หลังจากที่อำเภอฉือเจียเกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากขุนนางอำเภอจู้ที่เข้าดำรงตำแหน่งใหม่ยกเลิกเงินภาษีและเงินบริจาคมากมาย จำนวนพวกพ่อค้าแม่ค้าบนท้องถนนในอำเภอฉือเจียก็มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้กิจการดูรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง
เจียงป่าวชิงซื้อเสื้อผ้าทารกให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านที่ร้านเล็ก ๆ ข้างถนนก่อนเป็นอันดับแรก ในความตั้งใจของนางคือไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุราคาแพง เอาเพียงแค่เนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม ไม่ขูดผิว และไม่มีลายปักซับซ้อนเกินไปก็พอแล้ว
เนื่องจากวันนี้เจียงป่าวชิงใส่เสื้อผ้าที่ทางกงจี้จัดเตรียมไว้ให้ แม้รูปแบบเสื้อผ้าจะเรียบง่าย แต่วัสดุที่ใช้ตัดเย็บกลับไม่ใช่วัสดุธรรมดา เถ้าแก่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปเคยเห็นผ้ามาแล้วหลายประเภท สายตาของเขาเฉียบแหลมมาก เพียงหันไปมองผ้าตรงนั้นก็แทบจะเบี่ยงสายตาไปไหนไม่ได้อีก
เขามองเสื้อผ้าที่เจียงป่าวชิงสวมใส่อยู่ราวกับเห็นพระคลังเคลื่อนที่อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาพลันเป็นประกายอยู่ตลอด สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำแนะนำดี ๆ ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน น่าทึ่งที่คำแนะนำของเขานั้นไม่ซ้ำเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงได้รับการปฏิบัติอย่างกระตือรือร้นจากคนอื่นแบบนี้ นางอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจว่าการแต่งตัวให้ดี ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อดูดีอย่างเดียว เพราะถึงอย่างไร การดูแต่เปลือกนอกของคนอื่นก็เป็นข้อผิดพลาดของสังคมนี้
ขนาดพระพุทธรูปทองคำยังมีธูปบูชามากกว่าพระพุทธรูปธรรมดา นับประสาอะไรกับคนที่แต่งตัวดี มันก็ต้องมีคนสนใจชื่นชมมากกว่าคนที่แต่งตัวโกโรโกโสอยู่แล้ว
เจียงป่าวชิงซื้อเสื้อผ้าชุดเล็กสำหรับทารกมาสองสามชุด ถึงแม้นางจะไม่ได้จ่ายเงินไปมากนัก แต่เถ้าแก่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงมาส่งนางที่หน้าร้านด้วยท่าทีนอบน้อม
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าเบา ๆ พลางเตรียมตัวไปที่ร้านหนังสือต่อ เพื่อซื้อพวกหมึกกับกระดาษให้กับเจียงหยุนชาน
ตอนที่เข้าไปในร้านหนังสือ เจียงป่าวชิงพบกับคนคนหนึ่งที่กำลังกอดกระดาษออกมานอกร้าน นางทักทายคนคนนั้น “อ๊ะ! ครูหวู่ซิ่วฉาย สวัสดีเจ้าค่ะ”
เขาคือครูหวู่ หรือหวู่ซิ่วฉาย ครูผู้เคยสอนเจียงหยุนชานตอนที่เจียงหยุนชานยังเรียนอยู่โรงเรียนในตัวเมือง
หวู่ซิ่วฉายเห็นเจียงป่าวชิงก็รู้สึกงุนงง คงเป็นเพราะเขามีภาพความทรงจำต่อเจียงป่าวชิงแต่ยังนึกไม่ออก ทว่าไม่นานเขาก็นึกออกว่านางคือใคร และสีหน้าดีใจก็ค่อย ๆ ถูกเผยออกมาทางใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอย “อ้อ ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือน้องสาวของหยุนชานนี่เอง”
เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ครูหวู่สบายดีนะเจ้าคะ ? พี่ชายของข้าเขาคิดถึงครูหวู่เสมอเลยเจ้าค่ะ”
