ตอนที่ 342 ลูกศรจากทิศตะวันออก
เมฆหมอกในเมืองกวนหยุนนั้นมักจะมาอย่างมิมีปี่มิมีขลุ่ย
หมอกจางปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง นี่คือจุดเด่นของเมืองกวนหยุน
เมื่อเมฆและหมอกมาบรรจบกัน ทั้งเมืองกวนหยุนก็ราวกับถูกครอบคลุมไปด้วยเมฆหมอก หากยืนอยู่ในที่สูง เช่นจายซิงถาย หรือบนหอเทียนเซียงแห่งสำนักดาราศาสตร์ ณ กวนหยุนถาย ก็จะสามารถมองเห็นเมฆหมอกสีขาวราวกับหยกปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองกวนหยุน ทำให้เมืองนี้มีบรรยากาศราวกับเทพนิยายที่แสนงดงาม
ในค่ำคืนนี้เมฆลอยต่ำลงมาเร็วกว่าทุกที
หมอกจาง ๆ ในตอนแรกกลับค่อย ๆ หนาขึ้น ในที่สุดแม้แต่แสงไฟก็ยังถูกบดบังความสว่าง
ท่ามกลางหมอกที่ค่อย ๆ หนาขึ้นนี้ ผู้มีฝีมือด้านอาวุธลับแห่งยุทธจักรกงซุนแห่งแคว้นอี๋ นางกำลังจ้องมายังที่ฟู่เสี่ยวกวน
ในมือของนางนั้นมีมีดบินอยู่ 5 เล่ม นางเพียงสะบัดมือเบา ๆ มีดทั้งห้านั้นก็หายเข้าไปท่ามกลางหมอกหนาทันที
มีดบินเล่มหนึ่งนั้นกำลังจะปักเข้าที่มือขวาของฟู่เสี่ยวกวน อีกสี่เล่มมุ่งไปที่จุดต่าง ๆ ของฟู่เสี่ยวกวน เช่นหัวใจ ลำคอ หน้าผากและช่องท้อง !
อาวุธลับนั้นลอยมาอย่างรวดเร็ว
กงซุนยิ้มออกมา ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขานั้นดูราวกับซากไม้ที่แห้งกรัง
……
……
กระบี่ของหนิงซือเหยียนปักลงบนพื้น
เขาหยิบไหสุรานั้นขึ้นมาดื่มแล้วยกแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดปาก ทำให้ใบหน้าของเขาแปดเปื้อนไปด้วยเลือด มองดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่ง
คลั่งดาบฉือมู่หยิบดาบแล้วพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เขาเดินโซซัดโซเซไปยังกองไฟที่ยังมิมอดดับ จากนั้นก็คว้าไหสุราบนพื้นขึ้นมาดื่มหลายอึก
สุราไหลออกจากปากของเขาลงไปที่คางสู่คอและหน้าอก มองเห็นเป็นเส้นยาวสีแดงลงมาทั้งสองข้าง
“เจ้านับว่าเป็นคนที่ข้าให้ความนับถือคนหนึ่ง ! ” ฉือมู่เขวี้ยงไหสุราที่ว่างเปล่านั้นทิ้งลงสู่พื้นธรณีเสียงดังกังวาน
หนิงซือเหยียนจ้องไปที่เขาตาไม่กะพริบ “เจ้าเป็นใครกัน ! ข้าบอกให้รอข้ากินไก่ให้เสร็จเสียก่อน ! ข้าบอกว่าอย่าเอ่ยชื่อมันต่อหน้าข้า แต่เจ้าก็มิเชื่อ ! ”
ฉือมู่หัวเราะออกมา ในปากของเขายังมีเลือดสีแดงสดไหลออกมามิหยุด แต่ทว่าเขาก็ยังคงยิ้ม “ข้าไปก่อน ไว้คราหน้าข้าจะเลี้ยงไก่ย่างเจ้า ! และรับรองว่าจะมิเอ่ยชื่อนั้นอีก ! ”
“ช้าก่อน ! ”
ฉือมู่หันหลังมา “มีอันใด ? ยังจะสู้ต่ออีกเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าชนะแล้ว ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”
“สู้บ้าบออันใดกัน ข้าขอเอ่ยถามเจ้าสักหน่อยว่า สิบสองคนนั้นเข้าไปด้านในแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน ? ต้วนหยุนโฉวแห่งภูเขาดาบ ศิษย์พี่ทั้งสามแห่งสำนักป่ากระบี่ กันปู้หุ่ยแห่งเขตเหนือ กงซุนแห่งแคว้นอี๋…หากมิใช่เพราะข้าได้รับคำสั่งจากท่านท่าป๋าชิวให้ร่วมมือกับพวกมัน ข้ายังนึกคิดไปว่าที่นี่ได้จัดแข่งขันจอมยุทธเสียอีก ! ”
หนิงซือเหยียนนตกตะลึง “ภารกิจของเจ้าคือมารั้งข้าไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เดิมทีข้าต้องการสังหารเจ้า แต่ในเมื่อสังหารเจ้ามิได้ก็มิสังหารแล้ว ! ”
“ด้านในวางแผนกันมาเยี่ยงไร ? ”
“สิบเอ็ดคนต่อสู้กับโหยวเป่ยโต้ว และอีกหนึ่งคนเข้าไปฆ่าฟู่เสี่ยวกวน”
