แสงที่ 67 ฐานที่มั่นจุดที่ 56
“เวร เวร เวรแล้วไง..”ผมที่กัดเล็บเดินวนเวียนไปมาด้วยความร้อนใจ..
“สรุปนายลืมม้าเอาไว้ที่สถาบันอย่างงั้นสินะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันให้ยืมตัวหนึ่ง..”ดิ๊กที่บอกกับผม..
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น เจ้ามาตัวนั้นมันไม่ใช่ม้าธรรมดาน่ะสิครับ..”ผมที่กล่าวกับจ่าดิ๊ก..
“ไม่ใช่ม้าธรรมดา..?”ดิ๊กที่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา แต่แล้ว..
“ฮี๋..!!!~”
ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงม้าที่ร้องดังมาแต่ไกล ก่อนจะปรากฏให้เห็นเป็นร่างของไอ้เจ้าเวเดอร์ที่กำลังควบวิ่งตรงเข้ามา โดยที่ร่างของมันในตอนนี้กำลังลุกโชดช่วงไปด้วยเปลวเพลิง อีกทั้งยังมีทหารกลุ่มหนึ่งที่ขี่ม้าวิ่งไล่ตามมันมา..
“ล้อมไอ้เจ้าอาชาทมิฬเอาไว้..!”เสียงตะโกนของทหารที่ดังขึ้น ก่อนที่ร่างของทหารจำนวนห้าคนจะควบม้าเข้าไปปิดล้อมไอ้เจ้าเวเดอร์เอาไว้..
“นะ..นั่นมันอาชาทมิฬหนิ..”จ่าดิ๊กที่กล่าวออกมาอย่างอึ้งๆ เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ผมจะรีบวิ่งตรงออกไปหามัน..
“ทำไมเจ้านั่นถึงได้มาอยู่ที่นี่..?”เสียงของลูเซียนที่กล่าวออกมา ร่างของเธอ เทรน อาทิสและเจมิไนท์ที่น่าจะอยู่ในห้องประชุมกลับพากันเดินออกมาจากอาคารสู่ลานกว้าง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น..
ก่อนที่หลังจากนั้นลูเซียนพร้อมด้วยพลตรีทั้งสามจะเดินเข้าไปหาเวเดอร์ที่กำลังถูกเหล่าทหารรายล้อม..
“ถอยไป..เดี๋ยวฉันจัดการเอง..”ลูเซียนที่ตะโกนออกคำสั่งกับเหล่าทหาร เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ผมจะวิ่งมาถึง..
“ขอโทษด้วยครับ..เจ้านี่คือม้าของผมเอง..”ผมที่วิ่งหน้าตั้งตรงเข้ามาหยุด ก่อนจะบอกกับลูเซียนและทุกๆคน
“อะไรนะ..?!!”ลูเซียนและพลตรีทั้งสามที่ต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ทุกๆคนต่างพากันแสดงสีหน้าตกตะลึง เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ผมจะเดินเข้าไปลูบหัวของไอ้เจ้าเวเดอร์..
“งับ..!”
“อ้าว..ก้าวร้าว..!”
ผลั๊ว..!
ไอ้เจ้าเวเดอร์ที่อ้าปากงับมือของผม โชคดีที่ผมชักมือกลับออกมาทัน ก่อนจะจัดการซัดหน้ามันไปหนึ่งหมัด จนหัวส่าย..
[เจ้าทิ้งข้า..!]
“ไม่ได้ทิ้งเว้ย แต่ฉันลืม..”ผมที่บอกกับไอ้เจ้าเวเดอร์ มันสะบัดหัวหนีเหมือนกับกำลังงอนผม..
[นั่นแหละ..เจ้าทิ้งข้า..!]
เวเดอร์ที่ตะโกนออกมาด้วยความน้อยใจ เฮ้อ..ม้างอน..
“ขอโทษ..ให้อภัยฉันเถอะนะ กลับมาจากทำภารกิจเมื่อไหร่เดี๋ยวจัดม้าสาวเด็ดๆให้ตัวหนึ่ง เพื่อเป็นการไถ่โทษ..”ผมที่บอกกับไอ้เจ้าเวเดอร์พอมันได้ยินก็หูผึ่ง..
[ก็ได้..! สัญญาแล้วนะ..]
เวเดอร์ที่เอาหน้าเข้ามาซุกไซร้ผม ท่ามกลางความตกตะลึงของลูเซียนและพลตรีทั้งสาม..
[โชคดีที่พวกเราทำพันธสัญญากันแล้ว ข้าก็เลยวิ่งตามกลิ่นของเจ้ามา ข้านึกว่าเจ้าจะทิ้งข้าแล้วซะอีก.]
“ฉันจะทิ้งเพื่อนของฉันได้ยังไงกันล่ะ..”ผมที่ตอบกลับไอ้เจ้าเวดอร์ ซึ่งทุกๆการสนทนาผมได้ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกกับมัน..
“ละ..เหลือเชื่อ นะ..นี่แกทำพันธสัญญากับอาชาทมิฬได้ยังไงกัน..?”ลูเซียนที่กล่าวออกมาอย่างอึ้งๆ..
