เมื่อได้ยินคำตอบของเจี่ยงไป๋เหมียน ชายวัยกลางคนไว้ผมยาวสีดำ สวมเสื้อคลุมสีดำตัวโคร่งก็หาที่นั่งข้างกองไฟแล้วนั่งลงด้วยท่าทีสบายสบายดูเป็นธรรมชาติ
ผู้หญิงผมบลอนด์ตาสีฟ้าที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นก็นั่งลงอย่างไม่ใส่ใจเช่นกัน เธอไม่ได้กังวลว่าซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ จะแฝงเจตนาร้าย
ความมั่นใจในตัวเองกับทัศนคติเช่นนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“นี่พวกเราดูไม่มีพิษไม่มีภัยขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง ต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันนี้แว่บขึ้นมา
ทั้งสองคนนี้ขวัญกล้าเกินไปหน่อยไหม!
“ก็เพิ่งจะพบซากเมืองแห่งใหม่กันไม่ใช่เหรอ ทุกคนต่างก็จะรีบไปกอบโกยกัน แล้วยังจะมีเวลามาฆ่าแกงกันอยู่อีกหรือไง” ชายวัยกลางคนยื่นสองมือออกมาอังไฟ “ให้เรียกคุณว่าไงดี”
เจี่ยงไป๋เหมียนกลับมานั่งที่เดิม แล้วตอบเรียบๆ
“เจี่ยงไป๋เหมียนค่ะ
“พวกเรามาจากกองกำลังแห่งหนึ่ง ออกมาที่แดนร้างบึงดำเพื่อทำภารกิจบางอย่าง”
เธอเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับตนเองเล็กน้อย แต่ไม่ได้บอกจนหมดเปลือก หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายพอจะรู้สึกวางใจขึ้นบ้าง ทุกคนจะได้ใช้เวลายามค่ำคืนอย่างปรองดองสงบสุข จากนั้นก็แยกย้ายต่างคนต่างไป
เหตุผลหลักที่เธอยอมให้คนทั้งคู่เข้ามาสนทนากันที่กองไฟก็เป็นเพราะพลังผู้ตื่นรู้ของซางเจี้ยนเย่ามีรัศมีจำกัด ดังนั้นการเข้ามาคุยกันในระยะใกล้ย่อมดีกว่าระยะไกล
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ตื่นรู้ เป้าหมายหลักย่อมต้องเล็งมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนที่แสดงตนว่าเป็นหัวหน้า ซึ่งนี่จะเปิดโอกาสให้กับซางเจี้ยนเย่าด้วย ต่อให้พลังของอีกฝ่ายจะเป็นการจู่โจมระยะไกลแบบ ‘เปรตหิวโหย’ แต่ซางเจี้ยนเย่าที่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วก็สามารถตอบโต้สวนกลับและสร้างผลกระทบให้อีกฝ่ายได้เช่นกัน
“ก็พอมองออกอยู่” ชายวัยกลางคนไม่ได้รู้สึกสงสัยตัวตนที่เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดเผยออกมา “ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างลักษณะ ความสูง ผิวหนัง หรือว่าเสื้อผ้าอาวุธ ไม่ว่าจะดูยังไง พวกคุณก็ไม่เหมือนกับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างแม้แต่น้อย ฮ่า ฮ่า มีแค่สาวน้อยคนนั้นแหละที่ทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”
เขาพูดถึงไป๋เฉินที่กำลังย่างกระต่ายอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะพูดออกไปว่า ‘อายุของพวกเราไม่น้อยแล้วนะ’ แต่ชายวัยกลางคนพูดต่ออีก
“ฉันชื่อตู้เหิง[1] ตู้ที่เขียนด้วยตัวอักษรไม้กับดิน เหิงที่แปลว่าสมดุล