โหยวเป่ยโต้วมาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
หนิงซือเหยียนวางใจลงเล็กน้อย มิน่าเล่าฟู่เสี่ยวกวนจึงมิเข้าไปในจายซิงถาย คาดว่าเจ้าหมอนั่นคงจะรู้ว่าโหยวเป่ยโต้วจะมาที่นี่
เขาเข้าใจฟู่เสี่ยวกวนผิดไป ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่อยากเห็นว่าจักรพรรดิเหวินกำลังทำสิ่งใดอยู่ ?
หากว่าเรื่องที่ตนเป็นบุตรนอกสมรสนั่นคือเรื่องจริง แน่นอนว่าจักรพรรดิเหวินจะมินิ่งดูดายอย่างแน่นอน ต่อให้เขามิใช่บุตรนอกสมรสอย่างแท้จริง แต่เรื่องในค่ำคืนนี้ที่เกิดขึ้น ถ้าจักรพรรดิเหวินมีความคิดสักเล็กน้อย เขาก็คงจะรับรู้ล่วงหน้าไปแล้ว
เขาเดิมพันว่าจักรพรรดิเหวินจะต้องส่งคนมาจัดการเป็นแน่ ดังนั้นสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็คือปืนในมือเขาในตอนนี้ !
“หากมีโหยวเป่ยโต้วอยู่ พวกเจ้าย่อมฆ่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นแน่”
ฉือมู่หัวเราะออกมาอย่างประหลาดใจ “เจ้ามองโหยวเป่ยโต้วสูงเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมองต้วนหยุนโฉวต่ำเกินไป อีกอย่าง…ผู้ที่ลงมือจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนคือกงซุน ผู้มีฝีมือด้านอาวุธลับ ที่สามารถปลิดชีพผู้คนได้โดยไร้ร่องรอย แม่นางกงซุน ! ”
……
เป่ยหวังฉวนมิได้เลือกที่จะเทียบท่าที่เจี้ยนหลู
บัดนี้เขามิมีเวลามากพอที่จะไปประลองฝีมือกับศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งเจ็ด อีกทั้งยังมิมีความสามารถพอ
แขนที่เขาใช้จับธนูนั้นกระดูกได้แตกละเอียด เขารู้ดีว่าหากตนหยิบคันธนูขึ้นมาอีกคราจะเกิดอันใดขึ้น
เขาอ้อมจากเจี้ยนหลู ไปยังคฤหาสน์บนทะเลสาบจิ้งหู
เขายังคงแบกธนูสุริยะพิฆาตเอาไว้ในมือ และยังถือศรธนูเหล็กนั่นเอาไว้
ฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ นี่คือจุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้ มิมีสิ่งใดแน่นอน เมื่ออยู่ในเมืองเปียนเฉิง เขาคาดหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายด้วยลูกศรจากน้ำมือเขา แต่บัดนี้ เขากลับจะเข้าไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน
เรื่องแผนการฆ่าที่เมืองเปียนเฉิงนั้น เขาถูกไหว้วานโดยจัวอี้สิง แต่จัวอี้สิงมิได้บอกว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสขององค์จักรพรรดินี่
จัวอี้สิงกล่าวว่าองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย โดยให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก…มองดูแล้วจัวอี้สิงจะต้องหลอกลวงเขาเป็นแน่
ในเมื่อตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏออกมาแล้ว ดังนั้นหากฟู่เสี่ยวกวนตายไป ฝ่าบาทจะทรงทำในสิ่งที่คาดมิถึงเป็นแน่ ส่วนจักรพรรดินีเซียวนั้นคงจะต้องออกมายืนหยัดต่อสู้ เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้เกรงว่าจะเป็นดั่งเมื่อสิบสองปีก่อน ณ ทะเลสาบสือหลี่นั่น
เขาใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดในการแหวกเมฆหมอกให้เปิดทางออก เขาเข้าใกล้คฤหาสน์จิ้งหูมากขึ้นทุกที
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นมา สายตามองไปยังแสงจากดาบและกระบี่ที่กระทบกัน ทันใดนั้น…สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันพลัน !
มีดบินสีดำห้าเล่มฝ่าหมอกหนานี้ตรงเข้าไป “ฉึบ ! ” เล่มแรกปักเข้าที่มือขวาของฟู่เสี่ยวกวน “ฉึบ ! ” เล่มที่สองปักเข้าที่กลางใจ เล่มที่สามถูกมือขาวราวหยกของโหยวเป่ยโต้วรับไว้แทน ส่วนเล่มที่สี่ปักเข้าที่ช่องท้องของฟู่เสี่ยวกวน เล่มที่ห้าเล่มสุดท้ายถูกโหยวเป่ยโต้วคีบเอาไว้ในมือ
บัดนี้ มีดบินของแม่นางกงซุนทั้งห้าเล่มปักเข้าที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวนสามเล่มซึ่งล้วนตรงจุดสำคัญทั้งสิ้น ฟู่เสี่ยวกวนถูกแรงจากมีดทั้งสามเล่มนั้นอัดจนล้มลง เขาส่งเสียงดัง “อึก ! ” ออกมา เป่ยหวังฉวนหันไปมองแล้วตกตะลึงยิ่ง…ไอหยา ข้ามาช้าไปหนึ่งก้าว
โหยวเป่ยโต้วตกใจเป็นอย่างมาก !
เขาสะบัดมือทั้งสองข้างออก เลือดกระเซ็นท่ามกลางอากาศราวกับดอกเหมย
ส่วนต้วนหยุนโฉวชักดาบยาวออกมากวัดแกว่ง !
“ท่านผู้อาวุโส ท่านแก่เกินไปแล้ว ! ”
ต้วนหยุนโฉวกระโดดขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครา ดาบนั้นกวัดแกว่งไปในเมฆหมอกหนา ทำให้หมอกกลุ่มนั้นกระจัดกระจายไร้ทิศทางอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นเขาก็ฟันมันลงมา
แม่นางกงซุนที่ยืนอยู่มิไกล นางได้จัดแจงทรงผมของนางจากนั้นมือของนางก็ปรากฏมีดบินอีกห้าเล่มขึ้นมา ครานี้เป้าหมายของนางคือโหยวเป่ยโต้ว !
หากนางฆ่าปรมาจารย์ได้หนึ่งคน ก็หมายความว่าปรมาจารย์จะน้อยลงหนึ่งคน โลกใบนี้…มิจำเป็นต้องมีปรมาจารย์มากมายถึงเพียงนี้ !
นางตวัดมือแล้วกำลังจะยื่นออกไป แต่ทว่ากลับชะงักลง !
ดวงตาของนางที่สลัว บัดนี้กลับกระจ่างยิ่ง
นางมองไปยังเมฆหมอก…ตรงที่ไกลออกไปนั้น ดูเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมาทางนาง ในมือกำลังถือคันธนูอยู่
นางมองเห็นลูกศรนั่นพุ่งตัดหมอกหนาเข้ามาหานาง !
ลูกศรมาจากทางตะวันออก ไร้เสียงไร้ร่องรอยตัดผ่านหมอกหนาเข้ามา มองดูแล้วคล้ายกับอยู่ไกล แต่ก็มาถึงในเวลาอันรวดเร็ว
นางมองไปยังลูกศรดอกนั้น เดิมทีควรที่จะลุกเป็นไฟ แต่มันกลับมืดมนราวกับแววตาแห่งมัจจุราช
แววตานั้นจ้องมายังคำลอของนาง นางส่งเสียงอู้อี้ออกมา จากนั้นก็หงายหลังล้มลงจากต้นสนดัง “ตุ๊บ… ! ”
ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีแดงสดทะลักออกมา ดวงตายังคงเบิกกว้าง ในแววตาราวกับยังคงมีเงาของลูกศรดอกนั้นอยู่ !