“มันต่างหากที่ทำพันธสัญญากับผม ขอโทษทุกคนนะครับที่ทำให้เดือดร้อน..”ผมที่ตอบกลับลูเซียน ก่อนจะหันไปบอกกับพวกทหารที่เข้ามาช่วยจับ โดยที่ทุกๆคนก็ได้แต่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก..
“สะ..สิบตรี สตาร์..ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังทีสิ แกรู้หรือเปล่าว่าเจ้าม้าตัวนั้นมันล้ำค่ามากแค่ไหน..”เทรนที่กล่าวกับผม โดยที่ทุกๆคนก็ต่างพากันอยากที่จะรู้..
“เอาไว้หลังจากที่กลับมาผมจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมต้องรีบไปทำภารกิจ..”ผมที่ตอบกลับเทรน เมื่ออีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม..
“เข้าใจแล้ว กลับมาเมื่อไหร่มาเล่าให้ฉันฟังโดยละเอียดด้วย..”ลูเซียนที่บอกกับผม..
“ครับท่าน จ่าดิ๊กยังไงรบกวนนำทางผมด้วยครับ..”ผมที่ตอบกลับ ก่อนจะหันไปบอกกับจ่าดิ๊กที่วิ่งตามมา โดยที่อีกฝ่ายกำลังยืนทำตาถล่นอยู่ไม่ไกล อะไรกันก็แค่ม้าตัวเดียวทำเป็นอึ้งกันไปได้..
“จ่าดิ๊ก..ไม่ได้ยินหรือไง..?”เทรนที่กล่าวออกมา เมื่อเห็นว่าจ่าดิ๊กกำลังสติหลุดลอยออกไป..
“คะ..ครับ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปเอาม้ามาก่อน..”จ่าดิ๊กที่ขานรับและหันมาบอกกับผม ก่อนจะรีบวิ่งไปยังคอกม้า เขาไปเพียงแค่ไม่นานก็ควบม้ากลับมา..
“เอาล่ะพร้อมแล้ว..”จ่าดิ๊กที่กล่าวออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงกระโดดขึ้นไปซ้อนท้ายเขา..
ฟุบ..
“หะ..หืม..? ทำไมนายถึงมาขึ้นม้าของฉันล่ะ..”จ่าดิ๊กที่ถามผม โดยที่ลูเซียนกับทุกๆคนได้แต่ยืนสงสัยด้วยเช่นกัน..
“ผมขี่ม้าไม่เป็นน่ะครับ กะว่าพอเสร็จภารกิจเมื่อไหร่จะลองฝึกขี่ดู..”ผมที่กล่าวออกมา เมื่อจ่าดิ๊ก ลูเซียนและพลตรีทั้งสามได้ยินก็ต่างพากระพริบตาปริบๆ..
“อุ๊บ..ฮ่าๆ ๆ นี่แกขี่ม้าไม่เป็นเนี่ยนะ เด็กเจ็ดขวบยังขี่ได้เลย..”ลูเซียนที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ส่วนทางด้านของเจมิไนท์กับเทรนก็ถึงกับเอามือกุมขมับ..
“มีม้าดีขนาดนี้แต่ขี่ไม่เป็นเนี่ยนะ เหลือเชื่อเลยจริงๆ..”อาทิสที่สบถออกมา..
“ยังไงก็รบกวนด้วยครับ..”ผมที่บอกกับจ่าดิ๊ก โดยที่อีกฝ่ายก็มีท่าทีเก้ๆกังๆ ก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาจะควบม้าออกไป..
“เวเดอร์ตามมา..!”ผมที่บอกกับไอ้เจ้าเวเดอร์ เมื่อมันได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดเปลวเพลิงออกมาอีกครั้ง ก่อนจะออกตัววิ่งตามผมมา..
“เฮ้อ..จะรอดไหมเนี่ย..”เทรนที่ถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นกังวล..
“มันก็ไม่แน่หรอก เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องประชุม ตั้งแต่ที่เจ้าเด็กนั่นเดินเข้ามาฉันไม่สามารถสัมผัสอะไรจากตัวของมันได้เลย จนกระทั่งหลังจากที่ฉันได้ทำการทดสอบและพูดคุยกับมัน มันก็ทำให้ฉันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา เมื่อพลตรีทั้งสามได้ยินแบบนั้นก็ต่างขมวดคิ้วด้วยความสงสัย..
“เจ้านั่นน่ะ..มันไม่เหมือนกับทหารที่ไร้ประสบการณ์ ถึงฉันจะไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ แต่ฉันกลับสัมผัสได้ว่ามันคือทหารที่ผ่านสมรภูมินองเลือดมาแล้วอย่างโชดโชน แถมมันยังสยบอาชาทมิฬได้อีก ไม่แน่ว่าภารกิจในครั้งนี้..เจ้าเด็กนั่นอาจจะสร้างผลลัพธ์ที่พวกเราไม่คาดคิดอีกก็ได้..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา คำพูดของเธอทำให้พลตรีทั้งสามต่างพากันกลืนน้ำลาย เพราะว่าพลเอกผู้นี้มีแววตาที่เฉียบคม ไม่เคยมองคนพลาดไปเลยสักครั้ง..