หวู่ซิ่วฉายพยักหน้าอย่างดีใจ “ข้าสบายดี พรุ่งนี้ข้าว่าจะไปหาพี่ชายของเจ้าที่ชีหลี่โวอยู่พอดี แต่ข้ามาเจอเจ้าตอนนี้ก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้ากลับไปบอกพี่ชายเจ้าหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องไปที่นั่น อายุข้ามากแล้ว ต่อให้นั่งรถก็เถอะ แต่เส้นทางในภูเขาสามารถขจัดชีวิตครึ่งหนึ่งของข้าได้เลยทีเดียวเชียวนะ”
ครูหวู่ยิ้ม
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “ยินดีเจ้าค่ะ ครูหวู่ฝากข้อความมาได้เลย ข้าจะไปบอกเขาให้เอง”
“อืม พอจะพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ละอายใจอยู่พอสมควร การสอบระดับอำเภอเมื่อครั้งที่ผ่านมา ที่พี่ชายเจ้าสอบไม่ผ่านก็เป็นเพราะหานอิงฉี เขาคือนักเรียนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งของการสอบระดับอำเภอ แต่แน่นอนว่าเขากดดันผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ รวมถึงพี่ชายเจ้าด้วย ข้าเดาในใจมาตลอดสำหรับเรื่องนี้ แต่เพราะกลัวจึงไม่กล้าส่งเสริมความเป็นธรรมให้กับพี่ชายเจ้า”
ความอับอายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหวู่ซิ่วฉาย ทว่าจากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง “เฮ้อ… ละอายใจ ข้าเป็นครูแท้ ๆ แต่ไม่ได้ช่วยลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ข้าละอายใจจริง ๆ”
ตอนที่ขุนนางอำเภอฉือยังดำรงตำแหน่งอยู่ เอกสารการสอบของการสอบระดับอำเภอถูกควบคุมและเก็บไว้อย่างแน่นหนา เขาจึงไม่สามารถแตะต้องได้ หวู่ซิ่วฉายพยายามไปสืบเรื่องนี้แต่กลับถูกข่มขู่ว่าจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน
หวู่ซิ่วฉายมีคนในครอบครัวที่ต้องดูแล เขาต้องพึ่งพางานและรายได้จากที่โรงเรียนเพื่อเลี้ยงทั้งครอบครัวจึงจำเป็นต้องกัดฟันทน
เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ครูหวู่เจ้าคะ ครูสามารถพูดให้พี่ชายข้ากลับไปเรียนได้อีกครั้งในสภาพแวดล้อมแบบนั้น นั่นก็ถือว่าล้ำค่ามากแล้ว ครูไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ”
หวู่ซิ่วฉายส่ายหน้า เขาถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “เฮ้อ! หลังจากที่ขุนนางอำเภอฉือเข้าคุก ข้าก็คิดหาวิธีที่จะดูสำเนาต้นฉบับของการสอบระดับอำเภอ และข้าพบว่าคนที่ได้อันดับหนึ่งคือหยุนชานอย่างเห็นได้ชัด เป็นขุนนางอำเภอฉือที่ใช้อำนาจของตัวเองในการสลับคะแนนของพี่ชายเจ้ากับหานอิงฉี… ทำให้พี่ชายเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่เห็น ไม่อย่างนั้น ด้วยความรู้ของพี่ชายเจ้า ตอนนี้เขาก็อาจจะสอบผ่านการสอบระดับจังหวัดไปแล้วก็ได้”
เมื่อเรื่องที่คาดเดาได้ตั้งนานแล้วได้รับการยืนยัน ในใจของเจียงป่าวชิงสงบมาก นางน้อมตัวให้หวู่ซิ่วฉายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าขอบคุณที่ครูหวู่ช่วยเป็นธุระให้พี่ชายข้ามาโดยตลอดเจ้าค่ะ”
หวู่ซิ่วฉายส่ายหน้า “พี่ชายเจ้าเป็นหยก หากว่าถูกฝังไว้เพราะเหตุนี้ ข้าคงละอายใจและไม่สบายใจไปตลอดชีวิต ตอนนี้พอขุนนางอำเภอฉือเข้าคุก หานอิงฉีก็ลาออกเป็นธรรมดา สำหรับพวกผู้ติดตามของหานอิงฉีในอดีต ที่บ้านของพวกเขาก็มีการสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางอำเภอฉือเช่นกันจึงมีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย และคนที่มีชื่อเข้าคุกก็แทบจะลาออกไปแล้วทุกคน ข้าจึงอยากถามพี่ชายเจ้าว่าเขาเต็มใจกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือเปล่า ?”
