ชายที่ถือมีดผ่าแตงร้อง “เฮ้อ” ออกมาหนึ่งคำ
“อย่าให้พูดเลย ก็โดนเจ้าค้างคาวเฒ่านั่นแหละบังคับมา ฉันบอกแล้วว่าให้รออีกวัน รออีกวัน แต่ก็เขาไม่ยอมฟัง!”
เจี๋ยงไป๋เหมียนเกือบจะหลุดปากถามไปตามจิตใต้สำนึกแล้วว่าใครคือค้างคาวเฒ่า แต่หลังจากตั้งสติได้ก็รีบปิดปากทันที
ที่จริงแล้วซางเจี้ยนเย่าก็ตั้งใจจะถามเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าว่าตรรกะของการจูงใจเตือนว่ามันจะทำลาย ‘ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง’ ลงและทำให้อีกฝ่ายเกิดความสับสนสงสัยว่าในเมื่อเป็นพี่น้องกัน แล้วทำไมถึงไม่รู้จักว่าค้างคาวเฒ่าเป็นใคร
เขาจึงหัวเราะออกมา
“เจ้าค้างคาวเฒ่านั่น… ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย”
“ก็แล้วจะให้เขาทำไงได้ล่ะ เขาก็ถูกคนอื่นจี้มาอีกทีนั่นแหละ!” ชายซึ่งถือมีดผ่าแตงเหน็บปืนพก ยกมือขึ้นยีผมที่มันเยิ้มของตน นิ่วหน้าพูด “คนพวกนั้นเอะอะอะไรก็จะฆ่าจะแกงลูกเดียว ใครจะไปกล้าขัด เฮ้อ…”
“คนพวกนั้น…” ซางเจี้ยนเย่าเจตนาแสดงสีหน้างุนงง “ฉันเพิ่งจะไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องแล้วเหรอ”
แม้ว่าเขาอยากจะถามออกไปตรงๆ ว่าคนพวกนั้นคือใคร แต่ก็พยายามหักห้ามใจไว้
ชายถือมีดผ่าแตงอึ้งไปชั่วขณะราวกับไม่ได้คิดมาก่อนว่าพี่น้องเบื้องหน้าคนนี้ได้แยกจากกันไปพักหนึ่งแล้ว
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ถอนใจอีกครั้ง
“อย่าให้พูดเลย พอพวก ‘ไฮยีน่า’ มาถึง พวกเราก็โดนยึดที่ ตอนนี้ไม่มีรังให้ซุกหัวนอนแล้ว! ตอนกลางคืนมีตาแก่หนาวตายไปตั้งหลายคน”
เมื่อพูดถึง ‘ไฮยีน่า’ เขาก็เหลียวซ้ายแลขวาตามสัญชาตญาณทันที ราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน
“ไฮยีน่า…” ซางเจี้ยนเย่าหันมามองเจี่ยงไป๋เหมียนเพื่อดูว่าหัวหน้าทีมผู้เปี่ยมประสบการณ์เคยได้ยินฉายานี้มาก่อนหรือไม่
สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมียนมืดครึ้มลงเล็กน้อยและพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ไอ้ ‘ไฮยีน่า’ ขอให้แม่มันตาย!” ซางเจี้ยนเย่าก่นด่าอย่างจงใจ
ชายถือมีดผ่าแตงก็อยากจะด่าออกมาสักสองสามคำ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า ได้แต่พูดอย่างไม่พอใจ
“แม่เขาตายไปตั้งนานแล้ว”
พูดมาถึงตอนนี้ ชายที่ไม่สามารถระบุอายุจากหน้าตาได้ ก็นึกอะไรออกจึงพูดขึ้นมา
“ในตอนนั้นฉันเพิ่งจะสิบกว่าขวบ ส่วน ‘ไฮยีน่า’ ก็ยังไม่ได้เป็นโจร
“ได้ยินมาว่าแม่เขาถูกพวกมนุษย์ชั้นรองที่เร่ร่อนมาจากไหนก็ไม่รู้มารุมกิน”
ซางเจี้ยนเย่าคิ้วย่นเล็กน้อยก่อนจะโพล่งถามออกมา
“พวกมนุษย์หนูเหรอ”
เขารู้มาจากเจี่ยงไป๋เหมียนว่าชาวเมืองหนูดำถูกคนอื่นๆ รอบข้างเรียกว่า ‘มนุษย์หนู’
เป็นชื่อที่เรียกด้วยความเหยียดหยาม