“ภารกิจจู่โจมกวาดล้างพิฆาตทมิฬงั้นเหรอ..? น่าสนใจดีหนิ..ขอดูหน่อยก็แล้วกันว่ามันคือกลยุทธ์แบบไหน..”ลูเซียนที่กล่าวออกมา ก่อนจะสะบัดหมุนตัวเดินกลับไป..
5 ชั่วโมงต่อมา..
กร็อบๆ ๆ
หลังจากที่ผมกับจ่าดิ๊กเดินทางออกมาจากศูนย์บัญชาการ พวกเราก็ได้มุ่งหน้าสู่ฐานที่มั่นจุดที่ 56 ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก
ซึ่งตลอดการเดินทางผมได้เสาะถามข้อมูลเพิ่มเติมจากจ่าดิ๊ก จนได้รับรู้ถึงข้อมูลสำคัญต่างๆมามากมาย โดยที่ศูนย์บัญชาการชายแดนทางทิศตะวันตกที่สอง ตอนนี้นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพเอทารอส ที่นั่นมีพันตรีที่คอยรักษาการอยู่..
โดยที่ศูนย์บัญชาการชายแดนทางทิศตะวันตกถูกแบ่งออกเป็นสามศูนย์บัญชาการหลักๆด้วยกันสามแห่ง ได้แก่ศูนย์บัญชาการชายแดนที่หนึ่ง สองและสาม
ทุกๆศูนย์บัญชาการชายแดนจะมีหน้าที่คอยสังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว ในกรณีที่ฐานที่มันจุดไหนถูกตีแตก ศูนย์บัญชาการชายแดนที่อยู่ใกล้ที่สุดจะจัดเตรียมกองกำลังทหารเพื่อคอยรับมือและจะส่งเรื่องไปขอกำลังเสริมจากศูนย์บัญชาการหลักให้มาสมทบ..
นอกเหนือจากนี้ในแต่ละฐานที่มั่นทุกๆจุดจะมีหน้าที่และอาณาเขตรับผิดชอบเป็นของตัวเอง ในกรณีที่ฐานที่มั่นจุดใกล้เคียงถูกตีแตก ฐานที่มั่นจุดที่อยู่ใกล้ก็จะไม่ส่งกองกำลังมาช่วยเหลือหรือสนับสนุน เพราะอาจจะทำให้ฐานที่มั่นของตัวเองถูกลอบโจมตีได้
ซึ่งมันก็คือระบบที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฐานที่มั่นจุดที่ 56 ถึงไม่ขอความช่วยเหลือจากฐานที่มั่นจุดที่ 57 และ 58..
กร็อบๆ ๆ ๆ
“นี่นายน่ะ..ทำไมท่านพลตรีถึงส่งสิบตรีอย่างนายไปที่ชายแดนกันล่ะ..?”จ่าดิ๊กที่เปิดประเด็นถามผมด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ว่าเทรนส่งผมไปทำอะไร..
“อ้าว..แล้วจ่าไม่รู้เหรอ..?”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน จู่ๆเขาก็สั่งให้ฉันหามีดมาให้แกและสั่งให้ฉันพาแกไปส่งยังฐานที่มั่นจุดที่ 56 แถมยังเซ็นต์เอกสารมอบอำนาจมาให้แกอีกด้วย..”จ่าดิ๊กที่อธิบาย ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไง ผมเองก็นึกว่าเขารู้อยู่แล้ว นี่เขาเดาไม่ออกเลยเหรอว่าพลตรีเทรนส่งผมไปทำอะไรยังฐานที่มั่นจุดที่ 56 พร้อมกับเอกสารมอบอำนาจ..
“เดี๋ยวถึงจ่าก็รู้เองนั่นแหละ ที่เขาให้จ่ามากับผมก็เพื่อที่จะให้จ่าไปยืนยันกับร้อยเอกลิลิธว่าเนื้อหาภายในเอกสารมอบอำนาจเป็นคำสั่งที่ท่านพลตรีมอบหมายมาโดยตรงจริงๆ..”ผมที่บอกกับจ่าดิ๊ก ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ..
ซึ่งหลังจากที่ใช้เวลาออกเดินทางมานานนับ 3 ชั่วโมง ตลอดการเดินทางดิ๊กนั้นไม่ได้ชะลอความเร็วของม้าจึงทำให้พวกเราผ่านศูนย์บัญชาการชายแดนทางทิศตะวันตกที่สอง และจวนจะมาถึงจุดหมายได้ไวกว่าปกติ จากเดิมที่ต้องใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงในการเดินทาง
ณ ฐานที่มั่นจุดที่ 56
“พวกเรามาถึงแล้ว..”จ่าดิ๊กที่บอกกับผม เส้นทางข้างหน้าห่างออกไปประมาณ 50 เมตรปรากฏให้เห็นเป็นแคมป์ที่พักขนาดใหญ่ โดยที่แคมป์ดังกล่าวมีเต็นส์และกระโจมที่ถูกปลูกเอาไว้กว่าหลายร้อยหลังถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วไม้ แถมในแต่ละจุดของรั้วไม้ยังมีร่างของเหล่าทหารที่ประจำตำแหน่งคอยเฝ้าสังเกตการณ์ยืนอยู่ตลอดแนว
กร็อบๆ ๆ ๆ
“เปิดทาง..ภารกิจระดับ 4 ฉันได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากท่านผู้บัญชาการสูงสุดพลตรีเทรน ขอเข้าพบกับร้อยเอกลิลิธ..”จ่าดิ๊กที่กำลังควบม้าตรงไปยังทางเข้า พลันตะโกนบอกกับทหารที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า..