“ฉันเป็นนักประวัติศาสตร์และนักโบราณวัตถุน่ะ ที่จริงก็รู้สึกขายหน้าเหมือนกันนะที่แนะนำตัวแบบนี้ เพราะถึงแม้ว่าจะเข้าร่วมสมาคมนักล่ามายี่สิบกว่าปีแล้วก็ตาม แต่ก่อนหน้านั้นก็เป็นเพียงแค่นักล่ามือใหม่เท่านั้น เพิ่งจะได้เลื่อนระดับขึ้นมาเป็นนักล่าทางการไม่นานนี้แหละ เฮ้อ… ฉันไม่ค่อยรับภารกิจ แล้วก็ถลุงทรัพยากรกับข่าวสารของพวกเขาไปกับงานค้นคว้าวิจัยของตัวเอง ดูสิ… พอมีซากปรักเมืองที่ยังไม่เคยถูกค้นพบปรากฏขึ้นมา ฉันก็ยังมัวมาเอ้อระเหยอยู่นี่อยู่เลย”
ขณะที่พูดไป เขาก็มีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา ดูอ่อนโยนมีเมตตามาก
แต่ว่าคำตอบของเขานั้นกลับทำให้เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ไม่กล้าดูแคลน
นักโบราณวัตถุและนักประวัติศาสตร์ที่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ปืนพกติดตัวแต่กลับกล้าท่องทั่วแดนร้างและสำรวจซากปรักเมือง โดยที่ยังคงมีชีวิตอยู่จนอายุถึงวัยกลางคนเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หญิงสาวผมบลอนด์แนะนำตัวเอง
“ข้าชื่อกาโลแรน เป็นนักพรตเต๋า”
ถึงแม้ว่าเธอจะพูดภาษาแดนธุลี แต่การออกเสียงบางคำก็แปร่งๆ อยู่บ้าง ทำให้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ
กาโลแรนยิ้มบาง แล้วพูดต่อ
“ข้ามาที่นี่เพราะเห็นมีคนเดินมาทางนี้กันเยอะ ก็เลยตามมาดูน่ะ”
“ทำอะไรตามใจจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
กาโลแรนตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้เหรอ
“หลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป ผู้คนมากมายต่างเข้าใจในข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่ง
“นั่นก็คือ ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเรียกตนเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง แต่ยามอยู่บนโลกและเผชิญกับชะตากรรม ก็เปรียบดั่งใบไม้ที่ปลิวในสายลมอันเกรี้ยวกราด…”
พูดถึงตรงนี้เธอก็ชี้ไปยังต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป
“ข้าทำได้เพียงแค่ล่องลอยไปในสายลม มิอาจล่วงรู้ว่าจะตกลงไปที่แห่งใด
“ในเมื่อมิอาจขัดขืนโชคชะตาที่กำหนด เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสาะแสวงหาวิธีการ ปล่อยให้สายลมแห่งชะตากรรมนำพาไป เมื่อเปลี่ยนมุมมองความคิดเป็นการเที่ยวชมทิวทัศน์ระหว่างทาง ค้นหาการดำรงอยู่ของเต๋าท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เช่นนี้แล้วก็จะแยกแยะจริงปลอมเท็จแท้และมายาออกจากกันได้ หลุดพ้นจากบ่วงพันธนาการ สู่ชีวิตนิรันดร์ยืนยง
“ดังคำกล่าวที่ว่า มนุษย์ตามวิถีดิน ดินตามวิถีฟ้า ฟ้าตามวิถีเต๋า เต๋าตามวิถีธรรมชาติ”
เมื่อเห็นสาวสวยผมบลอนด์ตาฟ้าผู้นี้ พูดเจื้อยแจ้วอยู่เบื้องหน้าตนเอง ทำเอาหลงเยว่หงกับคนอื่นถึงกับสมองมึนชา
แต่ละคำแต่ละประโยคที่พูดออกมานั้น พวกเขาเข้าใจทุกคำ แต่เมื่อนำมาเรียงร้อยเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแล้วกลับมีแต่ความสับสนมึนงง ไม่อาจเข้าใจความหมายได้
แต่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถสรุปปรัชญาการดำเนินชีวิตของหญิงสาวผู้นี้ออกมาได้ นั่นคือ…
ปล่อยตามยถากรรม!