“เปล่า” ชายถือมีดผ่าแตงส่ายหน้า “พวกมนุษย์หนูอยู่นี่มาหลายสิบปีแล้ว อยู่มาตั้งแต่ก่อนฉันเกิดซะอีก พวกเขาหาของเก่ง ขุดดินเก่ง หาได้ทุกสิ่ง กินได้ทุกอย่าง ไม่ใช่พวกที่เร่ร่อนไปมานั่น”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะถามขึ้น
“แล้วพวก ‘ไฮยีน่า’ มาทำอะไรที่นี่”
“พวกเขา… พวกเขาบอกว่าเจออะไรบางอย่างที่สถานีเยว่หลู่ ค้างคาวเฒ่าเคยถามว่าเจออะไร แต่คนของ ‘ไฮยีน่า’ เองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน กำลังส่งคนออกไปสำรวจดู”
พอพูดถึงคำว่า ‘สำรวจ’ เขาก็นึกได้ว่ากำลังออกมาทำภารกิจ พลันมีสีหน้าหม่นหมองขึ้นมาทันที “ฉันไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติ นี่ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรกลับไปรายงาน พวกคนของ ‘ไฮยีน่า’ คงจับฉันโยนให้หมากินแน่”
“หมา…” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาโดยอัตโนมัติ
ชายถือมีดผ่าแตงถ่มน้ำลาย
“‘ไฮยีน่า’ มีหมาที่แม่งโคตรดุอยู่ตัวนึง เลี้ยงอย่างกับลูกในไส้แน่ะ!”
“เขายังบอกอีกว่าพวกเรามันไร้ประโยชน์ สู้กับหมาเขายังไม่ชนะเลย จะเลี้ยงทำไมให้เปลือง เอาพวกเราไปให้หมากินยังดีซะกว่า”
หลังจากบ่นเสร็จ ชายคนนั้นก็ถามด้วยความคาดหวัง
“พี่น้อง นายเจออะไรบ้างไหม”
“ไม่เจออะไรทั้งนั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความเป็นจริง “คนที่จุดดอกไม้ไฟนั่นกลับไปตั้งนานแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้เลย!”
“อย่างนั้นเหรอ… งั้นพวกเขาจุดดอกไม้ไฟทำไมนะ เอ่อ… ค้างคาวเฒ่าเรียกว่าพลุสัญญาณอะไรทำนองนั้น” ชายถือมีดผ่าแตงรู้สึกอยากจะกลับไปเต็มแก่แล้ว
ซางเจี้ยนเย่ามองไปยังทิศทางที่ชายถือไม้เบสบอลวิ่งหนีไป
“ใครจะไปรู้ล่ะ
“กลับกันเถอะ ถ้า ‘ไฮยีน่า’ ไม่เชื่อก็บอกให้เขาส่งคนอื่นออกมาสำรวจใหม่ละกัน
“จริงสิ เมื่อกี้ฉันทำให้หมอนั่นกลัวจนเผ่นป่าราบไปแล้ว นายรีบตามไป แล้วช่วยอธิบายแทนฉันด้วยละกัน”
“ได้” ชายถือมีดผ่าแตงตบหน้าอกตนเอง “แล้วพวกนายจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ”
“เร็วๆ นี้แหละ” มุมปากซางเจี้ยนเย่าเผยอยิ้มขึ้นทีละนิด “อย่าลืมบอกค้างคาวเฒ่าด้วยว่าพวกเรากลับไปถึงเมื่อไหร่ จะแวะไปเยี่ยมเยียน ‘ไฮยีน่า’ สักหน่อย”
“เยี่ยมเยียน…” ชายถือมีดผ่าแตงพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เมื่อมองเห็นปืนยิงระเบิดในมือซางเจี้ยนเย่าและปืนไรเฟิลจู่โจมในมือเจี่ยงไป๋เหมียน ก็รีบสลัดความคิดจะทำตัวเป็นคนฉลาดทิ้งไปทันที
เขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็วแล้วโบกมือลา
“หวังว่าจะได้เจอกันอีก”
“หวังว่าจะได้เจอกันอีก” ซางเจี้ยนเย่าโบกมือตอบอย่างกระตือรือร้น
มองดูชายถือมีดผ่าแตงหายลับไปที่สุดปลายถนน เจี่ยงไป๋เหมียนก็ชายตามองซางเจี้ยนเย่าชั่วครู่ก่อนจะพูด
“มีอะไร ยังมัวยืนหัวโด่อยู่กลางถนนอีก กลัวคนอื่นไม่เห็นนายหรือไงยะ”