ฟุบ..
ทหารที่เปิดเส้นทางทำให้จ่าดิ๊กควบม้าผ่านเข้าไปโดยไม่จำเป็นที่จะต้องชะลอ ก่อนที่สุดท้ายแล้วพวกเราจะเคลื่อนตัวเข้ามาภายในแคมป์ ระหว่างทางสิ่งที่ผมเห็นคือร่างของทหารกว่าหลายนายทั้งทารอนและคีทารัสที่ได้รับบาดเจ็บนอนเรียงแถวยาวกันเป็นตับ..
“อะ..โอ้ย จะ..เจ็บ..”
“ฉันยังไม่อยากตาย..”
“ขะ..ขาฉัน มะ..ไม่..”
เสียงโอดครวญที่ดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ แม้ม้าจะควบวิ่งผ่านมาแล้ว แต่เสียงร้องยังคงดังไล่หลังมาให้ได้ยินอยู่อย่างชัดเจน..
กร็อบๆ ๆ ๆ
“หยุด..!”จ่าดิ๊กที่ควบม้าตรงเข้ามายังกระโจมขนาดใหญ่ ก่อนจะกระชากบังเหียนให้ม้าหยุดวิ่ง..
“ถึงแล้ว..”จ่าดิ๊กที่หันมาบอกกับผม พวกเราสองคนพลันกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนที่ดิ๊กจะเดินนำผมตรงไปยังกระโจม
โดยที่หน้าทางเข้าของกระโจมดังกล่าวในเวลานี้ มีจ่าสิบตรีสองนายที่กำลังยืนคุ้มกันอยู่ ทันทีที่ดิ๊กเดินเข้าไปใกล้ ทหารทั้งสองนายก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์..
พรึ้บ..
“ฉันได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากท่านพลตรีเทรน ให้มาเข้าพบกับร้อยเอกลิลิธี เพื่อถ่ายทอดคำสั่งใหม่..”ดิ๊กที่บอกกับจ่าสิบตรีทั้งสอง เมื่อพวกเขาได้ยินก็เปิดทางให้..
“ตามมาสิ..”ดิ๊กที่หันมาบอกกับผม ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดม่านกระโจมและเดินนำเข้าไป..
พรึ้บ..!
ซึ่งทันทีที่ผมเดินตามเทรนเข้ามาภายในกระโจม ภาพแรกที่ได้เห็นนั่นก็คือหญิงสาวสองคนที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนโต๊ะ คนแรกเป็นทหารยศร้อยเอก ส่วนอีกคนเป็นทหารยศร้อยโท ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนรับมือกันอยู่..
ฟุบ..!
“ผมจ่าสิบเอกดิ๊กขอแสดงความเคารพต่อท่านร้อยเอกลิลิธและร้อยโทเรน กระผมได้รับคำสั่งโดยตรงจากท่านพลตรีเทรนให้นำเอกสารสำคัญมาส่งมอบให้กับท่านร้อยเอกลิลิธ..”ดิ๊กที่เดินมาหยุดอยู่ พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นมาทำความเคารพหญิงสาวทั้งสอง..
กึกๆ
ร่างของลิลิธที่กำลังนั่งหันหลังให้ผมและดิ๊กพลันชันตัวลุกพรวดขึ้น ส่วนร้อยโทที่ชื่อเรนก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจพวกเราตั้งแต่ที่เข้ามา เธอเอาแต่จ้องมองลงไปบนแผนที่ภูมิศาสตร์ด้วยสีหน้าที่เครงเครียด..
“จ่าสิบเอกดิ๊ก..?”ลิลิธที่สบถ พร้อมกับค่อยๆหันหน้ากลับมา ซึ่งทันทีที่ผมได้เห็นใบหน้าของเธอ ผมก็พลันต้องหยุดชะงักไปชั่วขณะ
เธอเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาน่ารัก มีเส้นผมและดวงตาเป็นสีน้ำตาล อีกทั้งยังมีสัดส่วนที่ดูดีเป็นอย่างมาก ภายใต้ชุดยูนิฟอร์มทหารสีดำปรากฏให้เห็นหน้าอกขนาดคัพ D อีกทั้งภายใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่งยังจ้องมองมาทางดิ๊กด้วยแววตาที่เฉียบคม
แต่ที่สำคัญกว่านั้น..ชุดยูนิฟอร์มของเธอคนนี้แตกต่างจากชุดยูนิฟอร์มของทหารหญิงที่ผมเคยเจอ จากท่อนล่างที่เป็นกระโปรงสั้นๆ แถมยังสวมถุงน่องเอาไว้..!