“ฉันคิดว่าพอจะเข้าใจอยู่นะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างจริงจัง
ตู้เหิงมองดูกาโลแรนพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ชี้ไปที่กระต่าย
“เมื่อกี้ตอนเดินมานี่ ฉันเห็นกระต่ายป่าสองตัว แปลว่าแถวนี้ก็ไม่น่าจะมีสัตว์น้อย แล้วทำไมถึงจับมาแค่ตัวเดียวล่ะ ที่นี่มีคนตั้งเยอะ…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็อับอายหน้าแดง
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองพวกเขาด้วยหางตาแล้วก็หัวเราะพลางสั่นศีรษะ
“สวรรค์มีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์น่ะ”
ตู้เหิงได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าตระหนักรู้ออกมาทันที
“พวกคุณเป็นสาวกของชุมนุมหลวงจีน หรือว่านิกายจิตกระจ่าง”
“เปล่าหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายแบบสบายสบาย “เราเพิ่งเจอกับหลวงจีนจักรกลจากชุมนุมหลวงจีน ขัดแย้งกันนิดหน่อยก็เลยปะทะกันดุเดือดไปรอบนึง”
ตู้เหิงอ้าปากค้างไปอึดใจ ครุ่นคิดก่อนจะถามขึ้น
“หลวงจีนนั่นห่มจีวรแดงหรือเปล่า”
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปิดบัง
ตู้เหิงกับกาโลแรนพินิจพิเคราะห์ทั้งสี่คนอีกครั้ง
จากนั้นฝ่ายแรกก็ละสายตาพร้อมกับพูดด้วยยิ้ม
“พวกคุณนี่แข็งแกร่งไม่เบาเลย
“เท่าที่ฉันรู้มา หลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีนที่ห่มจีวรแดง มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยที่เขาจะเป็นผู้ตื่นรู้”
กาโลแรนพยักหน้า แสดงว่าเธอเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน
“เขาก็เป็นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันในสิ่งที่คนทั้งสองคาดเดา
เธอกวาดตามองดูโดยไม่ได้หยุดสายตาที่ใคร จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้เป็นอย่างดีเลยใช่ไหม”
ในเมื่อก่อนหน้านี้ตู้เหิงบอกว่า ‘นั่งคุยกันซักหน่อยดีไหม’ และกาโลแรนเองก็เป็นพวกปล่อยไปตามยถากรรม ดังนั้นเธอจึงไม่เกรงใจให้มากพิธีรีตองอีก เริ่มถามถึงข้อมูลที่คนทั่วไปนั้นยากที่จะรับรู้ ยากที่จะได้ยินได้ฟัง
ถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบเธอก็ไม่ฝืนใจ แต่ถ้าตอบ ก็จะพิจารณาเรื่องแบ่งปันขากระต่ายให้ ไม่ว่ายังไงคนทั้งสี่ต่างก็ไม่ได้คิดจะใช้สัตว์ตัวกระจ้อยร่อยแบบนี้มาเติมให้เต็มกระเพาะอยู่แล้ว อาหารหลักยังคงเป็นธัญพืชอัดแท่งกับบิสกิตอัดแข็ง และก็ยังมีอาหารกระป๋องอีก
ตู้เหิงลูบเครา
“โอ้… นี่จะทดสอบกันแล้วสินะ”
พูดพลางยิ้มกว้างไปพลาง
ก่อนที่นักพรตหญิงผมทองกาโลแรนจะพูดอะไร ตู้เหิงก็พูดเสริมอย่างภาคภูมิใจที่ได้โอ้อวด