ที่จริงแล้วบนเนินเขานั้นไม่ได้มีถนนที่เป็นถนนของจริง เพียงแต่ว่ามีผู้คนใช้สัญจรเดินทางกันบ่อยจนกลายเป็นเส้นทางตามธรรมชาติไป
ขณะที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้าไปยังเนินเขาที่ใช้เป็นจุดซ่อนตัว
ซางเจี้ยนเย่าสลับอาวุธคืนให้หัวหน้าทีมแล้วถามขึ้น
“‘ไฮยีน่า’ เป็นใครเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“เป็นหัวหน้าโจรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแดนร้างบึงดำน่ะ ปกติมักจะออกปล้นอยู่แถวๆ อาณาเขตของชุมนุมอัศวินขาว
“เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่ยังอายุไม่มากนัก ตอนนี้ไม่รู้ว่าถึงสามสิบแล้วหรือยัง
“แก๊งโจรพวกมันเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรกที่มีคนแค่สามสี่คนกับปืนสี่ห้ากระบอก ตอนนี้มีสมาชิกหลักอยู่สิบเจ็ดสิบแปดคน มีอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่ไม่น้อย เคยมีคนตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ‘ไฮยีน่า’ อาจจะยึดคลังแสงจากโลกเก่าไว้ได้ ถึงได้แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีเหมืองแร่หรือที่นาที่ดีกว่านี้อยู่ในมือล่ะก็ คงจะไม่ได้มีลูกน้องเดนตายแค่สิบเจ็ดสิบแปดคนนี้หรอก น่าจะขยายกองกำลังไปได้อย่างน้อยก็สองสามร้อยคนแล้วล่ะ เมื่อเป็นแบบนั้นก็จะสามารถสร้างนิคมขนาดใหญ่ของตัวเองขึ้นมาได้ เหมือนอย่างเมืองหญ้าไพรน่ะ หลังจากนั้นก็ค่อยพิจารณาว่าจะเลือกเข้าร่วมกับกองกำลังใหญ่ซักแห่งเพื่อจะได้มีหลักประกัน หรือจะเลือกตั้งตัวเป็นกองกำลังขนาดเล็กที่ทรงอิทธิพลก็ได้ทั้งนั้น
“เหอะ เหอะ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ‘ไฮยีน่า’ คิดว่าการที่ต้องมาคอยเลี้ยงดูคนหลายร้อยหลายพันเป็นเรื่องยุ่งยาก การจัดการเมืองเป็นเรื่องลำบากวุ่นวาย แล้วก็ต้องคอยรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของกองกำลังใหญ่ สู้มีชีวิตอิสระแบบโจรไม่ได้ ก็เลยคงสภาพแบบทุกวันนี้เอาไว้
“อ้อ… ใช่แล้ว ชื่อจริงของมันคือหลินลี่”
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างตั้งใจแล้วสรุปออกมา
“พวกมันน่าสงสัยมาก และก็มีลูกสมุนมากกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก”
มีสมาชิกหลักเกือบยี่สิบ และมีลูกสมุนที่ควบคุมไว้อีกนับร้อย
“พวกมันยังมีแม้กระทั่งรถหุ้มเกราะ ปืนกลหนัก แล้วก็ปืนบาซูก้าด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเสริม “แต่พวกมันน่าจะไม่มีชุดเกราะกระดูกเสริมแรง เกราะไบโอนิกสมองกล ปืนเกาส์ ปืนพลาสม่า ดูท่าแล้ว ต่อให้ข่าวลือเป็นเรื่องจริง แต่คลังแสงที่พวก ‘ไฮยีน่า’ ยึดมาได้น่าจะเป็นระดับทั่วไป ไม่ใช่พวกคุณภาพสูง”