“อู้ววววว เบิ้มๆ ถุงน่อง..!!!!!!!!! จะต้องเป็นสายดุหรือไม่ก็คลูแหงๆ..”ไอ้จ้อนที่ส่งเสียงออกมา แต่ทว่า..
“จ่าสิบเอกดิ๊ก..”ลิลิธที่กล่าวออกมา ก่อนที่จู่ๆเธอจะน้ำตาคลอเบ้าผสานกับใบหน้าที่เบะย่น “..แง..!~”
ฟุบ..!
“ฮะ..เฮ้ย ท่านร้อยเอก..!”ดิ๊กที่ถึงกับร้องลั่น เมื่อจู่ๆลิลิธที่ยืนอยู่ก็พุ่งเข้ามาเกาะขาของเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็ก..
“อะ..อ้าว..”ไอ้จ้อนที่ส่งเสียงออกมา เมื่อสิ่งที่เห็นไม่เป็นไปอย่างที่คิด..
“ในที่สุดท่านพลตรีก็มีคำสั่งมาสักที พวกเราจะตายกันหมดอยู่แล้ว คำสั่งที่ว่าคือคำสั่งถอนกำลังพลใช่ไหม ช่วยตอบว่าใช่ทีเถอะจ่าสิบเอกดิ๊ก..!”ลิลิธที่กล่าวออกมา เธอกำลังสติแตก..
“เฮ้อ..~”เสียงถอนหายใจของเรนที่ดังออกมา เธอพลันยกฝ่ามือขึ้นมากุมขมับ โดยที่ร้อยโทคนนี้ เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ดูมีอายุมากกว่าลิลิธ แต่กลับดูสุขุมกว่า ส่วนเรื่องหน้าตาถึงจะไม่ได้สวยแบบเวอร์วังแต่ก็ดูมีเสน่ห์จนผมเกือบจะละสายตาไปไม่ได้..
“รอดตายแล้ว..จะได้กลับไปหาเจ้าด็อกกี้แล้ว ฮึกๆ ๆ..”ลิลิธที่ยังคงร้องไห้กระซิก เธอพลันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา พลางเอ่ยชื่อของใครบางคน ถ้าให้เดาคงจะเป็นสัตว์เลี้ยง..
ยัยผู้หญิงขี้แยที่ดูเซ่อซ่าคนนี้น่ะเหรอผู้บัญชาการของกองร้อยที่ 7 และ 8 ไหงถึงแตกต่างจากที่ผมคิดเอาไว้อย่างลิบลับ..
“มะ..ไม่ใช่ครับ ไม่ได้มีคำสั่งถอนกำลังพล แต่เป็นคำสั่งส่งมอบอำนาจ..”ดิ๊กที่กล่าวออกมาพอลิลิธได้ยินก็ถึงกับร่างกระตุก ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าคอตกลงไป ส่วนทางด้านของเรนก็พลันหันมามอง..
“คำสั่งส่งมอบอำนาจ..กะแล้วเชียวว่าสุดท้ายมันจะต้องเป็นแบบนี้ อย่างฉันน่ะไม่ไหวหรอก แต่มันก็ช่วยไม่ได้หนิ..ฉันไม่เชี่ยวชาญภูมิศาสตร์ของชายแดนทางทิศตะวันตก แถมกองกำลังของศัตรูยังมีสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย..”ลิลิธที่กล่าวออกมา สัตว์ประหลาดงั้นเหรอ..?
“ยังไงก่อนอื่นท่านร้อยเอกช่วยอ่านเอกสารก่อนเถอะครับ..”ดิ๊กที่บอกกับลิลิธ ก่อนจะหยิบนำเอกสารที่บรรจุอยู่ภายในซองจดหมายออกมายื่นส่งให้อีกฝ่ายที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่
โดยลิลิธที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ก็รับมันมา พร้อมกับค่อยๆเปิดซองหยิบนำเอกสารออกมาเปิดอ่านด้วยท่าทีที่กำลังจิตตก..
“หืม..?”ลิลิธที่ชะงักไปชั่วขณะ ฝ่ามือที่กำลังจับเอกสารพลันยกมันขึ้นมาดูใกล้ๆ เหมือนกับกำลังเริ่มอ่านเนื้อหาของมันใหม่ตั้งแต่ต้น..
“นะ..นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย..?”ลิลิธที่สบถออกมา ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมองดิ๊ก..
“เอกสารนี้ท่านพลตรีเทรนเป็นคนส่งมาจริงๆเหรอ..?”ลิลิธที่เอ่ยถาม..
“รับมากับมือเลยครับ และท่านพลตรีก็กำชับมาด้วยว่าท่านไม่ได้เขียนผิดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว เหมือนกับรู้ว่าท่านร้อยเอกจะต้องถามแบบนี้..”ดิ๊กที่ยืนยันคำตอบ พอลิลิธได้ยินแบบนั้นก็ช็อคไปชั่วขณะ..
“ละ..แล้วสิบตรีสตาร์อยู่ที่ไหน..?”ลิลิธที่เอ่ยถามกับดิ๊กด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมามองผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง..
