพียงเดินตามไปยังห้องของอาจู
ห้องของอาจูเป็นห้องธรรมดาแบบที่นางกำนัลทุกคนอยู่ ภายในห้องมีโต๊ะ เก้าอี้และชุดน้ำชาแล้วก็มีมิกี่เตียงวางเรียงกันอยู่
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นอันดับแรกมิใช่เครื่องเรือนเหล่านั้น ทว่าเป็นขาที่แกว่งไปมาตามลมต่างหาก
อันผิงกงจู่ถึงขนาดมิกล้าเงยหน้ามอง เพียงแค่เห็นเท้าคู่นั้นก็ตกใจจนหน้าซีด นางจึงได้แต่ก้มหน้ามองพื้นมิกล้ามองศพของอาจู
ท่าทีของฉางอันกงจู่ก็มิแตกต่างกันมากนักและดูเหมือนหนักกว่าอันผิงด้วยซ้ำ
เพราะอันผิงกงจู่มิเคยเอาชีวิตผู้ใดมาก่อน เมื่อเห็นศพเช่นนี้จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ส่วนฉางอันกงจู่ที่เป็นคนสั่งฆ่าอาจู เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นดวงตาที่เบิกโพลงของอาจู ราวกับเห็นวิญญาณชั่วร้ายจ้องเอาชีวิตตนก็มิปาน เป็นเหตุให้ภายในใจของนางรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ร่างบอบบางเหมือนแข็งค้างขึ้นมาโดยพลัน ทำให้นางยืนอยู่ที่เดิมมิกล้าขยับเขยื้อน
เมื่อไปถึงห้องที่เกิดเหตุ สายตาของลู่จ้านก็มองขึ้นไปตามร่างของอาจูแล้วสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของนาง
เขามิได้รีบสั่งให้คนนำร่างของอาจูลงมาเพื่อตรวจสอบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ชี้ไปที่มือของอาจู
“ทูลฝ่าบาท ได้โปรดทอดพระเนตรที่มือของนางพ่ะย่ะค่ะ”
มือของอาจูตกลงข้างตัวเหมือนคนที่ผูกคอตายทั่วไป มิเห็นมีสิ่งใดแตกต่าง
ฉางอันกงจู่ฝืนความกลัวในใจแล้วมองไปยังมือของอาจู เมื่อมิเห็นสิ่งใดผิดสังเกตก็เบาใจขึ้น
ทว่าแววตาของอันหลิงเกอจ้องไปที่มือคู่นั้น บนใบหน้างดงามก็ปรากฏท่าทีคล้ายกับว่าสิ่งที่ตนคิดคือความจริง “บนหลังมือของอาจูมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาเพคะ”
มีเส้นเลือดปูดก็ถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
ราชองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างต่างงงงวย มิเข้าใจว่าอันหลิงเกอต้องการกล่าวสิ่งใดกันแน่
แต่มิใช่กับลู่จ้านที่มองอันหลิงเกอแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นมา ภายในใจอดชื่นชมนางมิได้ แม้รายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้อันหลิงเกอยังสังเกตเห็นและรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่านางมีความรู้มากกว่าคนทั่วไปมิน้อยเลย
มุมปากของเขาโค้งขึ้น หลังจากนั้นน้ำเสียงที่ดังกังวานก็เอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว หากกล่าวกันตามปกติแล้วสตรีเช่นอาจูมักมิปรากฏเส้นเลือดปูดขึ้นบนหลังมือเช่นนี้”
“แน่นอนว่ามีเพียงยามที่นางใช้กำลังอย่างมากเท่านั้น เส้นเลือดบนหลังมือจึงปูดขึ้นมา”
ลู่จ้านกล่าวพร้อมชี้ไปที่นางกำนัลซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของอันผิงกงจู่ “พวกเจ้ายื่นมือออกมาที”
พวกนางกำนัลมิรู้ว่าลู่จ้านจักทำสิ่งใด แต่ก็ยื่นมือออกมาตามคำสั่ง
สายพระเนตรของฮ่องเต้มองไปยังมือเหล่านั้น แม้อาจมิได้เรียวยาวแต่เส้นเลือดที่หลังมือก็ซ่อนไว้ใต้ผิวหนัง มองแล้วเรียบเนียนมิมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาแต่อย่างใด
“ตอนนี้ลองออกแรงกำมือให้แน่นสิ” ลู่จ้านออกคำสั่งอีกครั้ง เหล่านางกำนัลก็ออกแรงกำมือจนแน่น จากนั้นบนหลังมือก็ค่อยๆ ปรากฏเส้นเลือดปูดขึ้นมา
ลู่จ้านเห็นดังนั้นจึงยกยิ้มแล้วมองไปทางฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท หลังมือของอาจูมีเส้นเลือดปูดขึ้นนั่นเกิดจากการใช้แรง เห็นได้ชัดว่าก่อนตายนางใช้แรงอย่างมาก แต่คนที่ผูกคอตายปกติจักมิใช้แรงมากมายเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็มีแค่คำอธิบายเดียว
คือมีคนสังหารอาจูและนางพยายามต่อสู้ ทว่าสุดท้ายก็ถูกคนผู้นั้นสังหารจนตายแล้วนำร่างไปแขวนไว้กับคานเพื่อจัดฉากเหมือนว่านางฆ่าตัวตายเสียเอง
ส่วนคนที่สังหารนางเป็นผู้ใด…
เมื่อคิดได้เช่นนั้น พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปทันที สีพระพักตร์ที่น่าเกรงขามอยู่แล้วเมื่อทรงกริ้วก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก “ฉางอัน ข้ามองเจ้าผิดไป !”
เมื่อครู่ฉางอันบอกว่าหลักฐานที่อันหลิงเกอนำออกมาไร้สาระและเชื่อถือมิได้ แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่าอาจูโดนสังหารก็เท่ากับยืนยันได้ว่าการคาดเดาของอันหลิงเกอเป็นความจริง
ตอนนี้หลักฐานอยู่ตรงหน้าแล้ว ฮ่องเต้ย่อมบันดาลโทสะเป็นธรรมดา
ฉางอันกงจู่มีใบหน้าซีดเผือดแล้วรีบคุกเข่าลงพื้นทันที “ทูลฟู่หวง ลูกมิได้ตั้งใจฆ่าอาจูเพคะ ! ”