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เจี่ยงไป๋เหมียนก็เลยหัวเราะร่วนพลางพูดว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของพวกเราในตอนนี้ ถ้าหากว่าซุ่มโจมตีก็มีโอกาสกวาดล้างพวกโจรฝูงนี้ได้อยู่นะ ตราบใดที่เราไม่ปล่อยให้ ‘ไฮยีน่า’ สั่งการได้ พวกลูกสมุนเหล่านั้นก็ไม่คิดจะยอมตายถวายชีวิตให้มันหรอก
“แต่ว่านะ เมื่อดูจากพวกสมาชิกหลักกับยุทโธปกรณ์ของพวกมัน พวกเราคงต้องเตรียมใจว่าอาจจะตายซักครึ่งทีมล่ะมั้ง”
พูดแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันหน้าไปมองด้านนอกของจุดซ่อนตัว
“และนอกจากนั้น เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ซุ่มโจมตีอีกแล้ว
“เพราะว่านายเพิ่งจะปล่อยคนเร่ร่อนคู่นั้นไป นายไม่กลัวว่าพอเขากลับไปแล้วจะรู้สึกถึงความผิดปกติบ้างหรือไง
“นายไม่กลัวว่าเขาจะกลับไปรายงานแล้วทำให้ ‘ไฮยีน่า’ เดาได้ว่าฝั่งเรามีผู้ตื่นรู้เหรอ”
“แล้วจะให้ทำไง ให้ฆ่าเขางั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ใจอ่อนซะจริงน้า…” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะ “ฉันเองก็เหมือนกันแหละ คนที่เกิดในกองกำลังใหญ่อย่างพวกเราไม่เคยต้องเผชิญกับการต่อสู้แย่งชิงในยุคอันเลวร้าย ทำให้กลายเป็นพวกใจอ่อนขี้สงสาร”
เธอหันหน้ากลับมาแล้วพูด
“แต่ถ้าอยากจะลอบโจมตีจริงๆ เราก็น่าจะจับตัวคนเร่ร่อนคู่นั้นไว้ก่อน จบเรื่องแล้วค่อยปล่อยไปก็ได้
“แต่นายไม่น่าจะไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้ เพราะนายระวังตัวตลอดว่าพลังพิเศษจะหมดผลสัมฤทธิ์เอาตอนไหน”
พอพูดแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“สรุปคือนายเลิกล้มความคิดที่จะไปลอบโจมตีพวกแก๊งโจรด้วยตัวเองแล้วสินะ
“ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ!”
“ยังไม่แน่ซักหน่อยว่าเป็นฝีมือพวก ‘ไฮยีน่า’” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ “ไว้รอให้บริษัทส่งคนมาละกัน”
“ตัดสินใจได้ดี!” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มและชมเขา
ซางเจี้ยนเย่ามองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วถาม
“หัวหน้าคิดว่าพอแก๊ง ‘ไฮยีน่า’ ได้รับรายงานแล้วจะมีปฏิกิริยายังไง”
“ฉันไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันมาก่อน เลยยากที่จะตัดสินใจได้ แต่จากฉายา ‘ไฮยีน่า’ แสดงว่าพวกมันชอบใช้คนมากรังแกคนน้อย เชี่ยวชาญสะกดรอย ชำนาญด้านลอบกัด ถึงแม้ว่าจะดุร้ายโหดเหี้ยมแต่ก็ไม่ได้บ้าคลั่งเลินเล่อ อ้อ… ฉันแค่พูดไปตามที่คิดน่ะ ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยหรอก ต้องไปเช็คกับไป๋เฉินอีกที ถึงจะยืนยันได้” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา “แต่ว่านะ ที่พวกมันจะทำก็มีเพียงแค่สองรูปการณ์เท่านั้นแหละ
“อย่างแรกคือย้อนกลับมาสำรวจแถวนี้ก่อนที่กองกำลังจากบริษัทจะมาถึง แล้วฆ่าปิดปากพวกเราที่เป็นคนสอดแนม ทำลายร่องรอยที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องพิจารณาในแง่ที่ว่าพลุสัญญาณอาจจะเป็นกับดักเพื่อล่อพวกมันออกมาติดร่างแหที่กางรอเอาไว้ด้วย