ฟุบ..!
พรึ้บ..!
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า กระผมสิบตรีสตาร์ได้รับคำสั่งโดยตรงจากท่านพลตรีให้มารับช่วงต่อเป็นผู้บัญชาการภารกิจปกป้องฐานที่มั่นจุดที่ 56 ต่อจากท่านร้อยเอก ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ..”ผมที่ก้าวขาหนึ่งก้าว พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ ก่อนจะเปล่งเสียงกล่าวรายงานตัว
“ห้ะ..!!!?”ดิ๊กกับเรนที่กู่ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ส่วนทางด้านของลิลิธที่ได้รับคำยืนยันจากปากของผมก็ถึงกับหน้าแห้ง..
“ฮ่าๆ ๆ ท่านพลตรีเนี่ยนะ คงคิดว่าฉันกำลังถอดใจจากภารกิจก็เลยส่งสิบตรีมาหลอกว่าเป็นผู้บัญชาการต่อ หรือไม่ก็คงจะกำลังดูถูกความสามารถของฉันว่าไม่ต่างอะไรกับสิบตรี เข้าใจแล้ว..ฉันไม่ถอดใจหรอก เอาล่ะ..มาเตรียมแผนรับมือกันดีกว่า..”ลิลิธที่หัวเราะออกมา พร้อมกับชันตัวลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินกลับไปยังแผนที่ภูมิศาสตร์ เสียงหัวเราะของเธอมันเป็นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนที่กำลังจิตตก..
“ร้อยเอกลิลิธ ช่วยตั้งสติด้วย..ผมถูกส่งให้มารับช่วงต่อภารกิจนี้จริงๆ..”ผมที่กล่าวยืนยันออกมา ทำให้ลิลิธที่กำลังเดินต้องหยุดชะงัก ส่วนทางด้านของดิ๊กกับเรนก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก.
“นะ..นี่มันหมายความว่ายังไงสิบตรีสตาร์..?”
“ก็หมายความอย่างที่ได้ยินนั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้ผมได้เข้าไปประชุมกับท่านพลเอกลูเซียนและพลตรีของหน่วยพยัคฆ์คลั่งทั้งสาม ก่อนที่สุดท้ายจะได้ขอสรุปออกมา
ผมนั้นได้รับมอบหมายหน้าที่จากท่านพลตรีเทรนให้มาควบคุมดูแลและวางกลยุทธ์ในการโต้ตอบศัตรูที่กำลังจะเคลื่อนพลออกมาจากป่าเซลฟอส..”สิ้นคำพูดของผม คนทั้งสามก็ถึงกับสะอึก..
“ฮะ..ฮึก มะ..ไม่จริง ฉันไม่เชื่อหรอก ท่านพลตรีคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งสิบตรีอย่างนายมาก ท่านกำลังคิดที่จะส่งพวกเราไปตายใช่ไหม จ่าสิบเอกดิ๊กบอกฉันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง..?”ลิลิธที่กล่าวออกมาอย่างรับไม่ได้ ก่อนจะหันไปถามกับดิ๊ก..
“ผะ..ผมขอยืนยันว่าข้อมูลในเอกสารนั้นเป็นความจริง ถึงมันเป็นอะไรที่ยากเกินจะปักใจเชื่อก็เถอะ ยังไงหน้าที่ของผมที่ได้รับมอบหมายก็เสร็จสิ้นแล้ว ถ้าอย่างงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ..”ดิ๊กที่ตั้งสติพลันกล่าวยืนยันออกมา ทันทีที่พูดจบเขาก็รีบชิ่งออกไปในทันที..
“ดะ..เดี๋ยวสิ จ่าสิบเอกดิ๊ก กลับมาก่อนนะ..จ่า..!!!”ลิลิธที่ตะโกนร้องห้ามพร้อมกับวิ่งตามดิ๊กออกไป แต่ทันทีที่เปิดม่านกระโจมออก สิ่งที่พบก็คือจ่าดิ๊กที่ควบม้าชิ่งหนีไปแล้ว..
“ฮึก..ไปซะแล้ว..”ลิลิธที่หันหน้ากลับมา ใบหน้าของเธอคล้ายกับคนที่กำลังจะร้องไห้..
“เอาล่ะ..อันดับแรกผมอยากจะรู้ถึงสถานการณ์ล่าสุด ร้อยโทเรนสินะครับ..ยังไงก็ช่วยรายงานสถานการณ์ด้วย..”ผมที่เดินเข้าไปหาเรน ก่อนจะเปิดประเด็นกับอีกฝ่าย..
“ดะ..เดี๋ยวสิ..สิบตรี เธอต่างหากที่ควรจะอธิบายละเอียดของคำสั่งที่ถูกส่งมาก่อน ทำไมสิบตรีอย่างเธอถึงได้ถูกส่งมาเป็นผู้บัญชาการภารกิจกันล่ะ..?”