……
เมื่อเจียงป่าวชิงกลับไปก็นำเรื่องนี้ไปบอกเจียงหยุนชาน แต่หลังจากที่เจียงหยุนชานได้ฟัง เขานิ่งสงบมาก ดูไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษ
เขาส่ายหน้า “เอ่อ… เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว”
เจียงป่าวชิงถามเจียงหยุนชาน “พี่ ตกลงว่าพี่จะกลับไปเรียนที่โรงเรียนในอำเภออีกหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
เจียงหยุนชานส่ายหน้า “ไม่แล้วล่ะ” เขาหยุดครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นและตั้งใจพูดกับเจียงป่าวชิงว่า “ป่าวชิง เจ้าช่วยข้าดูฟ๋านฟ๋านสักครู่หนึ่งนะ ข้าจะไปคุยธุระกับครูหวู่ด้วยตัวเอง”
เจียงหยุนชานไม่ได้อธิบายให้เจียงป่าวชิงฟังว่าทำไมเขาถึงไม่กลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในตัวเมือง แต่เจียงป่าวชิงเข้าใจเขาเป็นอย่างดี
โรงเรียนในตัวเมืองรวมเอานักเรียนที่อ่านหนังสือและท่องกลอนเป็นไว้เป็นจำนวนมากที่สุดในอำเภอฉือเจีย เจียงหยุนชานคิดว่าการเรียนหนังสือมีไว้เพื่อความเข้าใจและนำเอาความรู้ที่ได้ไปใช้ต่อไป แต่พวกนักเรียนเหล่านั้นสูญเสียการยึดมั่นในคำพูดที่ว่า ‘คนมีความรู้ควรมีจากรากเหง้าของพวกเขา’ ไปเสียแล้ว
แม้ว่าหานอิงฉีจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ในโรงเรียน แต่ในบรรดาพรรคพวกนักเรียนของเขา คนที่รู้จักเอาตัวรอดมีน้อยมาก น่าเศร้าที่แทบทุกคนเลือกสมรู้ร่วมคิดกับเขาเพื่อกระทำความชั่ว
เพราะเหตุนี้ โรงเรียนในตัวเมืองจึงเน่าตั้งแต่รากเหง้าแล้ว มันเน่าเสียจนแม้จะมีอาจารย์ที่จิตใจดีอย่างหวู่ซิ่วฉายอยู่ ก็ยังช่วยโรงเรียนที่เน่าจนไปถึงรากเหง้าแห่งนี้ไม่ได้
ตอนที่เจียงหยุนชานลาออก เขาเองก็รู้สึกผิดหวังกับโรงเรียนแห่งนี้มาก
เจียงป่าวชิงแตะใบหน้ากลมนุ่มนิ่มของเสี่ยวฟ๋านฟ๋านเบา ๆ “ฟ๋านฟ๋าน ถึงแม้ว่าพี่ชายของเราจะยังเป็นเด็กและยังอ่อนประสบการณ์อยู่ แต่เขากลับแน่วแน่มากกว่าผู้ใหญ่หลายคนซะอีกนะ”
……
ประสิทธิภาพด้านกำลังคนของกงจี้นั้นสูงมาก ไม่นาน รถบรรทุกหินและไม้ก็ถูกลากไปที่ชีหลี่โวคันแล้วคันเล่า และเริ่มดำเนินการสร้างบ้านใหม่แล้ว
เจียงป่าวชิงเลือกวันที่อากาศดีไปชีหลี่โว ตอนที่รถม้าผ่านตรงทางเข้าหมู่บ้าน นางเลิกม่านออกและได้สบตากับซุนต้าหูที่อยู่ริมถนนอย่างพอดิบพอดี
ตั้งแต่แยกจากกันที่ที่ว่าการอำเภอ เจียงป่าวชิงก็ไม่ได้เจอซุนต้าหูมาหลายวันแล้ว
ซุนต้าหูดูเหี่ยวเฉากว่าเมื่อก่อนมาก เขายังเป็นวัยรุ่นและอายุน้อยกว่ากงจี้เล็กน้อย แต่เขากลับดูเหมือนคนที่อายุสามสิบปีอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อซุนต้าหูเห็นเจียงป่าวชิง เขาก็สุดตื่นเต้น แต่แล้วสีหน้าของเขาเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาพลางรีบก้าวถอยหลังราวกับจะหลบลี้หนีหน้านางทำนองนั้น
เจียงป่าวชิงรีบสั่งให้คนบังคับรถม้าหยุดรถ นางเลิกม่านรถออกแล้วกระโดดลงจากรถอย่างว่องไว
“พี่ต้าหู!” เจียงป่าวชิงเรียกซุนต้าหูไว้
ซุนต้าหูหยุดฝีเท้าลง ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มให้เจียงป่าวชิงอย่างฝืน ๆ “ป่าวชิง ได้ยินว่าบ้านเจ้าถูกไฟไหม้ข้าจึงมาดู… ได้เห็นเจ้ายังอยู่ดีในตอนนี้ ข้าก็สบายใจแล้วล่ะนะ”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า “พี่ต้าหู ว่าแต่แผลของพี่ดีขึ้นแล้วหรือยังเจ้าคะ ?”
ซุนต้าหูพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “หายดีตั้งนานแล้ว… ข้าหนังหนาน่ะ” เขามองเจียงป่าวชิงโดยที่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี แต่เขาก็ไม่กล้ามองนางอยู่ตลอดแบบนี้จึงต้องคิดหาหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ต้าตงเขา… เขาเองก็ไม่เป็นอะไรแล้ว คุณนายหลูคนนั้นไม่สอบถามอะไร แล้วยังให้เงินเขาเพิ่มด้วยนะ ส่วนเรื่องโทษ เขาถูกตีเพิ่มห้าสิบไม้กระดาน ขุนนางอำเภอจู้ถึงจะยุติความผิดนี้”
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร คิด ๆ คำนวณดูแล้ว คุณนายหลูถือว่าเป็นแม่ยายของซุนต้าตง อันที่จริง ผลลัพธ์ของการจัดการนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่พอสมควร