“อย่างที่สองคือสลัดพวกลูกสมุนที่นี่ทิ้งทันที รีบเคลื่อนย้ายกำลังหลักไปที่อื่นซะ ยังไงสมุนพวกนั้นก็เป็นแค่คนเร่ร่อนที่มันควบคุมเอาไว้ ไม่สำคัญเท่าไหร่ พวกมันมีสมาชิกหลักไม่มาก พาหนะขนส่งก็มีประสิทธิภาพ แถมยังเก็บเกี่ยวจากเมืองหนูดำมาได้ไม่น้อย การเคลื่อนย้ายกำลังพลจึงไม่ชักช้าอืดอาดเหมือนกับกองกำลังใหญ่ และในแดนร้างบึงดำก็มีที่ให้หลบซ่อนตัวตั้งเยอะแยะ
“จากนั้นพอรู้ว่าใครคือศัตรูก็ค่อยเคลื่อนย้ายกำลังพลไปที่อาณาเขตของกองกำลังอื่น เปลี่ยนพื้นที่ที่ออกปล้น”
พอเห็นซางเจี้ยนเย่าตาเป็นประกาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็แค่นเสียง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่ง
“นายกำลังคิดว่าถ้าพวกมันกล้าย้อนกลับมาสำรวจ นายก็จะสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงแล้วค่อยๆ ดักเก็บพวกมันทีละคนสินะ”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ หญิงร่างสูงมัดผมหางม้าก็ยิ้ม
“คิดว่าฉันจะมอบโอกาสแบบนี้ให้นายงั้นเรอะ
“เสียใจด้วยย่ะ ไม่มีทาง นี่มันงานฉันต่างหาก!”
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“แต่ฉันเชื่อว่า ‘ไฮยีน่า’ น่าจะไม่ทำอะไรเลยมากกว่า”
“ทำไมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าไม่เข้าใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นยิ้ม
“พวกลูกสมุนที่ถูกบังคับ ไม่แน่ว่าจะจงรักภักดีกับ ‘ไฮยีน่า’ ซักหน่อย
“พวกเขาตั้งตารอคอยให้มีกองกำลังใหญ่มาจัดการกับพวก ‘ไฮยีน่า’ อยู่แล้ว อย่างแย่สุดก็คือโดนจับไปเป็นทาส แต่ก็ยังดีกว่ากลายเป็นโล่มนุษย์รับกระสุนแทน ‘ไฮยีน่า’ นอกจากนั้นในระหว่างการต่อสู้ดุเดือด มันก็มีโอกาสตั้งเยอะแยะที่จะหลบหนีไปได้
“ถ้าตาค้างคาวเฒ่านั่นยังมีสมองอยู่บ้างล่ะก็ เขาจะรู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดตามและค่อยๆ พยักหน้า
ทั้งสองหยุดพูดคุยสนทนากัน เฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมต่อ แต่ก็ไม่พบใครน่าสงสัยอีก
เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหาร พวกเขาก็ยุติภารกิจแล้วกลับไปยังค่ายที่ซ่อนอยู่บริเวณเนินเขา
ตลอดทั้งวันผ่านไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไร กลางดึกคืนนั้นซางเจี้ยนเย่าที่นอนหลับอยู่ในเต็นท์ก็ถูกหลงเยว่หงปลุกขึ้นมา เขารีบคว้าปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ แล้วรับช่วงหน้าที่เฝ้ายามกลางคืนต่อ
หลังจากเดินตรวจตราโดยรอบแล้วก็ทอดสายตามองลงไป
จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นป่าและปากถ้ำเมืองหนูดำที่ถูกผนึกเอาไว้
ภายใต้แสงสลัวของราตรีอันเงียบสงัด จู่ๆ ก้อนหินที่ปิดปากถ้ำเอาไว้ก็พลันกลิ้งหล่นลงมา