“นี่..ร้อยโทเรน คุณรู้ไหมว่าผมได้รับอำนาจเบ็ดเสร็จในภารกิจนี้ ในระหว่างที่ผมเป็นผู้บัญชาการ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะสงสัยหรือเอ่ยถาม สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือทำตามที่ผมสั่ง แต่ถ้าเกิดคุณสงสัยในตัวของผมจริงๆ เอาไว้เสร็จภารกิจคุณก็ลองไปถามรายละเอียดกับท่านพลตรีทีหลังก็ได้…”ผมที่กล่าวกับเรน ทันทีที่เธอได้ยินแบบนั้นก็พลันชักสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นว่ามีทหารที่ยศน้อยกว่ากำลังมาวางอำนาจบาดใหญ่และไม่เคารพเธอ แต่ถึงอย่างนั้น..
“อึก..เข้าใจแล้ว..”
“ร้อยโทเรน..!”ลิลิธที่กู่ร้องออกมา เธอคงไม่อยากจะเชื่อว่าร้อยโทอย่างเรนจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้..
“ในเมื่อเอกสารเป็นของจริง เรามีแต่ต้องทำตามหรือว่าท่านร้อยเอกคิดจะขัดคำสั่งของท่านพลตรี..?”เรนที่หันไปถามกับลิลิธ ส่งผลทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายต้องบิดเบี้ยว..
“ฮึก..ทำก็ตาย ไม่ทำก็ตายอยู่ดี แง..!!”ลิลิธที่สติแตกพลันทรุดตัวลงไปกอดเข่านั่งร้องไห้..
“อย่าไปใส่ใจเลยนะ ปกติท่านร้อยเอกไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นหรอก เธอแค่กำลังจิตตกกับภารกิจที่ล้มเหลว แถมยังถูกสิบตรีอย่างนายมาแย่งตำแหน่งอีก..”เรนที่หันมาบอกกับผม..
“อ่า..ครับ ยังไงก่อนอื่นคุณช่วยรายงานสถานการณ์เบื้องต้นให้ผมฟังด้วย..”ผมที่บอกกับเรน เมื่อเธอได้ยินก็แสดงสีหน้าเหมือนกับกำลังรู้สึกแปลกๆ แต่สุดท้ายเธอก็เริ่มที่จะรายงานสถานการณ์เบื้องต้น..
โดยที่สถานการณ์ล่าสุดเท่าที่รู้ ตอนนี้กองกำลังของโนโทเปียกำลังเคลื่อนพลคลืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ พวกมันเองก็ดูเหมือนว่าจะระวังตัวไม่เคลื่อนพลผลี่ผลามโดยพละการ เพราะยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ของทางเราอย่างแน่ชัดว่าจะมีกองกำลังสนับสนุนมาสมทบหรือไม่..
ในเวลานี้กองกำลังของโนโทเปียกำลังปักหลักกลบดานอยู่ภายในป่าเซลฟอส พวกมันได้กระจายกองกำลังกันออกเป็นสี่กลุ่ม ส่วนเหตุผลที่พวกมันทำแบบนั้นคงเตรียมการเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ถ้าเกิดเอลเดียส่งกองกำลังเข้าไปในป่าอีกครั้ง พวกมันก็จะลอบโจมตีได้ง่ายขึ้น..
จุดสีแดง:กองกำลังโนโทเปีย
อีกทั้งในกรณีที่พวกมันเคลื่อนพลเข้ามาประชิดฐานที่มั่น การกระจายกองกำลังกันจะทำให้สามารถโจมตีพวกเราได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น..
แต่การที่พวกมันทำแบบนั้นในสายตาของผมกลับถือว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่า ยิ่งกองกำลังของพวกมันกระจายตัว มันก็ยิ่งง่ายต่อการบุกจู่โจมและเข้าบดขยี้..
“ข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมาได้ก็มีเท่านี้ แต่อีกเดี๋ยวก็น่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เพราะพวกกระทิมันพึ่งจะส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในป่าเซลฟอส..”เรนที่สรุปรายงาน กระทิงที่ว่าคงจะเป็นคำที่ทารอนใช้เรียกคีทารัส..
“แล้วก่อนหน้านี้ที่บอกว่ามีสัตว์ประหลาดมันหมายความว่ายังไง..?”ผมที่เปิดประเด็นถามกับเรน ซึ่งมันก็ถึงกับทำให้เธอต้องสะอึก..
“ถ้าฉันบอกไปเธอจะเชื่อฉันไหม..?”
“หืม..? แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อล่ะ ไหนคุณลองเล่ามา..”
“ก่อนหน้านี้ฉันกับร้อยโทเนกิสของพวกกระทิงได้นำกองกำลังระยะประชิดจากทั้งสองหน่วยเข้าไปจู่โจมกองกำลังของโนโทเปียจากทางด้านข้าง ทันที่พวกเราเข้าไปในอาณาเขตของพวกมัน ฉันและทุกๆคนก็ได้พบเข้ากับสัตว์ประหลาด สิ่งมีชีวิตที่พวกเราได้เห็นมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่า มีร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามนุษย์ปกติถึงสองเท่า อีกทั้งมันยังได้เข้าสังหารกองกำลังของพวกเราภายในระยะเวลาอันสั้น..