“จะว่าไปแล้ว ผู้ตื่นรู้หลายคนที่ฉันรู้จัก พวกเขาบอกว่าผู้ตื่นรู้เองก็เสาะแสวงหาและไล่ตามโลกใหม่ที่อยู่ในจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับทุกคนในแดนธุลีที่ค้นหาประตูสู่โลกใหม่ในความเป็นจริง หวังว่าจะได้ไม่ต้องหิวโหย ไม่ต้องผจญกับโรคภัยความเจ็บไข้ได้ป่วยและกลายพันธุ์อีกต่อไป
“ใช่แล้ว ชุมนุมหลวงจีนเรียกสิ่งนี้ว่า ‘แดนวิสุทธิ์สุขสันต์’”
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างใจจดจ่อและเกิดความกระจ่างในบางเรื่อง
แล้วตอนนี้กาโลแรนก็พูดแทรกด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนโยน
“และเป็นไปได้ว่าหลวงจีนจักรกลจากชุมนุมหลวงจีนที่ห่มจีวรแดงนั้นได้เข้าสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ไปแล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่! ‘ทะเลต้นกำเนิด’! พวกเขาพูดถึงคำนี้” ตู้เหิงตบต้นขาตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ พลางครุ่นคิดแล้วถามขึ้น
“ถ้าหากว่าข้าม ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ไปแล้ว จะไปถึงที่ไหน”
“ข้าก็ไม่รู้” กาโลแรนตอบเรียบๆ
ตู้เหิงยิ้ม ไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเขาไม่รู้
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่สองวินาทีก่อนถามขึ้น
“งั้นจะเข้าไป ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ได้จากที่ไหน”
กาโลแรนมองไปยังกองไฟสีแดงที่ปะทุแล้วตอบว่า
“แต่ละคนเรียกที่นั่นด้วยชื่อที่แตกต่างกันออกไป”
ตอนนี้ตู้เหิงพูดแทรกด้วยรอยยิ้ม
“ส่วนใหญ่มักจะเรียกกันว่า ‘โถงดารา’”
ดวงตาซางเจี้ยนเย่าไหววูบ แต่สีหน้ายังคงเดิม
“เป็นอย่างนั้นน่ะเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันไม่เคยติดต่อกับพวกผู้ตื่นรู้ ก็เลยไม่รู้อะไรพวกนี้ซักเท่าไหร่”
พูดจบเธอก็ไม่รอให้ตู้เหิงกับกาโลแรนมีโอกาสได้พูดอะไร หันไปทางไป๋เฉินแล้วถาม
“ย่างได้ที่หรือยัง”
“เกือบแล้ว” ไป๋เฉินยกกิ่งไม้ที่เสียบกระต่ายเอาไว้ออกจากกองไฟ
“มีแขกมาเยือนก็ต้องต้อนรับ แบ่งให้พวกเขาทั้งสองคนด้วยเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่ง
ไป๋เฉินเข้าใจดีว่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินมานั้นเป็นข้อมูลที่หายากเพียงใด เธอจึงไม่ได้โต้แย้ง หลังจากรอให้เนื้อกระต่ายย่างเย็นลงบ้างแล้วก็ฉีกขาหลังของกระต่ายยื่นส่งให้ตู้เหิงกับกาโลแรนตามลำดับ
เธอนั้นร่อนเร่รอนแรมอยู่บนแดนธุลีมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า ‘ทะเลต้นกำเนิด’ และ ‘โถงดารา’
ตู้เหิงเองก็ไม่มัวเกรงอกเกรงใจ จับปลายกระดูกขาเอาไว้ กินไปพลาง เป่าปากระบายความร้อนไปพลาง
“ไม่เลว ย่างได้ที่กำลังดีเลย” ระหว่างที่กิน เขาก็ชมอย่างคลุมเคลือไปด้วย
กาโลแรนนั้นมีมารยาทกว่าเขา เธอจีบนิ้วหยิบท่อนกระดูกที่ไม่ร้อนมาก แล้วค่อยๆ กัดคำเล็กๆ