ชั่วพริบตาเดียวกองกำลังระยะประชิดของพวกเราก็ได้ถูกพวกมันฆ่าตายไปจนเกือบหมด ตัวของฉันกับร้อยโทเนกิสที่เห็นว่าท่าไม่ดีจึงสั่งถอนกำลัง แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ทหารทุกๆนายได้ถูกพวกมันฆ่าตาย ฉันเองก็คิดว่าจะต้องไม่รอดแล้วแน่ๆ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ตาม..”เรนที่บอกเล่าเรื่องราว ในขณะที่เล่าแววตาของเธอก็แสดงออกถึงความหวาดกลัว..
“สัตว์ประหลาดที่ว่ามันคืออะไร..?”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นอาวุธทดลองที่พวกโนโทเปียมันคิดค้นขึ้นมาก็ได้..”เรนที่กล่าวออกมา เดี๋ยวนะมีอาวุธทดลองด้วยเหรอ..? อารมณ์คงไม่ใช่การทดลองแบบวิทยาศาสตร์อะไรเทือกนั้นแน่ๆ เพราะเท่าที่เห็นวิทยาการด้านนี้มันยังไม่เจริญ จะเป็นการทดลองแบบเวทมนตร์ซะมากกว่า
“ก่อนหน้านี้คุณใช้คำว่าพวก แสดงว่าพวกมันจะต้องมีมากกว่าหนึ่งตัวใช่ไหม..?”
“ใช่..มันมีกันอยู่สี่ตัว แต่ตัวที่อันตรายที่สุดคือตัวสีดำ เบาะแสเดียวที่ฉันรู้คือไอ้สัตว์ประหลาดพวกนั้นมันจะต้องเป็นมนุษย์ จากการที่กลางหน้าอกของพวกมันมีวงจรเวทที่ถูกเปิดอยู่ แถมไอ้เจ้าตัวสีดำยังใช้เอมพาสได้ด้วย..”เรนที่อธิบายออกมา
“สิ่งที่ฉันเล่าให้นายฟัง ตอนนี้ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ ยังไม่มีทหารในฐานที่มั่นจุดที่ 56 คนไหนรู้ยกเว้นเพียงแค่ฉัน ร้อยเอกลิลิธและร้อยเอกกับร้อยโทของพวกกระทิง
ส่วนฉันเองก็พึ่งจะฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไม่นานมานี้ และพึ่งจะได้เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ท่านร้อยเอกได้ฟัง จึงทำให้เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกรายงานไปที่ศูนย์บัญชาการหลัก..”
“เหตุผลที่เก็บเอาไว้เป็นความลับคงกลัวว่าพวกทหารจะเสียขวัญสินะ ถือว่าตัดสินใจได้ดี..”ผมที่กล่าวกับเรน โดยที่เธอก็พยักหน้า..
“ใช่..อันที่จริงร้อยเอกยูริสของทัพกระทิงก็ยังไม่ปักใจเชื่อในรายงานนี้ของฉัน ไม่สิ..เขาไม่เชื่อเลยต่างหาก เขาคิดว่าฉันถูกยาพิษของพวกโนโทเปียจนทำให้เห็นเป็นภาพหลอน แต่ทว่าความจริงแล้วไม่ใช่เลย
สิ่งเดียวที่จะใช้ยืนยันว่าคำพูดของฉันเป็นความจริงได้ก็คงมีแต่ต้องรอให้ร้อยโทเนกิสได้สติฟื้นขึ้นมา..”เรนที่กล่าวออกมา โดยที่เธอกับร้อยโทเนกิสของเหล่าทัพคีทารัสเป็นเพียงสองคนที่รอดชีวิตกลับออกมา ถ้าจะให้รายงานของเธอมีน้ำหนักก็คงมีแต่ต้องรอให้อีกคนที่ไปด้วยฟื้นขึ้นมา
‘สัตว์ประหลาดงั้นเหรอ..? ได้กลิ่นแฟนตาซีตุๆอีกแล้ว ชักจะน่าสนใจขึ้นมาเรื่อยๆแล้วสิ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้คงมีแต่ต้องเข้าไปดูด้วยตาของตัวเอง..’ผมที่ครุ่นคิด ก่อนจะกระตุกรอยยิ้ม
“หืม..? นี่คงไม่ได้คิดจะลุยเดี่ยวอีกแล้วใช่ไหม..?”ไอ้จ้อนที่ถามผม หลังจากที่เงียบฟังมานาน
‘หึ..แน่นอนว่าจะลุยเดี่ยว ไม่งั้นจะตั้งชื่อภารกิจว่าพิฆาตทมิฬเหรอ..?’ผมที่บอกกับไอ้จ้อน
ซึ่งแผนนี้มันถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ไหนๆก็เป็นภารกิจแรกแล้ว ผมก็เลยอยากจะโชว์ศักยภาพอีกสักครั้ง แต่ในอีกมุมหนึ่งในสายตาของผม ถ้าเกิดคิดที่จะพากองกำลังพวกนี้ไปด้วยก็คงจะมีแต่เป็นภาระถ่วงแข้งถ่วงขาซะเปล่าๆ..
“อ้าวเฮ้ย..ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า..!”เสียงของไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมา
ไรท์:คอมเม้น..!