ขณะเดียวกันไป๋เฉินก็แบ่งเนื้อกระต่ายย่างที่เหลือออกเป็นสี่ส่วนใส่ลงไปในกล่องอาหารของตัวเองและคนอื่นๆ
ซางเจี้ยนเย่ากัดเข้าไป รู้สึกว่าเนื้อนั้นแห้งมาก แต่ตอนที่เคี้ยวกลับให้ความหอมมากกว่าเมนูเนื้อของบริษัทเสียอีก
หลงเยว่หงกำลังรับผิดชอบเฝ้าระวังรอบด้าน จึงได้แต่ชะเง้อมอง ไม่สามารถรื่นรมย์กับเนื้อกระต่ายย่างพร้อมกับคนอื่นๆ ได้ในตอนนี้
หลังจากจัดการเนื้อกระต่ายอันน้อยนิดเสร็จเรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็อมยิ้มเมื่อเห็นตู้เหิงนั้นกำลังดูดนิ้วโดยไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์
“คุณตู้… เห็นคุณบอกว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ทรงความรู้นี่นา
“งั้นคุณรู้อะไรเกี่ยวกับซากเมืองที่เพิ่งค้นพบใหม่ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่บ้างไหม รู้หรือเปล่าว่ามันเป็นเมืองอะไรของโลกเก่า”
ตู้เหิงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ยับยู่ยี่ออกมาเช็ดมือแล้วหัวเราะ
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน ข้อมูลของโลกเก่าถูกทำลายไปมากมาย อีกทั้งยังสูญหายไปในช่วงกลียุค รวมไปถึงพวกแผนที่ความละเอียดสูงด้วย
“แต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันมั่นใจ นั่นคือซากเมืองที่เพิ่งค้นพบใหม่นั้นมีบางอย่างผิดปกติมาก และมีคุณค่าต่อการสำรวจเป็นอย่างยิ่ง”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง
ตู้เหิงมองดูท้องฟ้าทางทิศเหนือ
“เมื่อตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย มีคนมากมายที่อาศัยอยู่ในเมืองและหมู่บ้านรอบๆ ที่รอดชีวิตมาได้ แต่กลับไม่มีใครพูดถึงหรือพยายามเข้าไปสำรวจซากเมืองนี้เลย อ้อ… ข้อมูลนี้ได้รับแจ้งมาจากนักล่าซากอารยะที่ไปเจอเข้าในภายหลัง”
เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินเห็นด้วยกับจุดนี้ ขนาดเถียนเอ้อร์เหอที่เมืองน้ำล้อมซึ่งตอนนั้นยังเด็กมากก็ยังร่ำร้องจะกลับเข้าเมืองไปตามหาพ่อแม่เลย
“เรื่องนี้จึงแฝงนัยว่า ซากเมืองแห่งนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” ตู้เหิงให้ข้อสรุปอีกครั้งหนึ่ง
พูดขาดคำก็พลันมีเสียงหอนที่แหบแห้งและอ้างว้างดังขึ้นมาจากทางเหนือที่ห่างออกไปไกล
“บรู๊วววว!”
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แต่ราวกับว่ากำลังจะมีฝันร้ายมาเยี่ยมเยือน
* * * * *
[1] ตู้เหิง (杜衡) เมื่อชาวจีนต้องแนะนำชื่อของตนเอง จะแนะนำโดยการบอกตัวอักษรจีนด้วยเพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงวิธีการเขียนที่ถูกต้องของชื่อตน เช่น แซ่สกุล “ตู้” (杜) ประกอบด้วยตัวอักษรสองตัวคือ ไม้ (木) กับ ดิน (土) ส่วนคำว่า “เหิง” (衡) มาจากคำว่า สมดุล (平衡 อ่านว่า ผิงเหิง)